
‘คลัง’ แจงให้ความเห็น 4 ข้อเสนอ ‘แบงก์ชาติ’ หนุนนโยบายการเงิน-การคลังทำงานสอดประสานในภาพใหญ่ กระทุ้งดูแลอัตราเงินเฟ้อให้เข้ากรอบ หลังยังอยู่ในระดับต่ำ พร้อมบี้ดูแลอัตราแลกเปลี่ยน เร่งอัดฉีดสินเชื่อ-สภาพคล่องเข้าระบบ ยันไม่ได้เป็นการแทรกแซง เชื่อทุกฝ่ายรู้วิธีการดีอยู่แล้ว
17 มิ.ย. 2568 – นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2568 ได้รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2567 (ก.ค.-ธ.ค.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อรายงานดังกล่าว ใน 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. ให้มีการสอดประสานกันระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลังให้มากขึ้น โดยในฐานะที่กระทรวงการคลังดูแลเรื่องมาตรการทางการคลัง และ ธปท. ดูแลมาตรการทางการเงิน ดังนั้นควรพิจารณาร่วมกันในภาพใหญ่ และต้องมีนโยบายที่สอดประสานกันในหลาย ๆ มิติ เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
2. ให้ดูแลเรื่องอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายตามที่ได้มีการหารือกันในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำจนถึงติดลบ ดังนั้นสิ่งที่ต้องดำเนินการคือทำให้ในส่วนนี้เป็นไปตามกรอบเป้าหมาย ส่วนวิธีการว่าจะต้องทำอย่างไร เชื่อว่าเรื่องนี้ ธปท. รู้ดีอยู่แล้ว
3. ให้พิจารณาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และ 4. ให้พิจารณาสินเชื่อ และสภาพคล่อง เพื่อให้มีการปล่อยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันจะเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น จึงอาจเป็นผลให้สถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งเมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ หากหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่รีบทำอะไรเลย สถาบันการเงินก็จะจำกัดการปล่อยสินเชื่อโดยอัตโนมัติ อาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจให้มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น
“ข้อเสนอแนะดังกล่าวไม่ได้มุ่งแทรกแซงการทำงานของ กนง. หรือ ธปท. โดยเฉพาะในเรื่องอิสระในการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ย และไม่ใช่การสั่งว่าใครต้องทำอะไร เราอยู่ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลมาตรการด้านการคลัง เขาดูแลมารตรการด้านการเงิน เราแค่อยากให้มองร่วมกันในภาพใหญ่ อยากเห็นการทำงานให้สอดคล้องกัน ในภาพรวมมากขึ้นหลายมิติ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้จริง” นายเผ่าภูมิ ระบุ
อย่างไรก็ดี ในส่วนของการเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ นั้น ขณะนี้ได้เริ่มกระบวนการเจรจาแล้ว โดยคาดว่านะจะมีแนวโน้มที่ดี ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องสงครามในหลายประเทศนั้น จะต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และต้องมีการประเมินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบมีการประเมินอยู่เรื่อย ๆ อยู่แล้ว