‘รุ้ง’ ขึ้นเวทีม็อบคณะราษฎร แยกราชประสงค์ อ่านแถลงการณ์เรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมือง และยกเลิกมาตรการ 112 ปลุกมวลชนรวมแรงร่วมใจต่อสู้
31 ต.ค.2564- ช่วงค่ำภายหลังฝนหยุดตก น.ส.ปนัสยา หรือรุ้ง สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำกลุ่มราษฎร ได้ขึ้นเวทีชั่วคราวที่แยกราชประสงค์ อ่านแถลงการณ์คณะราษฎรยกเลิก 112 เรื่อง ปล่อยนักโทษการเมือง – ยกเลิกม.112 ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2563 คณะราษฎรได้ประกาศข้อเรียกร้อง 3 ประการ คือ 1.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและองคาพยพต้องลาออก 2.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เป็นฉบับของประชาชน 3.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยทั้งสามข้อนี้ คือข้อเรียกร้องที่จะนำไปสู่หลักการประชาธิปไตยที่ว่า “อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย” เพราะเมื่อได้ชื่อว่ามนุษย์ ย่อมไม่มีใครอยู่เหนือกว่าใคร หากแต่ทุกคนคือประชาชนผู้เสมอภาคและเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน
ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ประการ ที่ถูกเสนอเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 เป็นข้อเสนอด้วยความห่วงใยเพื่อมุ่งหวังที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองจากระดับฐานราก เป็นการตั้งคำถามต่อวัฒนธรรมเชิดชูตัวบุคคล โดยความมุ่งหวังที่จะให้สถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยอย่างสากลอารยประเทศ และสามารถถูกตรวจสอบได้อย่างสุจริตและโดยชอบด้วยกฎหมายในฐานะหนึ่งในสถาบันหลักที่สำคัญของชาติ ปัจจุบันมีปัญหาทางการเมืองหลายประการที่ต้องถูกกล่าวถึง โดยการวิพากย์วิจารณ์จากเหล่าราษฎรนั้น ก็เพื่อให้ปัญหาทั้งหลายได้ดำเนินไปสู่การแก้ไข แต่บรรดาผู้เรียกร้องทางการเมืองมากมายที่ออกมากระทำการดังกล่าว กลับถูกกฎหมายอาญามาตรา 112 จับกุมคุมขังและดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ทนายความ ศิลปิน นักการเมือง พยาบาล แม่ค้าและราษฎรอีกมากมายนับไม่สิ้น เพียงเพราะแค่พวกเขาเหล่านั้นมุ่งหวังถึงอนาคตที่ดีกว่า
ปัญหาทางการเมืองที่ถูกหมักหมมเอาไว้หลายทศวรรษ บัดนี้ ได้เริ่มเป็นปัญหาที่มากขึ้น จนไม่สามารถปิดบังไว้ได้อีกต่อไป ณ เวลานี้ มีราษฎรที่ถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112 มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งในทางจำนวนมากถึง 159 คดี และจำนวนคดีต่อคนคือ เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 ถึง 21 คดีและยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ทำให้เห็นได้ว่า กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่อนารยะล้าหลัง เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เป็นการทำลายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เป็นเครื่องมือเพื่อรักษาอำนาจการปกครองของเหล่าอภิสิทธิชนและอำนาจนอกระบบที่ครอบงำการเมืองไทยมาแสนยาวนาน และเป็นปราการด่านแรกที่ใหญ่และสำคัญอย่างยิ่งที่ราษฎรทุกหมู่เหล่าจำเป็นต้องร่วมแรงร่วมใจกันเดินหน้ายกเลิกกฎหมายนี้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า
พวกเราคณะราษฎรยกเลิก 112 จึงขอเรียกร้องต่อคณะตุลาการผู้ผดุงซึ่ง สิทธิ เสรีภาพและความยุติธรรมของราษฎรทั้งหลาย และต่อรัฐสภาที่ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้แทนของประชาชน ดังต่อไปนี้ 1. ให้สิทธิในการประกันตัว และปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคนออกมาจากเรือนจำ 2. แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกมาตรา 112 เวลานี้เป็นเวลาที่สมควรแล้ว พวกเราคณะราษฎรยกเลิก 112 (ครย.112) จะเริ่มทำการผนึกกำลังของราษฎร ทุกสาขาทุกอาชีพ ทุกกลุ่มองค์กรและบุคคลต่างๆ พวกเราจะทำการต่อสู้ด้วยด้วยแรงใจ แรงกาย ในการรวบรวมราษฎรเพื่อเรียกร้องเข้าชื่อเสนอกฎหมายและการประกันตัวของนักต่อสู้ทางการเมือง เพื่อขับเคลื่อนให้สังคมไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ด้วยเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จดหมาย 'บุ้ง ทะลุวัง' จากเรือนจำ ถึง 'ทักษิณ'
เพจเฟซบุ๊ก 'ทะลุวัง' ได้โพสต์ข้อความจากจดหมายของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง แกนนำกลุ่มทะลุวัง ที่ส่งจากเรือนจำ โดยระบุถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย
บีบศาลปล่อย3นิ้ว ม็อบแต่งดำช่วย‘ตะวัน-แฟรงค์’หยุดขังไม่มีเงื่อนไข
นักเคลื่อนไหวทางการเมืองนัดแต่งดำ-ถือดอกทานตะวัน-ผูกริบบิ้นขาว พร้อมยืนหยุดขัง 1.12 ชั่วโมง
'ผบ.ทร.' ขอคนไทยเข้าใจขบวนเสด็จฯ ย้ำสถาบันอยู่คู่บ้านเมือง
'ผบ.ทร.' ขอ คนไทยเข้าใจขบวนเสด็จฯ เจ้าหน้าที่ต้องทำการจราจรให้เรียบร้อย-ถึงที่หมายทันเวลา ย้ำสถาบันอยู่คู่บ้านเมือง นำพาประเทศชาติอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้
ปลุกคนไทยขบคิด! พฤติกรรมสุดขั้ว 'แก๊งป่วนขบวนเสด็จฯ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ป่วนขบวนเสด็จฯ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
'รองโฆษก รทสช.' ดึงสติ! เด็กป่วนขบวนเสด็จฯ ชี้ระดับสากลโทษขั้นก่อการร้าย
'รองโฆษก รทสช.' ดึงสติ 'เด็กป่วนขบวนเสด็จฯ' อย่าหาทำ ชี้ระดับสากลโทษถึงขั้นก่อการร้าย วอนสื่ออย่าให้พื้นที่ ฟูมฟักความรุนแรงในสังคม
คุก 4 เดือน! 'พิธา-ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ' กับพวกรวม 8 ราย
ศาลเเขวงปทุมวันสั่งจำคุก 4 เดือน 'พิธา-ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์' กับพวกรวม 8 ราย คดีแฟลชม็อบปี 62 ปรับ คนละ 20,200 บาท