หอมกลิ่นลมหนาว..ที่แม่สาย (2)

วิวที่ดอยผาฮี้ สุดตระการตา

เรื่องบางอย่างในชีวิตก็นับว่าเป็นโชคชะตา เช่นเดียวกับการมาRoad Trip ไปแม่สาย จ.เชียงราย สาบานได้ว่า “ผาหมี”และ “ผาฮี้” ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางสักนิด มารู้ทีหลังว่าทั้งสองดอยผาเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต ที่ระหว่างทางรุ่มรวยไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นทริปที่คุ้มค่า เพราะนอกจะเป็นการเติมพลังชีวิตเต็มแม็กซ์แล้ว ยังได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ หลังประสบเหตุการณ์สุดระทึก“ผ้าเบรกรถไหม้”ระหว่างทางลงดอย

วิวระหว่างทางไปสองดอย

อย่างที่บอกว่าเป็นทริปขับรถเที่ยวจากกรุงเทพฯมาถิ่นเหนือสุดแดนสยาม เหล่าสมาชิกเป็นหญิงล้วน จึงไม่อาจหาญพอจะขับรถขึ้นเขาขึ้นดอยแบบมุทะลุได้ เส้นทางเที่ยวที่แพลนไว้ จึงเป็นพื้นที่ราบกับตีนเขาตีนดอย ที่สำคัญรถเอสยูวี ที่ขับกันมา แม้จะเช็คเครื่องเปลี่ยนอะไหล่เรียบร้อยก่อนมา แต่ก็มีปัญหาจนได้ ในที่สุดต้องจอดทิ้งให้ช่างในพื้นที่ช่วยซ่อม ทำให้การเดินทางเที่ยวแม่สายในวันขึ้นดอย แบบไม่มีในโปรแกรมมาก่อน ต้องใช้รถเก๋งมือสอง ซึ่งไม่ได้ตรวจสภาพก่อนใช้

พระธาตุดอยเวาสุดอร่ามตา

เบิกฤกษ์ ด้วยการไปซื้อของฝากจำพวกของแห้งที่หน้าด่านแม่สายถั่วพิสตาชิโอ ฯลฯและไอเทมใหม่สตรอว์เบอร์รีฟรีซดรายเคลือบช็อคโกแลต หลายรส ขนมสัญชาติจีน ที่อร่อยสุดๆ และยังแวะไปที่ ตลาดสายลมจอย หรืออีกชื่อคือตลาดดอยเวา ทั้งสองตลาดนี้อยู่ใกล้กันเดินถึงกันได้ ปกติถ้ามาถึงแม่สายก็มักจะเลยข้ามฝั่งเมียนมา แต่คราวนี้ด้วยสถานการณ์โควิด ประตูด่านข้ามแดนจึงปิดสนิท เจ้าถิ่นเลยชวนแวะไปไหว้ พระธาตุดอยเวา เป็นโอกาสอีกครั้ง เพราะจำได้ว่าเคยขึ้นไปสักการะเมื่อนานมาแล้ว

บันไดนาคกว่า 200 ขั้น

หลังจากไหว้พระสังกัจจายน์ บริเวณทางขึ้นบันไดนาคกว่า 200 ขั้น เราก็ขออาศัยมอเตอร์ไซค์รับจ้างค่าบริการคนละ 20 บาท บิดปริ้นๆ 5 นาที ก็ถึงพระธาตุแบบไม่ทรมานสังขาร บรรยากาศรอบพระธาตุเปลี่ยนไปจากที่มาครั้งก่อน มีสิ่งก่อสร้างหลายศาสนามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ กระนั้นพระธาตุสีทองอร่ามตาและรูปปั้นแมงป่องยักษ์สีดำมะเมื่อม สัญลักษณ์แห่งดอยเวา เพื่อรำลึกถึงพระองค์เวา รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์สิงหนวัติผู้ครองนครโยนกนาคพันธุ์ โดยเวาในภาษาล้านนา แปลว่าแมงป่องยังคงตั้งตระหง่าน โดยทางวัด ชาวบ้านและหน่วยงานในพื้นที่ได้บำรุงรักษาเป็นอย่างดี ที่นี่ยังมีร้านกาแฟและลานชมวิวให้นั่งไว้มองทอดตา ข้ามไปยังบ้านเรือนฝั่งท่าขี้เหล็กประเทศเมียนมา

แมงป่องยักษ์สัญลักษณ์แห่งดอยเวา

อีกสถานที่ปักหมุดว่าต้องให้ไปได้คือ อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ซึ่งเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่ยังไม่เกิดเหตุการณ์หมูป่าติดถ้ำ แต่เข้าไปได้เพียงแค่ปากถ้ำ และด้วยเวลาที่จำกัด ทำให้เราแวะชมได้เพียงแค่ สระขุนน้ำมรกต ธรรมชาติท่ามกลางอากาศเย็น สบาย ท้องฟ้าโปร่งน้ำสีฟ้าอมเขียวกระจ่างใส สวยงามในความรู้สึกจนต้องขอถ่ายภาพที่ระลึกเก็บไว้ คิดในใจว่าคุ้มเหลือเกินที่แวะมา ข้างในยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติและสามารถ นำอาหารเข้าไปกินด้านในได้ โดยสระขุนน้ำมรกตนี้อยู่คนละที่กับถ้ำหลวง ทว่าไม่ไกลกันมากนักระหว่างทาง ยังมีไร่ส้มจีนซาถังลูกจิ๋วให้จอดรถถ่ายรูปเพลินๆ อีกด้วย

สระมรกตใกล้ขุนน้ำนางนอน

เหตุการณ์ระทึกขวัญ ที่จดจำไม่รู้ลืมของทริปนี้ เริ่มต้นขึ้นหลังจากแวะกินข้าวกลางวัน ที่ร้านจันกะผักศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ ขอบอกว่ารสชาติอร่อย ผักก็ปลูกเองปลอดสารหวานกรอบ ราคายังสบายกระเป๋าสุดๆ พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังดอยผาฮี้ ระหว่างทางขึ้น มีด่านตรวจเป็นระยะๆ เพราะเป็นพื้นที่เปราะบาง มีเส้นทางธรรมชาติเชื่อมระหว่าง ไทย-เมียนมา มีการลักลอบเข้าประเทศจากจุดนี้เรื่อยๆ

ตามแผนที่จากหมู่บ้านผ่าหมีไปยังบ้านผาฮี้ใช้เวลาประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กับระยะทาง 9 กิโลเมตรกว่าๆ บนถนนสาย 1149 แต่ทางรถวิ่งเป็น 2 เลนแคบๆ ซ้ายก็เหว ขวาก็เหว คดเคี้ยว ลาดชัน แถมยังมีโค้งทั้งรูปตัวS และตัว W จนต้องนั่งเกร็งอยู่ตลอดเวลา ขาไปที่เหมือนใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง จนต้องเอ่ยปากถามกันเองว่าเมื่อไหร่จะถึงผาฮี้สักที(วะ)

นั่งชิลกันที่ผาหมีก่อนระทึกขวัญ


มองดูมือถือสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่ค่อยมี เช็คแมปก็ไม่ได้ ตอนนี้ ทุกคนเริ่มได้กลิ่นไหม้โชยมาแบบสั้นๆ แต่นั่นยังไม่เท่าขากลับลงมา ที่รถแล่นฉิวราวกับเครื่องยนต์เกรดดีประสิทธิภาพเยี่ยม ซึ่งเราไม่มีความรู้เรื่องรถมาก่อน มารู้ทีหลังว่า รถที่ขับขึ้นดอย เครื่องต้องหนึบมีแรงถ่วงเยอะ ๆ พอรถวิ่งลิ่วๆ เลยปรบมือดีใจ จะได้ถึงที่พักเร็วๆ สักที เพราะหิวมากแล้ว

เกือบไม่รอด เก๋งมือสองเบรกไหม้ขาลงจากดอย

รถมาถึงตีนดอยแบบปลอดภัย คนขับตีนเปล่า (เพราะขับแบบไม่มีเบรก) มาเผยให้รู้ทีหลังว่า เหงื่อนางตกในสุด ๆ เพราะเหยียบเบรกมิดแล้วรถยังไม่ชะลอความเร็ว และระทึกสุด ตรงที่ได้กลิ่นไหม้ลอดเข้ามาในรถ พอมองไปที่กระจกหลัง ก็เห็นควันขาวลอยโขมงเป็นสายจากล้อด้านหน้าไปถึงล้อหลัง นางบอกว่าต้องเก็บอาการไว้ ไม่ให้เพื่อนๆตกใจ แต่ในใจคือ เอามือทาบอกบอกกับตัวเองว่า “ผ้าเบรกไหม้แน่แท้แล้วจ้ะ ฮือๆ ”จากนั้นพยายามขับแบบประคองไปแบบช้า ๆ

จนถึงสามแยกทางไปศูนย์บำบัดยาเสพติดบ้านผาหมี ก็มีที่ให้แวะจอดพักเครื่องให้เย็นพอดี หลังจากนั้นมีการติดต่อบริการรถยกใกล้ๆ ให้มาช่วย แต่คุยกันแล้ว ทางโน้นเรียกค่าบริการสูงถึง 4,500 บาท เจ้าถิ่นเลยเปลี่ยนใจโทรหาเบอร์ตรงยังปลัดอำเภอ ที่ให้ไว้ในเพจศูนย์ดำรงธรรมแม่สาย กริ๊งเดียว “ปลัดปักเป้า”; ศุภสันส์ ภูมิไชยา ก็ส่งต่อเรื่องไปยัง “พ่อหลวงโย” ชาญยุทธ รุ่งทวีพิทยากุล ผู้ใหญ่บ้าน ม.6 บ้านผาหมี ต.เวียงพางคำ ในเขตพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่รุดเข้ามาช่วยเหลืออย่างฉับไว ทั้งที่เป็นเวลานอกราชการ จนสามารถกลับลงมายังพื้นราบอย่างปลอดภัยในเวลาชั่วโมงกว่าๆ

แถมผู้ใหญ่บ้านผาหมียังใจดีขับรถส่วนตัวมาส่งถึงที่พัก เพราะเริ่มดึกแล้ว ส่วนรถของพวกเรา ผู้ใหญ่บ้านการันตี ความปลอดภัย ให้ทิ้งไว้ใกล้กับหน่วยทหารลาดตระเวณ รอช่างมาซ่อมพรุ่งนี้เช้า

..รถเบรกไหม้ลงจากดอยครั้งนี้ เป็นเรื่องเตือนใจชั้นดีว่า หากจะรถขับขึ้นดอย ต้องเช็คสภาพเครื่องให้ดีก่อน ที่สำคัญ อย่าห้าว !

จิบชา ละเลียดเค้ก ดื่มดำธรรมชาติที่ Bear House Café’

แต่ถึงจะเจอกับเรื่องสุดหวาดเสียว แต่เราก็ได้ของแถมได้สัมผัสกับความงดงามเกินบรรยายของธรรมชาติระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นทิวเขาไล่เฉดสี ที่มีสายหมอกเบาบางปกคลุม ต้นสนสูงใหญ่ แมกไม้ไม่คุ้นตา กับอากาศหนาวที่สัมผัสแก้มรู้สึกเย็นสบาย แต่ต้องขอบอกว่า วิวที่ผาหมีสงบกว่าผาฮี้มาก อาจเป็นเพราะความนิยมในกาแฟผาฮี้ทำให้เหล่า คอกาแฟดั้นด้นมาชิมไม่ขาดสาย ขณะที่การจัดการ ท่องเที่ยวในพื้นที่ยังไม่ค่อยดีเท่าไร แถมเส้นทางที่พักและร้านค้าค่อนข้างลาดชัน และแคบไม่เหมาะกับผู้สูงวัย

ถ้าอยากเป็นส่วนตัวสักหน่อยแนะนำให้แวะไปที่คอฟฟี ช้อปหรือโฮมสเตย์แถวบ้านผาหมี เพราะไม่ต้องขับรถไปไกลมาก ไม่ต้องเสี่ยงกับเส้นทางไม่คุ้นเคย ซึ่งเราก็เลือก Bear House Caf é’ ของผู้ใหญ่บ้านผาหมี ได้จิบชาร้อน ละเลียดเค้ก ชิมอาหารพื้นถิ่นเผ่าอาข่า เคล้าธรรมชาาติ

ธรรมชาติโอบกอดที่จุดชมวิวด่านป่าสัก

เรากลับไปที่ผาหมีอีกครั้ง ที่จุดชมวิวด่านป่าสัก ค่ายทหารชายแดนไทย เมียนมาเพราะไม่อยากกลับเส้นทางเดิมที่ลาดชัน จึงถามคนแถวนั้นว่ามีเส้นทางอื่นอีกหรือไม่ พวกเราก็วิ่งตามทางมาแบบงงๆ จนมาเจอเพชรในป่า ซึ่งเป็นจุดชมวิวด่านป่าสักที่เพิ่งเปิดใหม่ไม่กี่เดือน แต่ถ้าได้มาแล้วจะต้องร้องว้าว! เลยทีเดียว แถมยังมีคอฟฟีบาร์ที่นายทหารเป็นบาริสตาเองด้วย

คอฟฟี บาร์ ที่มีบาริสตาเป็นทหาร และชิมรสได้ที่จุดชมวิวด่านป่าสัก

ก่อนจบ Road Trip แม่สาย เราเรียกขวัญกันด้วยอาหารทะเล ที่แทบไม่น่าเชื่อว่ากุ้ง หอย ปู ปลา ที่แม่สายจะสดใหม่ ไม่ทำให้ท้องเสีย เราไปช้อปกันที่ ตลาดเย็นป่ายาง ที่นี่ยังเจอกับ “ขนมดาว”ของกินเล่น ของชาวไทใหญ่ ทอดร้อนๆกรอบนอกนุ่มใน รสนวลนัวเคล้าเผ็ดต้นหอมอร่อยดี จนต้องถามคนขายว่าทำจากอะไร ได้ความคร่าวๆว่าทำจากถั่วเหลือง และข้าวเจ้าปั่นเป็นน้ำแป้ง ปรุงรส ใส่ต้นหอม ชายในราคาน่ารัก 3 ชิ้น แค่ 5 บาท

ขนมดาว ของกินเล่นไทใหญ่

นอกจากข้าวแรมฟืน ขนมจีนน้ำเงี้ยวที่ใช้เส้นเล็กเหนียวนุ่มแแทนเส้นขนมจีน ขนมดาว ยังมีอีกหลายเมนูที่เป็นอาหารไทใหญ่ที่เราได้ชิม ทุกเมนูแม้จะแปลกแต่ก็อร่อยมาก ทั้งน้ำพริกผักชี น้ำพริกถั่วเน่า ที่เอาถั่วเน่ามาตัดเป็นสี่เหลี่ยมเต๋า แล้วผัด คลุกเข้ากับน้ำพริกที่คล้ายๆน้ำพริกน้ำย้อยของ จ.แพร่ กินแนมกับผักและ “แคปควาย” ที่หน้าตาไม่ต่างจาก “แคปหมู “แต่รสและกลิ่นหอมจัดกว่ามาก ครั้งแรกที่ได้ลองกินก็อร่อยดี แต่พอกินครั้งที่ 2 กลับกลายเป็นไม่คุ้น ที่อร่อยจับใจคือ น้ำพริกบาลาฉ่องกุ้ง หรือ ปาลาชอง น้ำพริกพื้นบ้านจากฝั่งเมียนมา หน้าตาคล้ายๆ น้ำพริกนรกของไทยแต่เด่นที่กุ้งแห้ง และกระเทียมเจียวหอมแดงเจียวเต็มรสเต็มคำใครที่ได้ไปเยือนแม่สายอีกทีก็อย่าลืมซื้อกลับบ้านมาด้วยล่ะ.

น้ำเงี้ยวแบบไทใหญ่ใช้เส้นเล็กเหนียวนุ่มแทนขนมจีน
น้ำพริกผักชีต้องกินคู่กับหมูทอดร้อนๆ

สิรินภา อิ่มศิริ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พายุฤดูร้อนถล่ม 4 จังหวัดภาคเหนือ บ้านเรือนเสียหาย ต้นไม้ใหญ่โค่นล้มเพียบ

ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับรายงานจาก สอต.พะเยา สอต.เชียงใหม่ สอต.แพร่ และ สอต.เชียงราย เกี่ยวกับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน วาตภัย เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 19 เม.ย.67 ในพื้นที่ ดังนี้

มท.2 ลงพื้นที่ จ.เชียงราย ตรวจตลิ่งริมแม่น้ำอิง ก่อนสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) พร้อมด้วย นางสาวพรพิมล ธรรมสาร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมเกียรติ กิจเจริญ คณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเอกภพ เพียรพิเศษ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

"รมช.สุรศักดิ์" ลงพื้นที่เมืองเชียงราย​ ลุย​ รับฟังสภาพปัญหาอุปสรรคจากหน่วยงานทางการศึกษา​ ก่อนนำข้อมูลเสนอต่อ​ที่ประชุม​ ครม.

เมื่อวันจันทร์​ ที่ ​18 มีนาคม 2567 นายสุรศักดิ์​ พันธ์​เจริญ​ว​ร​กุล​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ก่อนการประชุม​ ครม.สัญจร​ ณ โรงเรียนวัดพระเกิดคงคาราม อ.เทิง จ.เชียงราย​ โดยมี​ นายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (ประจำนายอนุทิน ชาญวีรกูล)