'คลัง' รับจีดีพีปีนี้โต 3% เป็นเรื่องยาก นโยบายภาษีทรัมป์ป่วนหนัก ปัดกู้ 5 แสนล.

‘คลัง’ ยอมรับจีดีพีปีนี้โตตามเป้าที่ 3% คงเป็นเรื่องยาก โอดนโยบายภาษีสหรัฐฯ ทำป่วนหนัก ปัดแผนกู้เงิน 5 แสนล้านบาท หวัง กนง. ลดดอกเบี้ย ช่วยประคองเศรษฐกิจ

29 เม.ย. 2568 – นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีธนาคารโลก (World Bank) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือโต 1.6% ว่า ยอมรับว่าจีดีพีปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าที่ 3% หรือ 3% กว่าแบบที่ตั้งใจนั้นคงยากแล้ว แต่ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตแค่ 1.6% เพราะขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วการเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะมีข้อตกลงสุดท้ายอย่างไร อัตราภาษีเป็นเท่าไร หรือมีผลกระทบกับกลุ่มสินค้าใดบ้าง การเจรจาของทีมไทยแลนด์จะบรรลุผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด

“วันนี้เร็วไปที่จะประเมิน แต่แน่นอน มีผลกระทบกับการค้าโลกแน่ ถ้าประเทศมหาอำนาจเขามีปัญหากัน เราเป็นประเทศเล็ก ๆ ยังไงก็ต้องได้รับผล ขึ้นกับการรับมือ ว่าจะทำอย่างไร แต่สิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือ ถ้าไม่ถึง 3% แล้วจะทำอย่างไรให้ต่ำกว่า 3% น้อยทืี่สุด เพื่อรองรับสถานการณ์” นายลวรณ กล่าว

สำหรับการแถลงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2568 ในวันที่ 1 พ.ค.นี้  โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) นั้น ยังไม่รวมผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐ เนื่องจากปัจจุบันข้อมูลยังไม่นิ่ง เพราะยังอยู่ในขั้นตอนที่ต้องมีการเจรจาระหว่างไทย-สหรัฐ ทั้งในแง่ของรายการสินค้า และอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของไทย

ส่วนการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพรุ่งนี้ (30 เม.ย.) หากยังไม่พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงนั้น มองว่าเราต้องช่วยกันในหลายมาตรการ โดย กนง. คงต้องนำข้อมูลใหม่ที่เกิดขึ้นไปประกอบการตัดสินใจ ซึ่งแน่นอนว่า นโยบายการเงินต้องมีผลต่อการดูแลเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน ต้องช่วยกัน

นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงการคลัง ยังได้ชี้แจงถึงกรณีกระแสข่าวเรื่องแผนการกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังยังไม่มีแผนว่าจะต้องกู้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาทที่ออกมาตามข่าว ซึ่งก่อนที่จะใช้แนวทางการกู้เงินนั้น ขั้นตอนแรก จะต้องมาพิจารณาถึงความจำเป็นว่าจะต้องดำเนินโครงการใดที่จะมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ เช่น การปรับโครงสร้างการผลิต การลงทุน ต้องทำอย่างไร ถึงจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ถ้ารู้ขั้นตอนนี้ ถึงจะรู้ว่าต้องใช้เม็ดเงินเท่าไร ถ้ามีเงินพอก็ทำได้เลย แต่ถ้าไม่พอก็ค่อยกู้

“ไม่ได้บอกว่าจะต้องกู้ 5 แสนล้านบาท แค่มีความจำเป็นว่าต้องทำอะไร เช่น การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การใช้เงินเพื่อการลงทุน ต้องรู้ก่อนว่าอยากทำอะไร จากนั้นต้องดูว่าสิ่งที่เราจะทำ ใช้เงินเท่าไร และดูว่าเงินมีอยู่เท่าไรจากงบประมาณ การเกลี่ย การจัดสรรทั้งหลายมาได้เท่าไร ส่วนที่ขาดอยู่ ถึงจะไปกู้ ดังนั้น การที่บอกว่าตั้งต้นจะกู้ 5 แสนล้านบาท เป็นแค่ตุ๊กตาเฉยๆ ว่าคงมีผลต่อหนี้สาธารณะ 3% แต่จะกู้จริงเท่าไรนั้น ต้องเอาโครงการมาพิจารณาก่อน ต้องรู้ว่าจะทำอะไรก่อน จะกู้มาทำอะไร เมื่อรู้แล้ว ค่อยดูว่ามีเงินอยู่เท่าไร พอไหม ถ้าพอก็ไม่ต้องกู้เลย แต่ถ้าไม่พอ ขาดเท่าไร ค่อยไปกู้เท่านั้น” ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ

ส่วนการหารือกับสำนักงบประมาณ ที่อาจต้องปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 และปี 2569 ใหม่หรือไม่ หากต้องมีการกู้เงินเพิ่มเติมนั้น นายลวรณ กล่าวว่า ยังไม่มีการหารือในเรื่องนี้ ซึ่งสิ่งที่เราทำการบ้านอยู่คือ การหาขั้นตอนแรกก่อน คือ การรับมือกับบริบทการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป วันนี้ประเทศไทยอยู่ตรงไหน ต้องปรับปรุงตัวเองอย่างไร

ปลัดกระทรวงการคลัง ย้ำว่า การเป็นหนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ตราบใดก็ตามที่รู้ว่า กู้เงินมาใช้เพื่อสิ่งใด และเรายังมีความสามารถในการชำระทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย คืนได้ตามกำหนด

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สุดารัตน์' นำนักธุรกิจไทยบุกตลาดจีน เจรจาบริษัทยักษ์ใหญ่ บรรเทาวิกฤตศก.

'สุดารัตน์' นำนักธุรกิจ SMEs กว่า 50 ราย เยือนจีน เจรจาผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ ปูทางผู้ประกอบการ นำสินค้าไทยจำหน่ายในตลาดจีน