สตง.เปิดตัวเลข สุดตะลึงพบ 6 ปีหน่วยงานรัฐใช้จ่ายงบไม่มีประสิทธิภาพ-ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ส่วนรวมทะลุหนึ่งแสนล้านบาท เฉลี่ยปีละสองหมื่นล้าน!
23 ก.พ.2567 - นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์นี้ หลังอยู่ในตำแหน่งมา 6 ปีกล่าวถึงการทำงานในช่วงที่ผ่านมาว่า หลังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561 ที่ออกมาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่ง สตง.จะมีบทบาทภารกิจในการตรวจสอบหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ซึ่งเรียกว่าหน่วยรับตรวจ โดย สตง.จะมีการตรวจสอบสามประเภทใหญ่ๆ คือ 1.การตรวจสอบการเงิน 2.การตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพของการดำเนินงาน และ 3.การตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยการตรวจสอบทั้งสามประเภทของ สตง.ในช่วงที่เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตลอดช่วง 6 ปีทีผ่านมา สตง.พบความเสียหาย พบการใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ การใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์รวมแล้วประมาณหนึ่งแสนล้านบาท ก็เท่ากับเฉลี่ยแล้วปีละประมาณสองหมื่นล้านบาท ซึ่งตัวเลขบางปีก็เกือบสี่หมื่นล้าน แต่บางปีก็ไม่กี่พันล้านบาท
นายประจักษ์กล่าวว่า สตง.ไม่ได้อยากให้เจอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อยากให้ความเสียหายเหล่านั้นมันลดลง โดย สตง.ก็เน้นเรื่องการให้ความรู้ การตอบข้อซักถามของหน่วยรับตรวจ การเป็นที่ปรึกษาให้มากขึ้น ซึ่งหากเป็นกฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฉบับเก่า หากสตง.ตรวจพบว่ามีการทำผิดกฎหมาย จะเสียหายหรือไม่เสียหาย ถือว่าทำผิดแล้ว ทาง สตง.ก็ต้องแจ้งการพบการทำผิดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฉบับปัจจุบัน กระบวนการเปลี่ยนไป เช่น หากพบว่ามีการดำเนินการที่ไม่เป็นตามกฎหมาย ระเบียบต่างๆ เช่นการจัดซื้อจัดจ้าง การเบิกจ่ายต่างๆ สตง.ต้องดูว่า สุดท้าย ทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ มีการนำงบประมาณไปใช้แล้วได้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์เมื่อใช้ไปแล้ว ประชาชนต้องได้ประโยชน์ เพราะบางที ดำเนินการไปครบถ้วน ได้ของที่จัดซื้อมาตามสเปกต่างๆ ที่กำหนดไว้หมด แต่ปรากฏว่ามีการข้ามขั้นตอนตามระเบียบ-กฎหมาย หรือกระบวนการไม่ถูกต้องหากเป็นสมัยก่อนถือว่าผิดทันที แต่กฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฉบับปัจจุบัน หากพบว่ามีความบกพร่อง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่พบว่าไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย ทางหน่วยรับตรวจ ก็เพียงแต่แก้ไขให้ถูกต้องในโอกาสต่อไป ซึ่งสตง.พบลักษณะดังกล่าวค่อนข้างเยอะ เพราะบางทีเขามุ่งไปที่เป้าหมาย-ความสำเร็จ แต่บางทีไม่เป็นไปตามระเบียบ เช่น การจัดซื้อเครื่องตรวจATKในช่วงโควิด ที่เคยมีปัญหาต่างๆ ที่สุดท้ายได้ATK ตามสเปกหมด แต่ขั้นตอนการปฏิบัติตามกฎหมายเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ซึ่งลักษณะแบบนี้กฎหมายฉบับปัจจุบันก็ไม่ได้ให้ลงโทษอะไร แต่หากไปดำเนินการไม่ถูกต้องแล้วเกิดความเสียหาย สตง.ต้องแจ้งหน่วยรับตรวจให้ตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อหาผู้รับผิดชอบต้องมีการชดใช้ความเสียหายดังกล่าว โดยหากแจ้งแล้วไม่มีการดำเนินการ หัวหน้าส่วนราชการของหน่วยรับตรวจต้องรับผิดชอบแม้จะไม่ใช่คนทำผิด เพื่อให้สิ่งที่สตง.ตรวจพบและแจ้งไป ต้องมีการดำเนินการและชดใช้คืน ส่วนคนที่มีความผิดตามวินัยข้าราชการก็ต้องโดนโทษทางวินัยเช่น ภาคทัณฑ์หรือปลดออก
ผู้ว่าฯสตง.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ในการตรวจสอบของ สตง.หากพบว่าเกิดความเสียหายและผิดระเบียบ อีกทั้งมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีการทุจริต สตง.ก็จะส่งเรื่องไปให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป โดยตัวเลขความเสียหายที่ สตง.ตรวจสอบพบแล้วส่งให้สำนักงานป.ป.ช.ปีหนึ่งๆ ก็ประมาณหลักร้อยล้านบาท เพราะด้วยบทบาทโดยรวม สตง.มีทรัพยากรที่จะตรวจสอบเรื่องทุจริตค่อนข้างมีจำกัด และประกอบกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากเห็นว่าเรื่องไหนที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์กรใด ให้ส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ ดังนั้นหากเป็นเรื่องทุจริต เรื่องฮั้วประมูล สตง.ก็จะส่งเรื่องไปที่สำนักงานป.ป.ช. แต่ถ้าไม่ถึงขั้นทุจริต ก็จะเป็นบทบาทของ สตง.
“ในช่วงหกปีที่ผมเป็นผู้ว่าฯ สตง.ทาง สตง.มีการส่งเรื่องต่อให้ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ รวมมูลค่าวงเงินก็ประมาณสองพันล้านบาท ซึ่งสองพันล้านบาทดังกล่าว จะอยู่ในแสนล้านบาทที่บอกข้างต้น เพราะ สตง.เราตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ค่อนข้างน้อย เพราะหาก สตง.พบเจอหรือมีคนมาร้องเรียนให้ สตง.ตรวจสอบ หากเราพบว่า ป.ป.ช.เขาก็เข้าไปตรวจสอบด้วย สตง.ก็จะส่งเรื่องต่อไปที่ ป.ป.ช.ทันที แต่หาก ป.ป.ช.ยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ สตง.ก็จะเข้าไปดำเนินการก่อน จากนั้นถึงค่อยส่งให้ ป.ป.ช.ที่พอป.ป.ช.รับเรื่องต่อจาก สตง. ทาง ป.ป.ช.ก็สามารถตั้งอนุกรรมการไต่สวนต่อได้ทันทีเลย ก็เป็นความร่วมมือในการทำงานร่วมกันระหว่าง ป.ป.ช.กับ สตง.”ผู้ว่าฯ สตง.ระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'แก้วสรร' แพร่บทความ 'ซอฟต์พาวเวอร์….เจอซักฟอก!!!'
นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ ออกบทความในรูปแบบถาม-ตอบ เรื่อง "ซอฟต์พาวเวอร์….เจอซักฟอก!!!" โดยระบุว่า
'ไอติม'ข้องใจคะแนน ITA ของป.ป.ช. ค้านสายตา ค้านความรู้สึกประชาชน
พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน โพสต์ข้อความ หัวข้อ ควันหลงจากงบ 69 : คะแนน ITA และเครื่องมือวัดความโปร่งใสที่ค้านสายตาป
'ดีเอสไอ' จ่อขนสำนวนคดีฮั้วประมูลร้างตึกสตง. ส่ง 'ป.ป.ช.' หลังพบ '4 บิ๊ก สตง.' มีเอี่ยว
'ดีเอสไอ' เตรียมขน 30 ลังสำนวนคดีฮั้วประมูลสัญญาก่อสร้างตึก สตง. ส่ง 'ป.ป.ช.' ไต่สวนอาทิตย์หน้า หลังพบ '4 บิ๊ก สตง.' โยงฮั้ว ขณะที่สำนวนคดีนอมินี บ.ไชน่า เรลเวย์ฯ ดีเอสไอคุมตัว 'บินลิง วู' นายทุนจีนคนสำคัญ ผู้ต้องหารายสุดท้าย ส่งฟ้องอัยการคดีพิเศษแล้ว ส่วนประเด็น 'ปูนเหล็ก' ไม่ได้มาตรฐาน อยู่ระหว่าง สมอ. ตรวจพิสูจน์ผล เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อดีเอสไอ
'ดีเอสไอ' จ่อสรุปคดีฮั้วตึกถล่ม ส่ง ป.ป.ช. ฟันกราวรูด 4 บิ๊ก สตง.-จนท.รัฐ รวม 70 คน
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 58/2568 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เผยความคืบหน้าคดีฮั้วประมูลสัญญาก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารสำนวนเพื่อส่งให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ พิจารณาภายในวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย.นี้ ก่อนส่งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.
‘พลเดช’นอนคุก ล่าตัว‘บินลิง วู’ เชื่อมโยงไชน่าฯ
ศาลอาญาไม่ให้ประกัน “พลเดช” กก.บริษัท ว.และสหายฯ หนึ่งในก๊วนผู้ต้องหาเอี่ยวตึก สตง.ถล่ม
หมายจับ17รายเอี่ยวตึกสตง.
ออกหมายจับ 17 ราย วิศวกร-ผู้ควบคุมงาน-กิจการร่วมค้า เอี่ยวคดี “ตึก สตง.ถล่ม”

