
การเดินทางท่องเที่ยวในภาคอีสาน เปรียบเมือนกับประตูสู่โลกของวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทั้งเรื่องราวของความเชื่อ ประเพณี วิถีชีวิต และศิลปะที่ถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนานผ่านรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเป็นการทอผ้าพื้นเมือง อาหารพื้นถิ่นรสจัดจ้าน เสียงดนตรีท้องถิ่น ภาษา วัดวาอาราม หรือโบราณสถานที่สะท้อนอดีตอันทรงคุณค่า ทั้งหมดนี้หล่อหลอมให้ภาคอีสานเป็นจุดหมายที่น่าค้นหา และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
ในทริปนี้เราได้ปักหมุดเดินทางทางสู่ 2 จังหวัดที่อยู่ไม่ไกลกันอย่าง นครพนมและสกลนคร ที่แม้จะใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชั่วโมง แต่ต่างก็เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งในแง่ความศรัทธา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าหลงใหล เริ่มต้นที่จังหวัดนครพนม การเดินทางสู่นครพนมเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับสายลมโชยมาเบา ๆ แม้อากาศในช่วงฤดูร้อนจะร้อนระอุจนต้องหยีตา แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานแรงศรัทธาของผู้คนที่หลั่งไหลมายัง วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จุดหมายสำคัญของการมาเยือน เพื่อกราบสักการะองค์พระธาตุพนม พระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวอีสาน

องค์พระธาตุพนมไม่เพียงเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธา แต่ยังบอกเล่าเรื่องราวแห่งความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในลุ่มน้ำโขงมาตั้งแต่ต้นพุทธกาล ตามตำนานกล่าวว่า พระมหากัสสปะและพระอรหันต์ 500 รูป ได้นำพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประดิษฐาน ณ ที่แห่งนี้ โดยมีท้าวพญาแห่งนครทั้งห้าเป็นผู้ร่วมสร้างองค์พระธาตุในยุคที่อาณาจักรศรีโคตรบูรเจริญรุ่งเรือง
แม้ในปี พ.ศ. 2518 องค์พระธาตุจะพังทลายลงจากความเก่าแก่และพายุฝน แต่ด้วยพลังแห่งศรัทธาของประชาชนทั่วสารทิศ จึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันบูรณะองค์พระธาตุขึ้นใหม่ให้กลับมางดงามดังเดิม โดยคงไว้ซึ่งรูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมทุกประการ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2522 นับเป็นพระธาตุที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างได้รับการบูรณะและสักการบูชาจากประชาชนหลากหลายเชื้อชาติตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีจึงถือเป็นศาสนสถานที่มีคุณค่าโดดเด่นและเป็นสากล และพระธาตุพนมไม่เพียงแต่เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีวอก แต่ยังเป็นพระธาตุประจำวันอาทิตย์อีกด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดนครพนม ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2568 เพื่อเยี่ยมชมและสนับสนุนการขับเคลื่อนวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร สู่การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยได้รับการบรรจุในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก โดยกระทรวงวัฒนธรรมพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันให้การขึ้นทะเบียนสำเร็จภายในปี 2570 เพราะมีคุณสมบัติในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกใน 3 เกณฑ์ ได้แก่ เกณฑ์ที่ 2:เป็นแรงบันดาลใจสำคัญด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม เกณฑ์ที่ 3 เป็นหลักฐานโดดเด่นของประเพณีหรืออารยธรรม และเกณฑ์ที่ 6 มีความเชื่อและประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือเหตุการณ์สำคัญ

ไปต่อกันที่ชุมชน ยลวิถี ที่ชุมชนบ้านนาถ่อน หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อบอวลด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมไทยกวน หนึ่งใน 9 กลุ่มชาติพันธุ์ของนครพนม ที่ยังคงสืบสานวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น ทันทีที่เข้าหมู่บ้าน บ้านหลังเล็กเรียงรายอยู่ภายในชุมชนดูอบอุ่น ที่นี่มีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมสนุกและเรียนรู้มากมาย ทั้งการจักสานไม้ไผ่ การทอผ้าขาวม้า การตีเหล็กแบบดั้งเดิม ทดลองต้มเกลือ และทำสปาเกลือสูตรชาวบ้าน ซึ่งเป็นแห่งเดียวในนครพนม ยังสามารถแวะชม วัดศรีมงคล, วัดแก้วเสด็จ และ วัดโพธิ์ลานช้าง

จากบรรยากาศของวิถีชุมชน เราเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองนครพนม แวะชมอาคารเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อย่าง หอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดนครพนม ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารศาลากลางจังหวัดหลังเก่าใจกลางเมือง เพียงแค่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอดีต อาคาร 2 ชั้นครึ่งก่ออิฐถือปูนแบบโบราณไม่มีโครงเหล็ก ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยและยุโรปสไตล์โคโลเนียล ภายในอบอุ่นด้วยโครงสร้างไม้ทั้งหลัง สร้างขึ้นเมื่อปี 2485 ในสมัยพระยาพนมนครานุรักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมคนแรก
ปัจจุบันกรมศิลปากรได้บูรณะอาคารหลังนี้ให้กลายเป็น หอสมุดแห่งชาติประจำภูมิภาค ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมและค้นคว้าได้ตั้งแต่ปี 2537 ภายในหอสมุดจัดเก็บหนังสือ เอกสารเก่า หนังสือตัวเขียน หนังสือตัวพิมพ์ รวมถึงจารึกและสื่อโสตทัศน์อันทรงคุณค่ามากมาย เปรียบเสมือนคลังสมบัติทางปัญญาของชาวนครพนม และยังเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินทางวัฒนธรรมที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้หลงใหลในประวัติศาสตร์และความงามของอาคารโบราณ

พลาดไม่ได้ต้องมาที่ลานพญาศรีสัตตนาคราช แลนด์มาร์คศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง องค์พญานาคขนาดใหญ่ สีทองเหลืองอร่าม พญาศรีสัตตนาคราช ที่สง่างามในอิริยาบถสงบนิ่ง ขดลำตัวสามชั้น แผ่เศียรทั้ง 7 สะท้อนถึงพลังอำนาจและความสงบร่มเย็นที่เชื่อว่าพญานาคมอบให้กับผืนแผ่นดินนครพนม ตามตำนานกล่าวว่า พญานาคได้เลื้อยมาตามสายน้ำโขง จนพบว่าพื้นที่ริมฝั่งนครพนมนั้นเหมาะสม จึงเลือกขึ้นมาประทับเพื่อคุ้มครองผู้คนให้มีแต่ความเจริญและผาสุข

มองจากมุมสูงจะเห็นเศียรทั้ง 7 เรียงตัวคล้ายดอกบัว สื่อถึงความบริสุทธิ์และความศรัทธาอันแน่นแฟ้นของชาวเมือง อีกทั้งยัมองเห็นวิวเพื่อนบ้านฝั่งลาว ที่มีสายน้ำโขงเชื่อมสัมพันธ์ ในช่วงหน้าร้อน จะเห็นเนินดินที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเป็นลอนคลื่น คล้ายเกล็ดของพญานาคตามความเชื่อของชาวบ้านริมโขงดูงดงามแปลกตา ช่วงเย็นเป็นอีกเวลาที่มาได้เช่นกัน เพราะจะมีการเปิดน้ำพุประกอบแสงไฟสร้างความสวยงามแปลกตา เหมาะแก่การเดินเล่น พักผ่อน หรือเก็บภาพความประทับใจท่ามกลางแสงสุดท้ายของวัน
อีกวันของทริปเดินทางต่อไปที่สกลนคร มาเยือนหมู่บ้านท่าแร่ ชุมชนคริสต์เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมหนองหาร เสน่ห์ของที่นี่อยู่ที่ความเงียบสงบและวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวคาทอลิก ที่สืบทอดต่อกันมากว่าร้อยปี เดินลัดเลาะไปตามถนนในหมู่บ้าน จะได้เห็นบ้านเรือนสไตล์โคโลเนียลแบบฝรั่งเศสที่ตั้งเรียงรายอย่างมีเอกลักษณ์ เป็นฝีมือช่างท้องถิ่นที่ออกแบบได้อย่างงดงามและไม่เหมือนที่ใด อย่าง ตึกหินโบราณ ซึ่งเคยเป็นบ้านของนายหนู ศรีวรกุล และนางหนูนา อุปพงษ์ ทายาทของเจ้าเมืองสกลนครในอดีต

บ้านหลังนี้มีอายุเกือบร้อยปี และเคยถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แทนโบสถ์ที่ถูกรัฐสั่งปิด ด้วยความศรัทธาและความผูกพันในชุมชน ทำให้บ้านหลังนี้กลายเป็นสถานที่สำคัญทางจิตใจของชาวท่าแร่ในยุคนั้น แม้ปัจจุบันตัวบ้านจะชำรุดและถูกปล่อยให้รกร้างจนกลายเป็นบ้านร้าง มีต้นโพธิ์ปกคลุมไปทั่ว แต่ก็ยังคงอบอวลไปด้วยเรื่องราวในอดีตและเสน่ห์ของกาลเวลาที่ชวนให้ใครหลายคนแวะเวียนมาเยี่ยมชม

เดินเลยจากตึกหินโบราณ มาชมบ้านเก่าอายุร้อยปีอีก 3 หลังที่เรียงรายอยู่ใกล้กันอย่างมีเสน่ห์ เริ่มจาก คฤหาสน์โสรินทร์ บ้านทรงยุโรปที่แม้จะถูกปล่อยให้รกร้าง แต่ก็ยังคงความสง่างามไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ถัดมาไม่ไกลคือ คฤหาสน์อุดมเดชวัฒน์ ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เปิดเป็นคาเฟ่และร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่น เหมาะกับการแวะพักจิบกาแฟระหว่างทางเที่ยวชมหมู่บ้าน คฤหาสน์ทั่ง 2 หลังมีลักษณะของสถาปัตยกรรมสไตล์ฝรั่งเศส มีการผสมผสานกลิ่นอายของเวียดนาม

และอีกหลังหนึ่งคือ บ้านฟรานซิสโก อีกหลังที่มีสไตล์ฝรั่งเศส โดยชั้นล่างเปิดเป็นร้านอาหารให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสรสชาติและกลิ่นอายของวันวาน บ้านทั้ง 3 หลังโดดเด่นด้วยสีเหลืองอ่อนสะดุดตา เป็นอีกมุมหนึ่งของท่าแร่ที่ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกกับกลิ่นอายชุมชนไทยคาทอลิกได้อย่างลงตัว

การเดินทางครั้งนี้ได้พาเราออกไปสัมผัสความงดงามทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม ผ่านสองจังหวัดที่อยู่ใกล้กันแต่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่งดงามอย่างยิ่ง และยังมีอีกหลายจุดที่น่าไปเที่ยวชม





ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ประชาชนแห่มอบดอกไม้ ให้กำลังใจแม่ทัพภาคที่ 2 แน่นวัดดังเมืองนครพนม
ประชาชนแห่มอบดอกไม้แม่ทัพภาค 2 ล้นวัด พิธีถวายพระพุทธรูปทรงเครื่อง เจ้าอาวาสมอบวัตถุมงคล แจกเป็นขวัญกำลังใจทหาร ส่องเลขทะเบียนรถ 2 คัน
ป.ป.ส. ร่วมตำรวจลาว จับนักค้ายาบ้ารายใหญ่ หนีหมายจับ 3 ปี ซุกบ้านเมียใช้ชีวิตหรู
พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบก.ปส.2 ปปส.) พ.ต.อ.ภัทรพงศ์ อินวรรณา ผู้กำกับการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครพนม