ตู่ลั่นแจงได้ทุกเรื่อง สั่งเตรียมข้อมูลสู้ซักฟอก ฝ่ายค้านโล่งไม่ตีตกญัตติ

“บิ๊กตู่” ประกาศกลาง ครม. พร้อมชี้แจงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันไหนก็วันนั้น สั่งทุกกระทรวงเร่งแจงผลงานผ่านสื่อโซเชียล “วิษณุ” บอกสภายังไม่ส่งเรื่องมาเลยไม่กล้าเคาะวันไหน “สุชาติ” ตอกย้ำไม่กลัวตรวจสอบ แต่ข้องใจไอ้โม่งปั่นหัว “ชลน่าน” ให้ทำผิดรัฐธรรมนูญ “พท.” โวมองไปข้างหน้ากำหนดคนเชือดแล้ว “ทั่นโรม” ฟุ้งทุบตรงเป้ารัฐมนตรีถึงออกอาการ แกนนำเสื้อแดงชี้ “ไล่หนูตีงูเห่า” เหมือนผลักมิตรเป็นศัตรู

เมื่อวันอังคารที่ 21 มิถุนายน มีรายงานข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ได้รายงาน ครม.ว่า ฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยขอเวลา 5 วัน ระหว่างวันที่ 18-21 ก.ค. และลงมติวันที่ 22 ก.ค. ซึ่งหลังนายอนุชารายงานเสร็จ รัฐมนตรีคนอื่นๆ ไม่ได้มีใครติดใจหรือแสดงความเห็นอะไร โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พูดว่า “รับทราบ วันไหนก็วันนั้น พร้อมๆ ชี้แจงทุกเรื่อง และผู้ที่เกี่ยวข้องไปเตรียมข้อมูลที่จะใช้ในการชี้แจงให้พร้อม ให้วิปไปคุยกันให้เรียบร้อยในเรื่องนี้” ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.ยังไม่ได้มีมติตอบรับในเรื่องดังกล่าว โดยให้วิปรัฐบาลไปหารือ 

นอกจากนี้ ในที่ประชุม นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เสนอต่อที่ประชุมว่า ควรปรับเรื่องการสื่อสารให้เข้มข้นในส่วนที่เกี่ยวกับโซเซียลมีเดีย เพื่อให้ทันต่อโลก  เนื่องจากเห็นว่างานที่รัฐบาลทำมามีมาก  แต่สื่อสารไปยังประชาชนได้น้อย ขณะที่ในช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์ได้กำชับเรื่องนี้ว่า ให้ทุกกระทรวงเผยแพร่ผลงานที่ได้ดำเนินงานมาให้ประชาชนทราบ โดยให้ปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสารมาใช้โซเชียลมีเดีย เพราะเป็นช่องทางที่เข้าถึงประชาชนได้ง่าย

แหล่งข่าวใกล้ชิดนายกฯ เผยว่า ภายหลังเลิกประชุม พล.อ.ประยุทธ์มีท่าทีอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีการพิจารณาหลายวาระ พร้อมกับได้พูดกับคนใกล้ชิดว่า “เหนื่อย” 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงคะแนนเสียงของพรรคเล็กที่จะเทคะแนนให้ว่า ก็แล้วแต่เขา ส่วนตัวไม่มีปัญหาอะไร ส่วนต้องคุยกับพรรคเล็กให้สนับสนุนรัฐมนตรีคนอื่นหรือไม่นั้น เมื่อเขาอยู่กับรัฐบาลอยู่แล้วคงไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่า พรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) ออกมาเป็นองครักษ์พิทักษ์ลุงป้อม ทำให้สบายใจหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า  “ก็พิทักษ์ทั้งหมด และเขาก็ร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว แต่ก็มีบางคนแล้วแต่ความคิด คงไม่มีปัญหา” 

ถามถึงกรณีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.การคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ จะให้กำลังใจอย่างไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่เป็นไร ตนเองก็โดนเพ่งเล็ง

เมื่อถามอีกว่า พล.อ.ประวิตรได้เก็งข้อสอบหรือไม่ว่าจะถูกซักฟอกเรื่องอะไร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ต้องเก็ง เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด พร้อมย้อนว่า “ผมทำอะไรผิด ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าถามมาผมก็ตอบไป เท่านั้นเอง”

ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้สภาผู้แทนราษฎรยังไม่ได้แจ้งญัตติที่ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจมายัง ครม. เพื่อหารือเรื่องการกำหนดวันอภิปราย ครม.จึงยังทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราอยากหารือ และที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะให้ใช้วันที่ 18 ก.ค.เป็นวันอภิปรายหรือไม่นั้น เพราะยังไม่กล้าตัดสินใจ เนื่องจากยังไม่ทราบว่าจะเลื่อนประชุม ครม.ในสัปดาห์ดังกล่าวได้หรือไม่ แต่ที่สำคัญคือสภายังไม่ได้ส่งญัตติอภิปรายมา และ ครม.ก็ไม่ได้หยิบยกมาหารือ มีเพียงนายอนุชารายงานที่ประชุมทราบว่าได้มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว แต่ประธานสภาฯ จะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้นไม่ทราบ

สุชาติย้ำไม่กลัวตรวจสอบ

ส่วนนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรค พปชร. กล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นตรวจสอบญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 11 คนของฝ่ายค้านเป็นญัตติเถื่อนหรือไม่ ว่าอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของประธานสภาฯ และเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. นายเกรียงไกร ลีกิจวัฒนะ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2566 ได้ยื่นต่อประธานสภาฯ และจะไปยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป เพราะเรื่องนี้เทียบเคียงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีตกรณีเสียบบัตรแทนกัน ที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปแล้วหลายคน ซึ่งเรื่องนี้ยิ่งกว่าเสียบบัตรแทนกัน

“การยื่นญัตติของฝ่ายค้านครั้งนี้ถือว่าไม่เหมาะสม จะมาอภิปรายเขา แต่ขั้นตอนปฏิบัติไม่ถูกต้อง ยืนยันว่าผมไม่ได้กลัวการตรวจสอบ พรรคก้าวไกลอย่ามาพูด อย่ามายุ่งกับผม เพราะผมไม่เคยยุ่งกับคุณ เดี๋ยวรู้สึก เดี๋ยวเจอกัน จะตรวจสอบก็ตรวจสอบไป คนละประเด็นอย่าเบี่ยงประเด็น แต่ที่ผมให้ตรวจสอบคือญัตติของคุณมันชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่" นายสุชาติกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะฝากอะไรถึงคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่ นายสุชาติกล่าวว่า แค่คนคนเดียวสามารถทำให้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทยมีปัญหาได้ ก็ไปคิดเอาเองแล้วกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตนเป็นลูกผู้ชายชัดเจน ถ้าอยู่ในสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายตามครรลองคลองธรรม ไม่มีปัญหา ถ้าเปรียบเทียบเหมือนกำลังเดินอยู่ มาเอาไม้ตีหัวและหันกลับไปสู้แค่นี้มาร้องได้อย่างไร ไม่คิดกันหรือ

“อย่ามาเบี่ยงประเด็นว่ากลัวการตรวจสอบหรือได้คะแนนน้อย ได้ถ้วยบู้บี้ได้คะแนนรองบ๊วยและบ๊วยก็ได้มาแล้ว ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลมีหลายสิบพรรค เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ที่จะให้คะแนนเรา อยู่ในประเทศไทยต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง คุณเป็นผู้นำฝ่ายค้านออกกฎหมายใครจะเชื่อถือคุณ ไม่ได้บอกว่าคุณผิดหรือถูก แต่ถ้าเรื่องถึง ป.ป.ช.ก็ว่ากันไป และสุดท้ายก็สอบลายเซ็นทั้งหมดว่าตอนเซ็นอยู่ที่สภาหรือไม่ ไปตอบคำถาม ป.ป.ช.เองแล้วกัน”นายสุชาติกล่าว

เมื่อถามว่า ยังเชื่ออยู่หรือไม่ว่าเป็นเรื่องของผู้ที่มีอิทธิพลนอกพรรคฝ่ายค้าน นายสุชาติกล่าวว่า แน่นอน ลองไปถาม นพ.ชลน่านดูว่าทำได้อย่างไรโดยพลการ และอยากให้ลองไปถามผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ในสภามาหลายสิบปี ตอนลงชื่อเซ็นในร่างญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 10 คนหรือ 11 คน ถ้าเซ็นในร่าง 10 คน เขาเอาชื่อท่านไปในร่าง 11 คนได้อย่างไร

ด้านนายเรืองไกรกล่าวในประเด็นนี้ว่า  การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิทธิของฝ่ายค้านที่ควรทำและทำมาทุกสมัย แต่จากการเป็นนักตรวจสอบ ซึ่งได้เห็นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวจริง และได้ดูเอกสารอย่างละเอียด พบว่าในญัตติมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง  โดยเนื้อหาของทั้งสองฉบับมีความแตกต่างกัน แต่เหมือนกันที่รายชื่อที่ลงชื่อเพื่อยื่นญัตติ ซึ่งการแก้ไขญัตติของฝ่ายค้านครั้งนี้ ทำให้นึกถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 ซึ่งฉบับนี้มีหลักการแก้ไขเพิ่มเติมให้ ส.ว.ลงเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งที่ต้องไปทำและเซ็นกันใหม่ และถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตก โดยทั้ง 2 กรณีจึงเป็นเรื่องที่คล้ายกัน ทั้งนี้ สิ่งที่ฝ่ายค้านออกมาอธิบายว่าสามารถทำได้ จะแก้หรือเปลี่ยนตรงไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ปรากฏว่ามี 2 ญัตติ และไม่ได้มาแถลงก่อนหน้านี้

แนะกลับไปยื่นญัตติใหม่

เมื่อถามว่า หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลพยายามเดินเกมนี้เพื่อให้ญัตติถูกเลื่อนออกไปจนหมดสมัยประชุม จนทำให้ญัตติตกไปนั้น นายเรืองไกรกล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะปีที่แล้วมีการลงมติในช่วงเดือน ก.ย. โดยขอให้ทั้งสองฝ่าย ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ไปกล่าวหาเขา แต่พฤติกรรมของท่านกลับไม่ซื่อสัตย์สุจริตเสียเอง ขอให้ฝ่ายค้านกลับไปเขียนญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมายื่นต่อนายชวนใหม่ ไฟล์เดิมก็มีอยู่แล้ว ใช้เวลาเพียง 1-2 วัน กลับไปทำให้ถูกต้อง ทุกอย่างจะได้ไม่มีปัญหา

 “ผมไม่ได้รับงานมาจากคณะรัฐมนตรี รัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ใครจะมีปัญหาอะไรเรืองไกรไม่เกี่ยว เรืองไกรทำหน้าที่เงียบมาก” นายเรืองไกรกล่าว

ด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า เรามองเจตนาดีของนายสุชาติที่เชื่ออย่างนั้น ซึ่งเราก็รับฟัง แต่วันนี้ ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านทุกคนไม่มีใครวิตกกังวลเรื่องนี้ เรามองข้ามไปว่าจะเตรียมการอภิปรายอย่างไร โดยพรรคจะประชุมเพื่อวางตัวผู้อภิปรายแล้ว และเดินหน้าต่อไป เราไม่กังวล และมองไปไกลแล้ว ถึงขั้นตอนการแบ่งเวลาการอภิปรายกันแล้ว

เมื่อถามว่า นายเรืองไกรแนะนำให้ถอนญัตติออกมาก่อน จากนั้นทำและยื่นใหม่ นายสุทินกล่าวว่า เรื่องนี้จะมีปัญหาก็ต่อเมื่อมี ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นเจ้าทุกข์ พูดขึ้นมาเดินเรื่องหรือโวยวายขึ้นมา แต่เมื่อ ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านยังนิ่ง เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร และล่าสุดเมื่อช่วงเช้าซึ่งครบ 7 วันพอดีหลังจากยื่นญัตติ นายชวนได้ส่งหนังสือขอให้ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ยื่นญัตติมาลงนามยืนยันความถูกต้องของญัตติที่เสนออีกครั้ง ก่อนส่งกลับให้นายชวน ซึ่งจะประสานไปให้หัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านทุกพรรคให้ลงนาม และส่งทันที ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นการหาข้อเท็จจริง และแก้ปัญหาที่ถูกร้องเรียนเรื่องญัตติเถื่อนเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้

 “ที่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น ก็ไม่เข้าใจว่ารัฐบาลอาจได้ข้อมูลที่ผิดพลาด หรือมีเจตนาทำลายจังหวะ และสมาธิของฝ่ายค้านก็เป็นไปได้ ไม่ได้มองอย่างอื่น เพราะเราก็ตรวจสอบ ส.ส.ฝ่ายค้านอยู่ตลอดว่ามีใครคัดค้านอะไรหรือไม่” นายสุทินระบุ

เมื่อถามว่า มีเหตุผลอะไรที่เพิ่มชื่อนายสุชาติเข้ามาก่อนวันยื่นญัตติต่อประธานสภาฯ กะทันหัน นายสุทินกล่าวว่า มันไม่ถึงกับกะทันหัน เพราะความจริงมีชื่อนายสุชาติตั้งแต่วันแรกแล้ว โดยช่วงแรกมีรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายถึง 15 คนด้วยซ้ำ แต่ฝ่ายค้านก็คัด และรอข้อมูลยืนยันอยู่ 2 คน พอถึงวันสุดท้ายก็มาตรวจสอบกันอีกครั้ง พบว่าข้อมูลเพียงพอจึงเพิ่มเข้ามา บางคนที่คิดว่าจะเข้ามาแต่ตัดออกก็มี เพราะทุกอย่างอยู่ที่ข้อมูลและ ส.ส.ที่ลงชื่อ ก็มีความเข้าใจทุกคน

เมื่อถามย้ำว่า ได้เพิ่มชื่อนายสุชาติมาก่อนล่ารายชื่อ ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ไม่ได้เพิ่มใหม่ เพราะมันก็มาแบบนั้น ยืนยันว่าวันสุดท้ายเป็นการตัดรายชื่อออก ไม่ได้เพิ่มรายชื่อแต่อย่างใด

เมื่อถามถึงกรณีที่เอกสารออกมาว่าเดิมมีรายชื่อรัฐมนตรี 10 คน นายสุทิน กล่าวว่า ไม่น่าจะใช่ เพราะที่ผ่านมาเป็นเพียงการให้สัมภาษณ์เท่านั้น ซึ่งยังไม่มีเอกสารยืนยันตามนั้น การให้ข่าวถือเป็นกลยุทธ์ และเป็นเรื่องธรรมดา

โอ่ทุบสุชาติถือว่าตรงเป้า

ส่วนนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุว่า จากการติดตามการสัมภาษณ์ของนายสุชาติ ทำให้เกิดความแปลกใจว่าทำไมนายสุชาติถึงออกมาดิ้นขนาดนี้ เพราะการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิ่งที่ทำกันเพื่อใช้เป็นพื้นที่ตรวจสอบรัฐบาล หากนายสุชาติไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันก็ไม่ต้องกังวล และทำหน้าที่ชี้แจงให้ประชาชนหายสงสัย การออกมาพูดด้วยวาจาในลักษณะดังกล่าวเป็นสิ่งยืนยันว่าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายสุชาติของพรรค ก.ก.และพรรคร่วมฝ่ายค้านถือว่าตรงเป้า

เมื่อถามว่า เหตุใดนายสุชาติถึงออกมาดิ้นมากกว่าการอภิปรายรอบที่ผ่านมา นายรังสิมันต์กล่าวว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นช่วงใกล้เลือกตั้งใหญ่ ทำให้นายสุชาติกังวลว่าหากเปิดเผยข้อมูลออกมา และนายสุชาติตอบคำถามได้ไม่ดี อาจกระทบถึงความนิยมที่มีต่อตัวนายสุชาติและรัฐบาลได้ นายสุชาติจึงไม่อยากตายทางการเมืองในช่วงนี้ เมื่อพิจารณารวมถึงเสถียรภาพของรัฐบาลที่มีความง่อนแง่น จึงทำให้นายสุชาติไม่มั่นใจว่าตัวเองจะรอดจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในรอบนี้หรือไม่ และการจะกลับมาในครั้งต่อไปก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย

“เป็นไปได้ว่านายสุชาติคิดว่าตัวเองอาจจะไม่รอด เหมือนเป็นการรู้ชะตากรรมตัวเอง แต่ยืนยันว่าลูกไม้แบบนี้ใช้ไม่ได้ผล” นายรังสิมันต์ระบุ

นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาฯ กล่าวถึวกรณีนายชวนส่งหนังสือให้ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ยื่นญัตติมาลงนามยืนยันความถูกต้องของญัตติที่เสนอมาอีกครั้ง ว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่ต้องให้พรรคฝ่ายค้านทุกพรรคที่ร่วมลงชื่อในญัตติรับรองว่ารายชื่อทั้งหมดถูกต้องทุกอย่าง เพราะนายสุชาติและนายเรืองไกรร้องมาเกี่ยวกับญัตติดังกล่าว จึงต้องให้แต่ละพรรคยืนยัน และเป็นการตรวจสอบอีกครั้ง ถ้ามีใครไม่ยินยอมพร้อมใจ หรือไม่เต็มใจ ก็ว่ากันไป แต่รายชื่อที่สนับสนุนญัตติต้องได้ 1 ใน 5 ของ ส.ส.เท่าที่มีอยู่หรือ 96 คน

"เป็นการตรวจสอบของฝ่ายตรวจสอบรายชื่อเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เช่นกรณีลายเซ็นไม่ตรงกับที่ผ่านมา ก็ต้องถามกลับไปว่าเซ็นเองหรือไม่ จะให้ถาม ส.ส.แต่ละคนก็จะเสียเวลา จึงถามไปยังพรรคการเมืองนั้นๆ แล้วให้แต่ละพรรคยืนยันมา หากรายชื่อทุกอย่างถูกต้องก็ถือว่าญัตติถูกต้อง โดยแต่ละพรรคฝ่ายค้านต้องตอบกลับมาให้เร็วที่สุด ถ้าตอบช้าญัตติดังกล่าวก็จะช้าออกไปอีก" นพ.สุกิจกล่าว

ภท.โวคุยมากกว่านายประดิษฐ์

วันเดียวกัน ยังมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่นๆ โดย พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยลงพื้นที่ศรีสะเกษแล้วมีประชาชนให้การต้อนรับเป็นจำนวนมาก ว่า คิดว่าทุกพรรคไปที่ไหนประชาชนก็ให้การต้อนรับ เพราะทุกคนทำงานให้ประชาชน ซึ่ง พปชร.ก็ลงพื้นที่ทั้งพรรคอยู่แล้ว ส่วนจะต้องจัดทัพใหญ่ไปแบบ พท.หรือไม่นั้น เราทำทุกพื้นที่ เราไม่ได้เลือกทำพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง

เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตรจะลงพื้นไปนำทัพด้วยตัวเองหรือไม่ หัวหน้าพรรค พปชร.กล่าวว่า ก็ยังไม่ได้หาเสียงกันเลย เพียงแต่ลงพื้นที่ไปดูแลประชาชนทุกพื้นที่ให้เขาอยู่ดีกินดี ถือเป็นความต้องการของพรรค

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกระแสข่าวนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีต รมช.การคลัง และอดีต ส.ส.พิจิตร พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จะเข้ามาร่วมงานกับพรรค ว่ายังคงเป็นข่าวอยู่ ยังไม่ได้มีการดำเนินการอย่างเป็นทางการ ยังคงปรึกษากันอยู่ แต่ยอมรับว่ามีการพูดคุยกันจริง ซึ่งไม่ได้มีการพูดคุยเฉพาะนายประดิษฐ์เท่านั้น แต่มีการพูดคุยมากกว่านายประดิษฐ์

นายพิเชษฐ์ ทาบุตดา หรือ อ.ต้อย ชักธงรบ แกนนำเสื้อแดง วิเคราะห์ถึงการเคลื่อนไหวของครอบครัวพรรคเพื่อไทยที่ จ.ศรีสะเกษ ในธีมไล่หนูตีงูเห่า ว่าเหมือนไล่มิตรเป็นศัตรู เพราะศัตรูที่แท้จริงไม่ใช่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หากเคลื่อนไหวรุนแรงในเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างอดีตนายใหญ่กับนายอนุทินจะไม่ดีและจะมองหน้ากันไม่ติด เพราะหลังการเลือกตั้งครั้งต่อไปเพื่อไทยอาจต้องไปนั่งจับเข่าคุยกันกับภูมิใจไทย ส่วนงูเห่าที่ตีนั้นก็ล้วนแต่เป็นเพื่อน การซื้อขายตัว ส.ส.การเมืองไทยก็มีมานาน ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น สมัยคุณทักษิณก็เคยซื้อตัวพรรคอื่นมาเช่นกัน ดังนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาของวิถีการเมือง

ส่วนที่วัดอรุณราชวรารามฯ แกนนำพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยทีมงานและบุคคลใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้เป็นตัวแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 55 ปี โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ร่วมทำบุญผ่านระบบซูม และกล่าวหลังคณะสงฆ์ให้พรว่า หวังว่าวันหนึ่งจะได้มีโอกาสไปกราบพระคุณเจ้าที่ประเทศไทย อย่างไรก็แล้วแต่ ขอฝากความหวังไว้ที่ทุกคนด้วย วันนี้ยังรักและคิดถึงเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และประชาชนที่เมืองไทย ตนเองก็พยายามรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเพื่อรอวันที่จะได้กลับประเทศไทย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง