ทูตนอกแถว โยนผ้า! ยอมรับแล้ว 'ผลงานรัฐบาลบิ๊กตู่' ฟื้นสัมพันธ์ไทย-ซาอุ แต่จะสง่างามต้องเป็นปชต.

รัศมิ์ ชาลีจันทร์

28 ม.ค. 2565 - นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ และเจ้าของเพจ ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns โพสต์ข้อความมีรายละเอียดดังนี้

มีอะไรเบื้องหลังการเยือนซาอุดีอาระเบีย? (2)

ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะเขียนต่อ แต่โพสต์ก่อนหน้าได้รับ feedback เยอะมาก ทั้งบวกและลบ ตลอดจนข้อสังเกตและท้วงติงอื่นๆที่น่าสนใจซึ่งผมขอน้อมรับด้วยดี พอดีกับมีประเด็นอื่นๆที่นึกได้อีก เลยอยากนำมาคุยกันต่อนะครับ

ดังที่ได้เขียนไปแล้วก่อนหน้า และผมขอย้ำอีกครั้งว่า จะอย่างไรเรื่องการเปิดความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างซาอุดีอาระเบียและไทย ถือเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ และเป็นเรื่องน่ายินดี

ที่ผมเคยตั้งข้อสังเกตไปว่านายกรัฐมนตรีของไทยควรได้พบกษัตริย์ นายกรัฐมนตรีของซาอุดีอาระเบียด้วย (ซึ่งมีคนแย้งว่ามงกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีคือคนที่มีอำนาจทั้งหมด พบแค่นี้จึงเท่ากับให้เกียรติแล้ว) อันนี้ผมก็พูดตามธรรมเนียมหลักปฏิบัติสากลทางทูตตามปกตินะครับ ซึ่งการพบปะหารือกับมงกุฏราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีนั้นก็ถูกแล้ว แต่ปกติถ้าจะให้เกียรติตามธรรมเนียมปฏิบัติกันจริงๆก็ควรต้องพบผู้นำสูงสุดของเขาด้วย

ภาพที่อออกมา ซึ่งรวมทั้งพิธีการต้อนรับต่างๆที่ฝ่ายซาอุดีอาระเบียจัดให้ แลดูอยู่ในสเกล รูปแบบที่ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานการเยือนอย่างเป็นทางการทั่วไปมาก เช่นไม่มีการตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ พรมแดง ฯลฯ หลายๆคนรวมทั้งผมจึงอดมองไม่ได้ว่าเขาไม่ได้ให้เกียรติเราเท่าใดนัก

แต่เรื่องนี้มันก็มองได้อีกว่าเพราะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ณ ขณะการเยือนยังไม่ได้ถือว่าอยู่ในขั้นปกติ พิธีการต่างๆจึงถูกลดทอนลงไปมาก ซึ่งก็ทำให้คิดได้อีกว่าถ้าเราส่งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศไป ซึ่งก็คือระดับเดียวกับฝ่ายของเขา จะเหมาะสมกว่าไหม เมื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ปกติระหว่างกันเรียบร้อยแล้วค่อยให้นายกรัฐมนตรีไปเยือนอย่างสมเกียรติ

แต่ก็เข้าใจล่ะว่าเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีต้องการไปเองเพื่อสร้างผลงาน และแม้จะดูไม่สมเกียรตินักแต่ถ้าไปแล้วมีส่วนช่วยให้การเดินหน้ารื้อฟื้นความสัมพันธ์เป็นไปได้ด้วยดี ก็เอาเถอะครับ และก็ถือได้ว่านี่เป็นผลงานหนึ่งของนายกรัฐมนตรี แม้ว่าคงไม่ใช่ของแกเพียงคนเดียวล้วนๆอย่างที่มีผู้พยายามบอก

ซึ่งในแถลงการณ์ร่วมผมก็เห็นข้อความที่ระบุว่าในข้อ 4.ว่า “ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายามในหลายระดับของทั้งสองฝ่ายที่มีมาอย่างยาวนานเพื่อฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกัน” ซึ่งผมทราบว่าได้มีความพยายามดำเนินการในเรื่องนี้มาหลายยุค ทั้งในระดับกระทรวงการต่างประเทศ และโดยหลายรัฐบาลที่ผ่านมา

เอาเป็นว่าส้มมาหล่นเอาในยุคนี้ ก็ไม่ว่ากันนะครับ เพราะจะอย่างไรก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ

อีกเรื่องที่มีผู้ทักท้วงมา คือเรื่องนายกรัฐมนตรีไทยยกมือไหว้มงกุฎราชการ รองนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นการทักทายในยุคโควิด และตามมารยาทของไทย ซึ่งตรงนี้ผมก็เห็นว่ามีประเด็นอยู่ แต่เท่าที่ผมเคยเห็นที่เขาปฏิบัติในยุคโควิดถ้าไม่จับมือ บางทีก็เอาข้อศอกแตะกัน หรือบางทีผมเห็นหลายประเทศใช้มือขวาทาบอกซ้ายก็มี

และเท่าที่ได้ยินมาเหมือนว่ามงกุฏราชกุมารเขายื่นมือออกมาจะจับแล้ว ก็น่าจะจับมือกับเขาได้ แต่ฝ่ายเราเลือกยกมือไปไหว้แทน ซึ่งจะว่าไปในยุคโควิดนี้ก็โอเคและไม่ใช่สาระสำคัญนัก แต่เรื่องนี้ในการเตรียมการการเยือน ทางฝ่ายพิธีการน่าจะควรแจ้งและตกลงกันก่อนว่าจะใช้วิธีทักทายกันแบบไหนแน่ ก็จะช่วยให้ดูราบรื่นไม่เคอะเขินนัก

***(ขอแก้ไขเพิ่มเติมตามที่เพิ่งได้รับแจ้งมาว่าเรื่องไหว้ เราแจ้งฝ่ายซาอุฯ แล้วครับว่าจะให้ นรม. ไหว้ แต่ทางสำนักพระราชวังคงไม่ได้ไปบรีฟมกุฎฯ เองส่วนกองทหารเกียรติยศ ตกลงกันทั้งสองฝ่ายจะเป็นตรวจแถวและเคารพเพลงชาติทั้งสองฝ่ายกัน)

ท้ายสุดเมื่อนั่งอ่านแถลงการณ์ และใช้เวลาตรองมากขึ้น ก็มาคิดได้ว่า ที่พยายามวิเคราะห์หาสาเหตุเบื้องหลังว่าทำไมจู่ๆมันจึงเกิดขึ้น และมันน่าจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นไหมนั้น เอาเข้าจริง มันก็อาจเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ คือมันก็เป็นไปได้ว่าทุกอย่างมันมาอย่างพอเหมาะพอเจาะช่วงนี้พอดี ไม่ได้มีอะไรเบื้องหลังหรือลึกอะไรมากไปกว่าที่ฝ่ายซาอุดีอาระเบียซึ่งปัจจุบันเป็นอีกสายกับราชวงศ์เดิมและเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้ยึดติดกับอดีตนัก ต้องการขยายความร่วมมือใหม่ๆ รวมทั้งกับไทยด้วย

จึงกลายมาเป็นการเยือนครั้งนี้ และแม้ว่าในแง่ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศที่ทั้งสองประเทศต่างมีปัญหาด้านสิทธิมนุษย์ชนอย่างมาก ซึ่งสิ่งนี้คงไม่ด้วยช่วยอะไรในแง่นี้ แต่การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ได้ย่อมมีผลดีทางเศรษฐกิจของไทยอย่างแน่นอน และแม้มันก็เหมือนส้มหล่น แต่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งผลงานของรัฐบาลปัจจุบันอยู่ดี

แต่ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในยุคที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้มีที่มาอย่างชอบธรรม มีความสง่างามเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง (ไม่ใช่บนกฎกติกาที่แสนจะเขย่ง มี ส.ว. 250 ที่แต่งตั้งเองมาโหวตให้ รวมทั้งการแจกกล้วยต่างๆ ที่ผมมองว่านี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยหรือความชอบธรรมที่สง่างามแต่อย่างใด)

เชื่อว่าประชาชนชาวไทยทั่วไปคงจะดีใจกว่านี้อีกมาก

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โอ่ 'ไทย-ซาอุฯ' เตรียมลงนามเอ็มโอยูด้านสาธารณสุขฉบับแรก!

โฆษกรัฐบาลเผย ไทย-ซาอุดีฯ เตรียมลงนาม MOU ด้านสาธารณสุขฉบับแรก ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และความมั่นคงทางสุขภาพให้ประชาชนทั้งสองประเทศ

'เศรษฐา' ปลื้มต่อยอดความร่วมมือ 'ไทย-ซาอุฯ'

โฆษกฯ เผยนายกฯ ยินดีความร่วมมือไทย-ซาอุฯ มีผลคืบหน้าเป็นรูปธรรม หลังการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางราชการ และหนังสือเดินทางพิเศษมีผลใช้บังคับแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้านกฎหมาย ซอฟต์พาวเวอร์ที่เอื้อมถึง

หลายท่านอาจไม่ทราบว่า นอกจากภารกิจด้านการตรวจพิจารณาร่างกฎหมายและการให้ความเห็นทางกฎหมายแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคุณภาพ

'ทูตนอกแถว' สวนนิ่มๆ 'ปวิน' แขวะน่าสมเพชแบกเพื่อไทยจนได้เป็นที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ

นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำศูนย์วิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต หลบหนีคดี ม.112 โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กกล่าวถึงนายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำคาซัคสถาน