บัตรทองรับบริการ 6 รายการ ทั้งยาคุม ถุงยางอนามัย ชุดทดสอบตั้งครรภ์ ยาเสริมธาตุเหล็กหญิงท้อง ได้ที่ร้านขายยา

2 ก.พ.2566- นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สปสช. ได้ร่วมมือกับสภาเภสัชกรรม จัดบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคที่ร้านยา 6 รายการ โดยผู้มีสิทธิบัตรทองสามารถไปรับบริการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (ขณะนี้ให้บริการเฉพาะผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสิทธิบัตรทอง 30 บาทเท่านั้น ส่วนสิทธิอื่นๆ เช่น ประกันสังคม สวัสดิการข้าราชการ รอการประกาศอีกครั้ง) ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

สำหรับ 6 รายการบริการที่ร้านยาประกอบด้วย 1. บริการยาเม็ดคุมกำเนิดแก่หญิงไทยวัยเจริญพันธุ์ โดยให้บริการครั้งละไม่เกิน 3 แผง รวมไม่เกิน 13 แผง/คน/ปี ตลอดจนให้คำปรึกษาในการคุมกำเนิด การวางแผนครอบครัว การใช้ยาและผลข้างเคียง

  1. บริการยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินและบริการให้คำปรึกษา แก่หญิงไทยวัยเจริญพันธุ์ ให้บริการยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินไม่เกิน 2 แผง/คน/ปี ตลอดจนให้คำปรึกษาในการคุมกำเนิด การวางแผนครอบครัว การใช้ยาและผลข้างเคียง
  2. บริการจ่ายถุงยางอนามัย แก่ประชาชนไทยวัยเจริญพันธุ์ จำนวน 10 ชิ้น/คน/สัปดาห์ รวมไม่เกิน 52 ครั้ง/ปี และให้คำปรึกษาในการคุมกำเนิดการวางแผนครอบครัว
  3. บริการชุดทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง สำหรับหญิงไทย ที่มีอาการแพ้ท้องสงสัยตั้งครรภ์ หรือประจำเดือนขาด ไม่มาตามกำหนด
  4. บริการยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กและกรดโฟลิก สำหรับหญิงไทยอายุ 13-45 ปี จำนวน 52 เม็ด/ปี

และ 6. บริการคัดกรองและประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพกาย/สุขภาพจิต แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ

6.1 ประชาชนไทยอายุ 15-34 ปี ครอบคลุมรายการประเมินดัชนีมวลกาย (ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง) และรอบเอว ตรวจวัดความดันโลหิต คัดกรองความเสี่ยงจากการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการใช้เสพสารเสพติด ประเมินภาวะเครียด-ซึมเศร้า และให้คำปรึกษาและแนะนำปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรายบุคคล หากเป็นกลุ่มเสี่ยงให้ประสานส่งต่อหรือนัดพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสั่งการรักษา หรือแนะนำรับบริการตามสิทธิ

6.2 ประชาชนไทย อายุ 35 – 59 ปี จัดบริการครอบคลุมเหมือนกลุ่มอายุ 15-34 ปี และเพิ่มรายการตรวจประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและ หรือเจาะเลือดปลายนิ้วตรวจระดับน้ำตาล (FCG) และการตรวจประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย

นพ.จเด็จ กล่าวว่า ผู้ใช้สิทธิบัตรทองสามารถรับบริการเหล่านี้ ที่ร้านยา ซึ่งเข้าร่วมโครงการจะติดสติ๊กเกอร์คำว่า “ร้านยาของฉันให้บริการสร้างเสริมสุขภาพ” ที่หน้าร้าน ละขอให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่มีคุณภาพ เพราะร้านยาเหล่านี้ได้มาตรฐาน GPP (Good pharmacy practice) มีเภสัชกรที่ผ่านการอบรมโดยสภาเภสัชกรรมประจำตลอดเวลาที่เปิดให้บริการ และถือเป็นหน่วยรับส่งต่อเฉพาะด้านเภสัชกรรมของ สปสช. อีกด้วย

ด้าน ภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่ 2 กล่าวว่า อยากเชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองมารับบริการ สร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองความเสี่ยงด้านสุขภาพ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเหมือนการตรวจสุขภาพประจำปี การให้บริการที่ร้านยาซึ่งตั้งอยู่ในชุมชน มีความสะดวกในการเดินทาง เข้าถึงบริการได้ง่าย และประชาชนยังมีโอกาสสอบถามพูดคุยกับเภสัชกรรมได้นานกว่าการไปตรวจที่โรงพยาบาล และถ้าพบความเสี่ยงจะได้ให้คำแนะนำเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือส่งต่อให้แพทย์ดูแลได้เร็วขึ้น ลดโอกาสที่จะเกิดโรคหรือตรวจพบเมื่ออาการรุนแรงแล้ว

“ขั้นตอนการเข้ารับบริการก็ง่ายๆ ไม่ต้องรอให้ป่วยก่อน ถือบัตรประชาชนมารับบริการได้เลย แจ้งความประสงค์กับเภสัชกรว่าต้องการมารับการตรวจคัดกรองความเสี่ยงหรือบริการเกี่ยวกับการคุมกำเนิดและการตั้งครรภ์ จากนั้นร้านยาจะตรวจสอบสิทธิ หากเป็นสิทธิบัตรทองก็เข้าสู่กระบวนการให้บริการต่อไป”ภก.ปรีชา กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีร้านยาที่เข้าร่วมให้บริการมากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ มีเภสัชกรที่ผ่านการอบรมมากกว่า 3,000 คน และยังมีอีกส่วนที่รอการอนุมัติจาก สปสช. คาดว่าในอนาคตจะมีร้านยาให้บริการได้ทั่วถึงทั่วประเทศ โดยเร็วๆนี้ สภาเภสัชกรรมจะมีแอปพลิเคชัน “ร้านยาของฉัน” ให้ดาวน์โหลด เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ ค้นหาตำแหน่งร้านยาที่อยู่ใกล้บ้านได้โดยง่าย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ สั่ง 'สปสช.-สปส.' ร่วมยกระดับหลักประกันสุขภาพ

นายกฯ สั่งการเดินหน้าบูรณาการการทำงาน สปสช.- สปส. ร่วมมือการทำงาน เริ่ม 1 เม.ย.2567 ยกระดับหลักประกันสุขภาพตรวจสุขภาพเพิ่มเติมตามกลุ่มช่วงอายุ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

สปสช.ยังค้างจ่ายเงินโรงเรียนแพทย์ร่วม 1,000 ล้านบาท แจงยิบติดค้างรพ.ละเท่าไหร่

รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ประธานคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHosNet) กล่าวถึงกรณี รองเลขาฯ สปสช.ชี้แจงค้างจ่ายเงินโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ ที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ รวม 369 ล้านบาท ว่าเกิดจากการเรียกเก็บค่าชดเชย ที่ติดรหัส C และติดรหัส DENY นั้น ไม่ครบถ้วน