อุทธรณ์คุก‘ปอง-น้องสนธิ’

ศาลอุทธรณ์ยืนจำคุก "เจ๊ปอง-น้องสนธิ-ยุทธิยง-ภูวดล" คนละ 1 ปีไม่รอลงอาญาคดีพากลุ่ม พธม.บุก NBT ปี 51 ชี้ทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ  ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยอุกอาจไม่ยำเกรงกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและความสงบสุขของสังคม  ก่อนที่ศาลจะให้ประกันคนละ 2 เเสน  ทนายเผยจะยื่นฎีกาต่อไป

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ที่ศาลอาญา  ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำอ.1033/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสมเกียรติ  พงษ์ไพบูลย์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.), น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที แนวร่วม พธม. และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล น้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุก มั่วสุม สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง อั้งยี่ซ่องโจรฯ กรณีร่วมกันบุกยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) ในช่วงการชุมนุมของ พธม. เพื่อขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อปี 2551

คำฟ้องโจทก์ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 25-26 ส.ค.2551 จำเลยทั้งห้ากับพวก 85 คน ที่ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษแล้ว ร่วมกันกระทำความผิดเป็นซ่องโจร มั่วสุมก่อการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยร่วมกันเดินขบวนในถนนสาธารณะจากบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และจากที่อื่นๆ โดยมีอาวุธปืน มีด ขวาน ไม้กอล์ฟ ไม้ท่อน หนังสติ๊ก ลูกเหล็ก แล้วร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบริเวณและอาคารสำนักงานสถานีเอ็นบีที ทุบทำลายประตูหน้าต่าง ตัดสายไฟฟ้าตู้ควบคุมระบบไฟฟ้า ระบบโทรศัพท์ ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบกล้องวงจรปิด ทำลายระบบส่งสัญญาณการออกอากาศวิทยุโทรทัศน์ และร่วมกันข่มขืนใจพนักงานไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ออกอากาศและกระจายเสียง และสั่งให้ออกไปจากอาคารสถานี โดยจำเลยทั้งห้าเป็นหัวหน้าและเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิด อันเป็นความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร ฐานร่วมกันทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ฐานร่วมกันบุกรุก และฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210, 215, 309, 358, 364 และ 365 จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว

โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 12 ก.พ.63 ว่าการกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาให้ลงโทษบทหนักสุด ฐานร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน ให้จำคุกนายสมเกียรติ จำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี จำคุก น.ส.อัญชะลี จำเลยที่ 2 นายภูวดล จำเลยที่ 3 นายยุทธิยง จำเลยที่ 4 และนายชิติพัทธ์ จำเลยที่ 5 คนละ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา

โดยนายสมเกียรติจำเลยที่ 1 ได้เสียชีวิตเมื่อช่วง พ.ย.2564 ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

วันนี้จำเลยเดินทางมาศาล

ต่อมาเวลา 10.00 น.เศษ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า โดยศาลวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-5 แล้วเห็นว่า ก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 2-5 เข้าร่วมการชุมนุมที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อทราบเหตุว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมถูกจับกุมที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เอ็นบีที จำเลยที่ 2-4 จึงขึ้นรถยนต์บรรทุกติดเครื่องขยายเสียงมาที่เกิดเหตุพร้อมกลุ่มผู้ชุมนุมส่วนหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 5 โดยสารรถจักรยานยนต์มาที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2-5 ย่อมทราบว่าในขณะนั้นเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้ร่วมชุมนุมจำนวนหนึ่งไว้   การที่จำเลยที่ 2-5 กับกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมมาที่เกิดเหตุอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง แม้จะอ้างว่าจำเลยที่ 2-4 ไม่ได้เข้าไปในบริเวณและภายในอาคาร แต่การที่ร่วมกันเดินทางมา ย่อมทราบว่าอาจทำให้สถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ การกระทำของจำเลยที่ 2-4 กับพวกจึงเป็นการร่วมกันชุมนุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง

โดยผู้กระทำความผิดคนใดคนหนึ่งมีอาวุธแล้ว ทั้งพยานโจทก์ก็เบิกความสอดคล้องกันว่า เห็นและได้ยินจำเลยที่ 2-4 อยู่บนรถยนต์บรรทุกติดเครื่องขยายเสียงผลัดเปลี่ยนกันพูดโจมตีรัฐบาล สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เอ็นบีที การกระทำของจำเลยที่ 2-5 จึงเป็นการกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ และเป็นการร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ โดยมีอาวุธ โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 5 คน จำเลยที่ 2-5 จึงต้องรับผิดในฐานะตัวการร่วม   พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2-5 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่จำเลยที่ 2-5 อ้างว่าไม่ได้ร่วมกระทำความผิด จึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยที่ 2-5 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาด้วยการกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ก่อนนั้น เมื่อพิจารณาจากการที่จำเลยที่ 2-5 กับพวกร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายฯ ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น โดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ ลักษณะของการกระทำความผิดเป็นการกระทำโดยอุกอาจต่อหน้าเจ้าพนักงานตำรวจ เป็นการไม่ยำเกรงกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและความสงบสุขของสังคม และส่งผลต่อเศรษฐกิจของชาติโดยส่วนรวม กรณีจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2-5 และไม่รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย  พิพากษายืน

ขณะที่ น.ส.พวงทิพย์ บุญสนอง ทนายความ กล่าวถึงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น ตัดสินทั้ง 4 คน จำคุกคนละ 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เสียชีวิตแล้ว ศาลจึงสั่งจำหน่ายคดี

ส่วนเรื่องคดี มีความกังวลใจในระดับหนึ่ง แต่ก็น้อมรับคำพิพากษาของศาล และหลังจากนี้ จะดำเนินการยื่นขอประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์เดิม เป็นเงินสดจำนวนคนละ 2 แสนบาท ซึ่งการประกันอยู่ในเงื่อนไขของการประกัน ไม่มีปัญหาอะไร และก็จะยื่นฎีกาต่อ เพราะทำเรื่องอุทธรณ์ไปหลายเรื่องที่อยากให้ศาลท่านพิจารณาตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง

ต่อมาเวลา 15.00 น.เศษ ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2-5 ระหว่างฎีกาโดยตีราคาประกันคนละ 2 เเสนบาท โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไข.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง