คนไทยไม่แก้ม.112 เกือบ100%ฮึ่มดึงสถาบัน หอบชื่อ2แสนต้านรื้อกม.

โพลตบหน้าก๊วนแก้ไขมาตรา 112 ประชาชนส่วนใหญ่ 96% ไม่เอาด้วย เกือบ 100% ไม่อยากให้ดึงสถาบันมายุ่งการเมือง เชื่อมีต่างชาติคอยหนุนหลังให้ทำลายประเทศ “พุทธะอิสระ” หอบกว่า 2.2 แสนรายชื่อห้ามแตะต้องสถาบัน ซัดไม่เคยทำประโยชน์ให้แผ่นดินและดันมาเหิมเกริม

เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พ.ย. ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ ได้เผยผลสำรวจเรื่อง ม.112 : เบื้องหลังและความจำเป็น กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 2,272 ตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่หรือ 98.5% ระบุการมีอยู่ของสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์เชิงลึกของคนในชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเชิงประวัติศาสตร์ เช่น ไทย-จีน, ไทย-ญี่ปุ่น, ไทย-อังกฤษ เป็นต้น

ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือ 97% ระบุสถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันหลักของการก่อร่างสร้างชาติในการกอบกู้เอกราช ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดูแลทุกข์สุขของราษฎร และ 96.1% ระบุไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการยกเลิก หรือแก้ไขมาตรา 112 เพราะการมีอยู่ ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตปกติและสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป

นอกจากนี้ เกือบร้อยละร้อย หรือ 99.1% ไม่ต้องการให้ใครหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำสถาบันกษัตริย์และการแก้ ม. 112 มาเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง หาคะแนนเสียงและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวสร้างความแตกแยกขัดแย้งในชาติ ในขณะที่ 98.9% ระบุจำเป็นต้องป้องกันและปกป้องการล้มล้างสถาบันจากกลุ่มไม่หวังดี บิดเบือนใส่ร้ายและจาบจ้วง, 98.4% ระบุประมุขของทุกประเทศ เป็นเกียรติศักดิ์ศรีและสถาบันหลักของชาติ จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองด้วยกฎหมาย และ 98.4% ระบุไม่ต้องการให้นำสถาบันกษัตริย์และ ม.112 มาเป็นเครื่องมือปลุกปั่นเยาวชน คนรุ่นใหม่ให้ล้มล้างสถาบันอันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ

นอกจากนั้น 97.2% ระบุมีความพยายามจากขบวนการต่างชาติมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง เชื่อมโยงกับกลุ่มต่อต้านสถาบัน ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ชาติไทย และ 96.2% เชื่อว่ามีกลุ่มต่อต้านสถาบันและแกนนำรับเงินและผลประโยชน์อื่น เป็นเครื่องมือของประเทศมหาอำนาจในการโค่นล้มสถาบัน

ผศ.ดร.นพดลกล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้เท่าทันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มที่สมประโยชน์กับต่างชาติ ต้องการการเปลี่ยนแปลงการปกครองและตักตวงผลประโยชน์ของชาติไป จึงไม่ต้องการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำสถาบันไปแสวงหาผลประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นการยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย อันนำไปสู่ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติได้

“หลักนิติธรรมของมาตรา 112 เป็นหลักที่สำคัญต่อการปกครองประเทศที่มีความเป็นสากล เพราะนานาประเทศย่อมมีกฎหมายพิเศษคุ้มครองประมุขของประเทศผู้ใดในประเทศนั้นๆ จะละเมิดหรืออาฆาตมาดร้ายประมุขของประเทศไม่ได้ โดยประชาชนคนไทยทั่วไปก็ทราบดี แต่มีเพียงคนบางกลุ่มที่พยายามบิดเบือน จุดประเด็นให้เกิดเป็นเชื้อไฟและพัดโหมให้กลายเป็นความขัดแย้งขึ้นในหมู่ประชาชนที่อาจลุกลามบานปลายได้”

ผู้อำนวยการซูเปอร์โพลระบุว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นความพยายามของขบวนการต่างชาติมหาอำนาจ ที่แทรกแซงเพาะเชื้อก่อเหตุวุ่นวายนอกประเทศอย่างที่ทำไปในฮ่องกงและอาหรับ เข้ามาเอื้อผลประโยชน์ให้แกนนำขบวนการล้มล้างสถาบันในไทย ที่ทุกฝ่ายย่อมรู้เท่าทันและควรช่วยกันป้องกันไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแสวงหาอามิสสินจ้างและผลประโยชน์อื่นๆ ทั้งทางการเมืองและการเคลื่อนไหวขององค์กรต่างชาติปั่นหัวคนไทยให้ขัดแย้งกันเอง ตักตวงผลประโยชน์ออกนอกประเทศ นำสู่ความอ่อนแอของชาติไทยในทุกมิติ

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เห็นด้วยกับผลสำรวจของซูเปอร์โพลเรื่องมาตรา 112 โดยเฉพาะ 98.5% ที่เห็นการมีอยู่ของสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์เชิงลึกของคนในชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเชิงประวัติศาสตร์ และ 99.1% ที่ไม่ต้องการให้นำสถาบันและการแก้มาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง

“อยากให้ฝ่ายค้านได้รู้จักคิดและฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศบ้าง ว่าประชาชนมีความต้องการอะไร และการที่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น มั่นใจว่าคนไทยทั้งประเทศไม่ยอมอย่างแน่นอน” นายเสกสกลกล่าว และว่า คนไทยส่วนใหญ่มีความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบัน จะไม่ยอมให้พวกหนักแผ่นดินวางแผนคิดล้มล้างสถาบันอย่างเด็ดขาด แม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตาม จะขอปกป้องจนถึงที่สุด

นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเพื่อชาติไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมาย ม.112 เพราะจะสร้างความแตกแยกของสังคมไทย และไม่เข้าใจที่ดันทุรังจะแก้ จะเป็นจะตาย แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วยแน่

ขณะที่นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพุทธะอิสระ เข้ายื่นหนังสือคัดค้านการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญบทบัญญัติว่าด้วยพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์ทุกมาตรา และคัดค้านการแก้ไขประมวลอาญามาตรา 112 พร้อมนำรายชื่อประชาชนผู้คัดค้านการขอแก้ไข จำนวน 222,928 รายชื่อ ยื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ผ่านนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาฯ

นายสุวิทย์กล่าวว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของชาติ ที่มีคุณูปการต่อคนไทยมาอย่างยาวนาน เป็นหลักชัย หลักใจ เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชาติ และนำพาประเทศให้พัฒนาเติบโตก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก นับแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน แต่บัดนี้มีกลุ่มบุคคลเพียงหยิบมือที่ไม่ได้เคยสร้างประโยชน์อันใดให้กับแผ่นดินเกิด กลับมาแสดงความกำเริบ เหิมเกริม กระทำการจาบจ้วงล่วงเกิน หมิ่นประมาท ด้อยค่า จำกัดบทบาท และต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังปลุกระดมมวลชนโดยใช้เฟกนิวส์ เรียกร้องให้ทำการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เพื่อลิดรอนพระราชอำนาจ

“พวกเราในนามเครือข่ายภาคีกองทัพประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้มีความจงรักภักดี ได้รวบรวมรายชื่อผู้คัดค้าน เพื่อให้เกิดการยับยั้งการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญบทบัญญัติที่ว่าด้วยเรื่องพระมหากษัตริย์และสถาบันทุกมาตรา และคัดค้านการขอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116" นายสุวิทย์กล่าว

วันเดียวกัน ที่ สน.บางโพ กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ได้เดินทางมาเพื่อยื่นหนังสือถึง พล.ต.ท. สําราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ผ่านทาง พ.ต.อ.พงศ์พัชร์ แจ้งหมื่นไวย์ ผู้กำกับการ สน.บางโพ เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎรได้รวมตัวชุมนุมประชิดทำเนียบรัฐบาล และได้ขวางทางขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รวมทั้งคดีการลอบวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม

นายอานนท์ยังกล่าวถึงการแก้ไขมาตรา 112 ว่าอย่าดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเล่นกับการเมือง และขอคัดค้านการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกมาตรา โดย ศปปส.จะทำการคัดค้านในทุกวิถีทาง และจะรวบรวมรายชื่อเพื่อนำไปสมทบกับของอดีตพระพุทธะอิสระที่ได้ยื่นรายชื่อคัดค้านไปแล้ว โดยคาดว่าในช่วงสัปดาห์หน้าจะนำรายชื่อเพิ่มเติมยื่นต่อสภา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง