
จังหวัดสงขลา ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของภาคใต้ โดยมีหาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางความเจริญ แต่จริงๆแล้ว หากได้เปิดใจ ก็จะพบว่าตัวเมืองสงขลา มีความน่าสนใจซุกซ่อนเรื่องราวของประวัติศาสตร์ในดินแดนใต้ส่วนที่เป็นด้ามขวานของไทยไว้มากมาย จนกระทั่งล่าสุด ครม. มีมติเห็นชอบเสนอ สงขลาและชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา ให้องค์การยูเนสโก พิจารณาขึ้นเป็นมรดกโลก โดยชู 4 พื้นที่ ประกอบด้วย 1.เมืองโบราณพังยาง เมืองโบราณพะโคะ และเมืองโบราณสีหยัง 2.เมืองโบราณสทิงพระ 3.เมืองป้อมค่ายซิงกอร่า และ4.เมืองเก่าสงขลา บ่อยาง เนื่องจากไม่มีแหล่งมรดกในบัญชีรายชื่อมรดกโลกที่เป็นทะเลสาบแบบลากูน และมีการตั้งถิ่นฐานที่แสดงให่เห็นถึงการแลกเปลี่ยนที่สำคัญกับอารยธรรมอื่น และเป็นตัวอย่างของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์แบบดั้งเดิมที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ

การเดินทางในครั้งจึงเป็นการเดินทางในย่านเมืองเก่าสงขลา ดินแดนอันรุ่งโรจน์ทางอารยธรรมในอดีตและจุดหมายปลายทางสู่มรดกโลกในปัจจุบัน สำหรับเมืองเก่าสงขลานับว่าอยู่บนชัยภูมิที่เป็นเส้นทางการค้าทางทะเลระหว่างดินแดนตะวันออก อย่าง จีน ญี่ปุ่น หรือ ชวา กับดินแดนตะวันตก เช่น โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ อินเดีย อาหรับ เปอร์เซีย จึงเป็นเมืองท่าการค้านานาชาติที่พ่อค้าและนักเดินเรือต่างแวะพักและซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ามาตั้งแต่โบราณ ก่อให้เกิดสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีการแลกเปลี่ยนวิถีชีวิต และอยู่ร่วมกันอย่างสันติของชาวเมืองหลากหลายชาติพันธุ์

ตามประวัติการตั้งถิ่นฐานเมืองเก่าสงขลาเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยพบการตั้งชุมชนใน 3 พื้นที่หลัก คือ เมืองเก่าเขาแดง เมืองเก่าแหลมสน และเมืองเก่าบ่อยาง โดยอาศัยภูมิประเทศตรงปากทางออกทะเลสาบสงหลา สู่ทะเลใหญ่ รวบรวมสินค้าผลผลิตจากแผ่นดินตอนในนํามาแลกเปลี่ยน และพัฒนาเป็นเมืองท่าค้าขายกับต่างประเทศ ต่อมายกระดับเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าทางทะเล การปกครอง การศึกษา การคมนาคม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวของภาคใต้ตอนล่าง

โดยปัจจุบันยังมีร่อยรอยของโบราณสถาน โบราณวัตถุ วัด ศาสนสถาน ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในย่านเมืองเก่าทั้ง 3 แห่งที่ได้กล่าวไปข้างต้น จุดหมายปลายทางแรกเริ่มที่ย่านเมืองเก่าเขาแดง ในอดีตถือเป็นยุคที่มีการอพยพมาสร้างชุมชนใหม่บริเวณริมเขาแดงปากทะเลสาบสงขลาประมาณ 60 ปี ชุมชนบริเวณริมเขาแดงขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขยายตัวทางการค้ากับชาวต่างประเทศในยุโรป โดยมีผู้ก่อตั้งเมืองคือดาโต๊ะโมกอลส์ เป็นยุคที่มีการสร้างป้อม คู ประตู หอรบ อย่างแน่นหนา บันทึกของพ่อค้าและนักเดินเรือชาวอาหรับเปอร์เซีย ระหว่างปี พ.ศ.1993 – 2093 เรียกสงขลาบริเวณริมเขาแดงว่า “ซิงกูร์” หรือ “ซิงกอรา”

สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ให้เห็นของเมืองซิงกอราในปัจจุบันที่ตั้งอยู่บริเวณโบราณสถานหัวเขาแดง ต.หัวเขา อ.สิงหนครคือ ป้อมปราการในอดีตจำนวน 14 ป้อม ซึ่งทางกรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานป้อมเมืองสงขลาเก่า หนึ่งในป้อมที่งดงามและยังคงความสมบูรณ์คือ ป้อมเมืองเก่าสงขลา หมายเลข 9 ซากกำแพงสูงเด่นตระหง่านตั้งอยู่บนที่ราบเชิงเขาน้อย เป็นป้อมที่ก่อด้วยหิน ลักษณะผังของป้อมเป็นรูปแปดเหลี่ยมทรงสอบปลาย มีขนาดกว้าง 4.6 เมตร ยาว 10.2 เมตร มีใบบังทั้ง 4 ด้าน และ ใบบังจะมีช่องมอง ซึ่งต้องมองเฉียงจึงจะสามารถมองเห็นภายนอกได้ บริเวณฐานมีเสาครีบค้ำยัน 5 จุด เพื่อเสริมความมั่นคง แข็งแรงให้ตัวป้อม โดยเราสามารถเข้าไปชมด้านในป้อมยิ่งทำให้เห็นถึงความเก่งของคนใอดีตที่นำหินก้อนใหญ่มาเรียงต่อกันสร้างเป็นเกราะป้องกันศัตรูได้

จากป้อมหมายเลข 9 เดินขึ้นเขาน้อยไปอีก 300 เมตร จะเป็นที่ตั้งของโบราณสถานเจดีย์บนภูเขาน้อย ที่หลงเหลือภาพให้ชมเพียงส่วนฐาน ซึ่งหลักฐานศิลปกรรมที่พบจากการขุดแต่งโดยกรมศิลปากรอายุของโบราณสถานอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 ลงมา มีศิลปะร่วมสมัยกับวัฒนธรรมทวารวดีและศรีวิชัย และตัวองค์เจดีย์มีการสร้างขึ้นหรือบูรณะใหม่ในสมัยอยุธยา หลักฐานชิ้นสำคัญที่พบคือ กูฑุ อิทธิพลจากศิลปะอินเดีย เกิดขึ้นราวๆ พุทธศตวรรษที่ 13-16 ซึ่งเป็นพยานหลักฐานที่ยืนยันถึงการอยู่อาศัยของผู้คนบริเวณรอบเขาแดงมาตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยา หรือก่อนจะก่อตั้งเมืองสงขลา

มาต่อที่บริเวณเมืองเก่าแหลมสน โดยในช่วงสงครามระหว่างพระนารายณ์มหาราชกับอังกฤษ ทำให้ชาวสงขลาต้องอพยพมาตั้งบ้านเรือนใหม่ที่บริเวณนี้ ซึ่งอยู่เชิงเขาปลายสุดของคาบสมุทรสทิงพระ เรียกกันต่อมาว่า เมืองสงขลาฝั่งแหลมสน ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชประกาศอิสรภาพ ทรงแต่งตั้งชาวจีนฮกเกี้ยน เป็นหลวงสุวรรณคีรีสมบัติ ทำให้ในย่านนี้รุ่มรวยไปด้วยศิลปวัฒนธรรมที่แทรกอยู่ในวิถีชีวิตของขาวสงขลา ซึ่งเราจะพาเดินทางไป 3 วัด ที่มีความงดงามทางสถาปัตยกรรมจีนในอ.สิงหนคร เริ่มที่วัดศิริวรรณาวาส ซึ่งเป็นวัดร้าง แต่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากทางวัดบ่อทรัพย์ สร้างขึ้นโดยเจ้าเมืองสงขลา ต้นตระกูล ณ สงขลา สะท้อนถึงรูปแบบศิลปกรรมท้องถิ่นภาคใต้อย่างสวยงาม ปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะในสมัยรัตนโกสินทร์ มีความโดดเด่นคือ ซุ้มทางเข้าด้านทิศตะวันออกมีลักษณะเป็นซุ้มประตูแบบเก๋งจีน สะท้อนให้เห็นถึงการรับอิทธิพลทางศิลปะในแบบจีนเข้ามาผสมผสานในการสร้างวัดช่วงเวลานั้น

เดินเชื่อมมาที่ วัดบ่อทรัพย์ ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน มีความเป็นเอกลักษณ์นั่นคือ บ่อน้ำ เป็นบ่อน้ำกรุอิฐขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าวัดในช่วงที่น้ำขึ้นน้ำจะเป็นสีฟ้าอำพันงดงาม วัดสุดท้ายคือ วัดสุวรรณคีรี สันนิษฐานว่า สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา วัดแห่งนี้ถือว่าเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง และเป็นวัดหลวงสำหรับกระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาในสมัยที่เมืองสงขลาตั้งอยู่บริเวณฝั่งแหลมสน ความน่าสนใจคือ ช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 สันนิษฐานว่ามีช่างหลวงเข้ามาดำเนินการเขียนภาพจิตกรรมฝาผนังบริเวณด้านหลังของพระประธาน ที่มีวิมาน ปราสาทนางฟ้า และภาพเทวดาเปรต ฃสวมเทริด แต่งองค์แบบโนราห์ ฯลฯ รวมถึงลวดลายหน้าอุโบสถเป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลจีนในด้านสถาปัตยกรรมจึงมีการนิยมทำหน้าบันเป็นลายดอกไม้ประดับ เครื่องถ้วยหรือลวดลายพรรณพฤกษาที่งดงามอย่างมาก

มาถึงเมืองเก่าแห่งที่ 3 คือเมืองเก่าบ่อยาง หรือย่านเมืองเก่าสงขลาในปัจจุบัน ที่ขยายเมืองมาจากฝั่งแหลมสน ด้วยลักษณะของพื้นที่ที่ขนาบด้วยทะเลทั้งสองด้าน คือทะเลสาบสงขลา และทะเลอ่าวไทย จึงจุดศูนย์กลางการเดินเรือค้าขายจึงทำให้สงขลาเป็นเมืองท่าที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีพ่อค้าจากหลายประเทศทั้งในแทบเอเชีย ยุโรป จึงทำให้เกิดวัฒนธรรมที่หลากหลาย ที่สะท้อนผ่านรูปแบบสถาปัตยกรรมของตัวอาคารบ้านเรือน อาทิ จีน จีนผสมตะวันตก ชิโน-ยูโรเปียน ยุโรป และตึกที่ผสมผสานระหว่างจีน ยุโรปและมุสลิม

ปัจจุบันย่านเมืองเก่าเป็นแหล่งท่องที่ยวสามารถเดินได้เพลินตลอดถนนนครนอก นครในและถนนนางงาม นอกจากความสวยงามตึกอาคารบางหลังคงสภาพสถาปัตยกรรมในอดีตให้ชม บางหลังมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัยเพื่อเปิดเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ หรือที่พัก ตามซอยต่างๆ ยังมีสตรีทอาร์ตสะท้อนวิถีชีวิตของคนในย่านมีมุมให้ถ่ายภาพเก๋ๆ ในย่านเมืองเก่าเราแวะสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง โดยภายในศาลเจ้าแห่งนี้มีเสาหลักเมืองสมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมาเจ้าเมืแงสงขลาได้อัญเชิญองค์เทพเจ้าจาก เมืองให่เฉิง จ.จางโจว โดยเจ้าพ่อหลักเมือง คือ เซ่งห้องเหล่าเอี๋ย หรือเส่งห่องกง ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้รักษาคุ้มครองเมืองตามคติจีนมาประดิษฐานเป็นองค์ประธานในศาลเจ้า และสักการะศาลเจ้ากวนอู ที่เคารพศรัทธาของคนในพื้นที่

เดินมาถึงวัดมัชฌิมาวาส หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดกลาง ที่มีไฮไลท์ อยู่ที่จิตรกรรมผนังด้านในพระอุโบสถที่ช่างหลวงได้เขียนภาพพุทธประวัติ พร้อมกับสอดแทรกวิถีชีวิตของชาวสงขลาในอดีต ที่มีการค้าทางน้ำมาอย่างช้านานตั้งแต่เรือสำเภา จนมีเรือกลไฟขนาดใหญ่ รวมถึงขาวต่างชาติท่เข้าค้าขายและปักหลักอาศัยอยู่ในเมืองนี้ด้วย ความพิเศษของอุโบสถแห่งนี้หากมองขึ้นไปเหนือประตูทั้งด้านหน้า-หลังพระประธานคือ งานปูนปั้นนูนสูง ราหูที่อยู่หลังพระประธานหน้าตรง ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นราหูหน้าเผล้หรือหน้าเอียงที่มีความปราณีตงดงามอย่างยิ่ง

ตลอดทริปที่เดินทางท่องประวัติศาสตร์ของทั้ง 3 เมืองเก่าในสงขลา ที่มีทั้งความสวยงาม วิถีชีวิต สถาปัตยกรรม ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งอาจจะเป็นเมืองมรดกโลกในอนาคตอันใกล้นี้.




ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ครม.เห็นชอบเสนอ 'วัดพระมหาธาตุ' ขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก ส่งเอกสารภายใน 1 ก.พ.นี้
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
'เฉลิมชัย' ชง ครม. 21 ม.ค. ไฟเขียว 'วัดพระมหาธาตุ' ขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก
'เฉลิมชัย' ชง ครม. 21 ม.ค.นี้ เห็นชอบเสนอ 'วัดพระมหาธาตุ' นครศรีธรรมราช ขึ้นทะเบียนมรดกโลก ก่อนยื่นศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส ภายใน 1 กพ. เพื่อพิจารณาทันวงรอบปี 2568
สส.เชียงใหม่ ปชน. เรียกร้อง ครม. เร่งดันวัด-สถานที่สำคัญ เป็นมรดกโลก
น.ส.เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน แถลงว่า ชาวเชียงใหม่เราพร้อมแล้วที่จะขึ้นทะเบียน วัดเชียงมั่น วัดอุโมงค์ วัดพระสิงห์ วัดสวนดอก วัดพระธาตุดอยสุเทพ วัดเจดีย์หลวง วัดเจ็ดยอด และแนวคูเมือง แ
ข่าวดี 6 แหล่งท่องเที่ยวไทย ติดน่าเที่ยวระดับโลก ชวนคนไทยร่วมเป็นเจ้าบ้าน
'ศศิกานต์' เผย 6 แหล่งท่องเที่ยวไทย ติดน่าเที่ยวระดับโลก ชวนคนไทยร่วมเป็นเจ้าบ้าน สวัสดี-ต้อนรับ นักท่องเที่ยวทั่วโลก