ชูวิทย์แฉมาเฟียจีนซี้ปปง.

ผบ.ตร.หิ้ว "ชูวิทย์" กินข้าวกลางวันร่วมกับ "บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่อ"   เคลียร์ใจคดี "ตู้ห่าว" หลังความเห็นไม่ตรงกัน พร้อมให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ประสานอัยการร่วมดำเนินคดีใกล้ชิด "เสี่ยอ่าง" แฉมาเฟียจีนสนิท ปปง. เกรงเปิดช่องทุจริต เสนอให้ลาออกทั้งคณะ

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยการดำเนินคดีกับนายตู้ห่าว และธุรกิจทุนจีนผิดกฎหมาย  หลังจากที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้รับพิจารณาเป็นคดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้รับคดีฟอกเงินทางอาญาไปเป็นคดีพิเศษแล้ว ซึ่งก็ถือว่าคดีนี้จะได้ร่วมกันทำงานหลายฝ่าย เพื่อทำให้คดีมีน้ำหนัก และรอบคอบชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่จะสามารถดำเนินคดีนี้ได้ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ประสานกับคณะทำงานของอัยการสูงสุด และให้รายงานความคืบหน้าทางคดีอย่างต่อเนื่อง

วันเดียวกันนี้ ผบ.ตร.ได้รับมอบรถห้องเย็นเพื่อให้โรงพยาบาลตำรวจนำไปใช้ในภารกิจงานนิติเวช และศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล จากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ได้นำมาบริจาค และได้เชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พร้อมกับให้ร่วมพูดคุยข้อมูลทางคดี และปรับความเข้าใจในข้อมูลบางอย่างที่อาจจะเห็นต่างกัน ยืนยันว่าไม่ได้ขัดแย้งกัน

นายชูวิทย์ยืนยันว่าที่นำรถห้องเย็นมามอบให้เพื่อสนับสนุนการทำงานของตำรวจ และก่อนหน้านี้ได้นำรถห้องเย็นไปมอบให้กับโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติมาแล้ว และเตรียมจะมอบให้กับโรงพยาบาลของรัฐอีก 20 คัน พร้อมยอมรับว่าการมอบรถครั้งนี้ก็ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝง ต้องการให้นำไปใช้ประโยชน์กับประชาชนต่อไป

ส่วนการร่วมรับประทานอาหารกับผบ.ตร.และรอง ผบ.ตร.นั้น เขาบอกว่าเพื่อพูดคุยและทำความเข้าใจกันหลายเรื่อง หลังจากนายชูวิทย์นำหลักฐานเปิดโปงเครือข่ายทุนจีนสีเทา อยากขอบคุณ ผบ.ตร.และรอง ผบ.ตร. ที่ให้ความสำคัญในคดีนี้ พร้อมชี้แจงว่าตนได้รวบรวมพยานหลักฐานก่อนจะเปิดเผยข้อมูลกับสื่อมวลชนในวันที่ 13 ก.ค.65 เห็นจากตนเองเห็นสิ่งปกติ หลังสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีนปราบคอร์รัปชันในประเทศอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ได้เปิดแถลงที่ล็อบบี้โรงแรมเดอะเดวิสคอนเนอร์วิงค์ว่า สำหรับการจับผับจินหลิงเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม มี ผบช.น.เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนนั้น วันนี้ไปมอบรถ ได้ร่วมรับประทานอาหารกับ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ผบช.น.ไม่ว่าง ได้หลบหน้าหลบตา

นายชูวิทย์กล่าวว่า ตามที่ ผบช.น.แถลงนายธนบดีที่รับเป็นผู้ดูแลไม่ใช่ รปภ.ผับจินหลิงนั้น ได้ดำเนินคดีจับขัง ต่อมาพบหลักฐานไม่ใช่ผู้ดูแลก็ได้ปล่อย แล้วกลับมาเป็นพยาน ทำไมไม่ดูหลักฐานว่าบริษัทนั้นเป็นบริษัทการ์ดหรือ รปภ.หรือไม่ ให้ตรวจสอบว่ามีนายธนบดีเป็นพนักงานหรือไม่ เพราะวันจับผับจินหลิงนั้นมีการจับคนไทย 26 คน มีทั้ง รปภ. เด็กเสิร์ฟ

นายชูวิทย์กล่าวว่า สำหรับนักเที่ยวจีนผับจินหลิงมี 260 คน ปัสสาวะสีม่วง 104 คน แล้วส่งปัสสาวะไปตรวจโรงพยาบาล จาก 104 เหลือ 77 คน หายไป 27 คน ซึ่งผับแห่งนี้ไม่ใช่สถานบริการ แต่เป็นสถานที่มั่วสุมยาเสพติด เท่ากับที่เหลือกว่า 150 คนที่ปัสสาวะสีปกติ และ 27 คนที่ได้รับการปล่อยตัวไปเลย ตรงนี้ถือเป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะยาเสพติดในที่เกิดเหตุเยอะมาก ไม่ใช่สถานบริการทั่วไป แล้วเอา 77 คนไปขัง ตม. และไม่แน่ใจว่าตรวจหมดหรือไม่ กำลังตำรวจ น้ำยาตรวจ พอหรือไม่

"ใน 77 คนมีข้อน่าสังเกต ที่หายไปที่เกิดเหตุ นายเดวิด ฮอลล์ เป็นตัวการสำคัญ หลานตู้ห่าว หนีโดยตำรวจ" นายชูวิทย์กล่าว

นายชูวิทย์กล่าวว่า กรณีมีคำสั่งเด้งพ.ต.ท.คมไพร ทองลาด รอง ผกก.จร.สน.ลาดพร้าว, พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ พิมมานนท์ สว. (สอบสวน) สน.ยานนาวา และ ร.ต.อ.สมยศ บุญณะแก้ว รอง สว.(สอบสวน) สน.ยานนาวา มีเพราะเกี่ยวกับคดีจับผับจินหลิงนั้น ในคำสั่งสาเหตุโยกย้าย ทำให้พบว่านายเดวิด ฮอลล์ อยู่ในจำนวนกว่า 170 คนนี้ จึงเห็นความสะเพร่าของตำรวจชุดนี้

"ผมติด้วยความหวังดี ไม่ได้แย่งตำแหน่งเป็น ผบช.น. แล้วดูว่าแต่งตั้งใครเป็นประธานกรรมการสอบ พบว่าเป็น พ.ต.อ. เป็นรอง ผบก.อำนวยการ บช.น. เอาคนทำงานธุรการ จัดซื้อจัดจ้าง มาเป็นประธานสอบ ทำไมไม่เอารอง ผบก.น.1-9 ที่เชี่ยวชาญงานสอบสวนมาเป็นประธานสอบ ฝากถาม บช.น." นายชูวิทย์กล่าว

"วันนี้ไปร่วมกินข้าวกับท่าน ผบ.ตร. ผมได้แหย่ท่านไป บอกท่านว่าไปหาหมอใหญ่ รพ.ตำรวจหน่อย ผบ.ตร.ปอดไม่ดีนะ ผบ.ตร.บอกปอดเป็นไร ผมบอกว่าเป็นปอดแหก" นายชูวิทย์กล่าวพร้อมป้องปากหัวเราะ และว่า ได้ขอโทษ ผบ.ตร.ที่ต่อว่าตำรวจ แต่ที่ว่านั้นไม่ได้พูดถึงองค์กรตำรวจ แต่พูดถึงตัวบุคคล

นายชูวิทย์กล่าวว่า ตลอดมีข่าวคดีทุนจีนเทา สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เงียบฉี่ ปปง.ไปไหน ตั้งชื่อให้ใหม่ ปิด-ปิง-เงิน มีภาพซีซีทีวี ชนแก้วไวน์กับบิ๊ก ปปง. นักธุรกิจเดินขึ้นลงถือกระเป๋าไวน์ เมื่อก่อนมีบิ๊ก ปปง.สนิทกับบิ๊กตำรวจ มีป้ายหน้ารถที่ตำรวจออกให้แล้วป้ายนี้ไปติดหน้ากระจกรถตู้ที่จอดในบ้านนายตู้ห่าวที่ตำรวจไปตรวจค้นเมื่อวันก่อน เสียศักดิ์ศรีความเป็นข้าราชการ แนะนำให้ลาออกยกทีมเลย ถ้าไม่ออก จะเอาข้อมูลแจ้งอัยการ ในฐานะตนเป็นพยาน แล้วเปิดพยานหลักฐานทั้งหมด มีการคุยโทรศัพท์กัน

ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) แจ้งวัฒนะ พ.ต.อ.สุรโชค เจษฎาเดช (สารวัตรแรมโบ้) ประธานมูลนิธิป้องกันต่อต้านอาชญากรรมและยาเสพติดในประเทศไทย เข้ายื่นหนังสือร้องนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ขอให้คดีตู้ห่าวกับพวกคนจีนค้ายาเสพติดเป็นคดีพิเศษ โดยมีว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม เป็นผู้แทนรับเรื่อง

พ.ต.อ.สุรโชคกล่าวว่า มูลนิธิทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่าดีเอสไอได้รับเป็นคดีพิเศษแล้ว แต่มายื่นเรื่องขอให้กระทรวงยุติธรรมรับทำคดีตู้ห่าว ทั้งหมดเพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจการสอบสวนได้ทั่วราชอาณาจักร มีความเชี่ยวชาญในเรื่องคดีที่เกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยตรง อีกทั้งมีสำนักงาน ป.ป.ส. สำนักงาน ปปง. อยู่ในสายงานบังคับบัญชา สังกัดอยู่ในกระทรวงยุติธรรมเดียวกัน ทำให้สามารถรวบรวมพยานหลักฐานมีความรวดเร็ว รัดกุมมากขึ้น เนื่องจากการทำงานของตำรวจมีความน่าเชื่อถือน้อยลงมาก อยากให้ตำรวจเคลียร์หน่วยงานตัวเองตัดเนื้อเสียทิ้งไป ฝากถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐบาล เห็นว่าจะปฏิรูปตำรวจ 8 ปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจน

ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตเปิดเผยว่า ดีเอสไอจะมีการเรียกสอบปากคำเหล่าบรรดานอมินี นิติบุคคล บุคคล กรรมการบริษัทของนายตู้ห่าว โดยวันที่ 15 ธ.ค. ดีเอสไอได้ออกหมายเรียกบุคคลต่างๆ เหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในส่วนของดีเอสไอนั้น จะดำเนินการเกี่ยวกับคดีอาญาการฟอกเงิน โดยจะมีการสอบสวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีนายพงษธร อินอำนวย ผอ.ศูนย์คดียาเสพติด กรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะพนักงานสอบสวนดำเนินการเรื่องสำนวน

ด้านแหล่งข่าวระดับสูงกระทรวงยุติธรรม ระบุถึงพฤติการณ์ของเหล่านอมินีของนายตู้ห่าวว่า เนื่องด้วยนายตู้ห่าวเขียนหนังสือภาษาไทยไม่เป็น แต่พูดภาษาไทยได้ ดังนั้นนายตู้ห่าวจึงใช้วิธีพูดสั่งการจ่ายแคชเชียร์เช็ค โดยใช้โทรศัพท์อัดเสียง เสร็จแล้วส่งไปยัง "นาง พ.พาน" ซึ่งมีหน้าที่จ่ายเงินแทนนายตู้ห่าว ทั้งนี้ ทุกคนที่ดีเอสไอเรียกสอบปากคำนั้น ล้วนมีลักษณะพฤติการณ์เดียวกัน นอกจากนี้ เรายังพบว่ามีความเชื่อมโยงในรูปแบบที่ชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีหลักฐานปรากฏว่ามีชาวต่างชาติเป็นหัวหน้าของเขาอีกทอดหนึ่ง

"ส่วนกลุ่มทุนชาวต่างชาติ 4-5 กลุ่มที่ปรากฏมีชื่อบริษัทเกี่ยวข้องถึง 5 บริษัท จึงต้องไปไล่ดูว่าในบริษัทเหล่านี้มีกรรมการอยู่กี่คน เราก็จะเรียกมาสอบปากคำให้หมด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบรายชื่อในหนังสือจดทะเบียน ว่ามีจำนวนกรรมการในบริษัทกี่คน เพราะสามารถนำมาวิเคราะห์ได้ว่าบุคคลใดเป็นนอมินี และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ถือการทำกันเป็นขบวนการได้" แหล่งข่าวกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง