ตร.5หมื่นคุมเข้มปีใหม่ เริ่มทยอยกลับภูมิลำเนา

ตำรวจเปิดศูนย์ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่ 2566 ระดมเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก กำชับเข้มเมาไม่ขับตั้งเป้าลดอุบัติเหตุ รองโฆษกรัฐบาลแนะ ฝากบ้านไว้กับตำรวจ 4.0 ช่วงเดินทาง กรมทางหลวง-ทัพบกเปิดจุดบริการทั่วไทย ใกล้หยุดยาวรถเริ่มหนาแน่นเส้นทางกลับภูมิลำเนา

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ รอง จตช. และผู้บังคับบัญชาศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) แถลงเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2566 เพื่อกำกับดูแลและสั่งการ ในการอำนวยการจราจรและแก้ไขสถานการณ์อุบัติเหตุช่วง  7 วันควบคุมเข้มข้น (29 ธ.ค.65 ถึง 4 ม.ค.66) 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า เทศกาลปีใหม่ได้สั่งเตรียมความพร้อมกำลังพลกว่า 50,000 นาย เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจรและดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา รวมถึงการป้องปรามไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมายจราจรด้วยการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดอุบัติเหตุ โดยจะปฏิบัติงานตลอดช่วงเทศกาลไม่มีวันหยุด ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุฯ ได้สั่งการให้ บช.น., ภ.1-9 และ บก.ทล.ปฏิบัติดังนี้

1.อำนวยความสะดวกการจราจรเพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัย โดยคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีรถเดินทางเข้าออก กทม.มากถึงจำนวน 7.3 ล้านคัน โดยปริมาณรถขาออกมากที่สุด วันที่ 29 และ 30 ธ.ค.65  และปริมาณรถขาเข้ามากที่สุด วันที่ 2 และ 3 ม.ค.66  จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยประสานเจ้าของถนนคืนพื้นผิวการจราจรจุดที่มีการก่อสร้าง ซ่อมแซม เป็นเหตุให้รถชะลอตัว  โดยสามารถคืนพื้นผิวได้ทั้งหมด 408 จุดทั่วประเทศ จัดตำรวจอำนวยการจราจรตามจุดสำคัญที่มีปัญหาการจราจร  รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว และในกรณีเกิดอุบัติเหตุให้มีชุดเคลื่อนที่เร็วพร้อมอุปกรณ์ เช่น รถยก รถสไลด์ เข้าถึงที่เกิดเหตุและคลี่คลายการจราจรได้ทันที นอกจากนี้ยังได้ออกข้อบังคับเปิดช่องทางพิเศษเพื่อเร่งระบายรถทั้งขาเข้าและออก กทม. 9 เส้นทาง 10 จังหวัด

2.การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน กำหนดเป้าหมายให้ทุก ภ.จว.ลดจำนวนอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ จากค่าเฉลี่ยปีใหม่ 3 ปีย้อนหลัง ไม่น้อยกว่าร้อยละ  5 โดยมีมาตรการให้ทุกหน่วยทำบัญชีกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ เพื่อเข้าไปรณรงค์ประชาสัมพันธ์ป้องปรามกลุ่มเป้าหมาย  และตั้งจุดตรวจเพื่อกวดขันจับกุมการกระทำผิดกฎจราจรที่ เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยเริ่มบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่ 22 ธ.ค.65 เป็นต้นมา เน้นหนักใน 4  ข้อหาตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ ขับรถในขณะเมาสุรา  ขับรถเร็วเกินกำหนด ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.65 กระทั่งถึงวันที่ 27  ธ.ค. มีการจับกุมไปแล้วทั้ง 4 ข้อหารวมแล้วทั้งสิ้น  9,364 ราย และนอกจากนั้น บก.ทล.มีการออกใบสั่งกล้องตรวจจับความเร็วทั่วประเทศอีกจำนวน 115,906 ราย  

โดยในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น (29 ธ.ค.65 ถึง  4 ม.ค.66) ตร.ได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มในการกวดขันวินัย โดยมีการตั้งจุดตรวจทั่วประเทศรวม 3,771 จุด  แบ่งเป็นจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร 2,142 จุด (กำลังพล 19,699 นาย) จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ 1,629  จุด (กำลังพล 13,726 นาย) นอกจากนั้นกรณีที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น และมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่ทุกรายเพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน หากผู้ขับขี่ปฏิเสธไม่ยอมให้ทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ จะถูกกฎหมายสันนิษฐานว่าเมาแล้วขับตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

 “การจะลดอุบัติเหตุบนถนนได้อย่างมีนัยสำคัญ ต้องสร้างจิตสำนึกการขับขี่ปลอดภัยตามกฎหมายจราจรให้สังคม ได้ทำโครงการอาสาตาจราจร ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) จส.100  และ สวพ.91 เพื่อให้ประชาชนส่งคลิปกล้องหน้ารถ หรือคลิปจากกล้องโทรศัพท์มือถือ ที่บันทึกเหตุการณ์การกระทำผิดกฎจราจรสำคัญที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น หรือบันทึกอุบัติเหตุสำคัญและสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในทางคดีของตำรวจได้ เพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด โดยสำหรับในเทศกาลปีใหม่นี้จะมีแคมเปญพิเศษ '7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น' ให้ประชาชนส่งคลิปในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้นของเทศกาลปีใหม่ 2566 จากคลิปที่ส่งมาทั้งหมดจะมีการคัดเลือกให้เหลือ 7 คลิป และจะมีรางวัลให้คลิปละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน  70,000 บาท” ผบ.ตร.ระบุ

ด้าน น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชนช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ 2566 ตามมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม และอำนวยความสะดวกการเดินทางให้ประชาชนช่วงวันหยุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะนำช่องทางเข้าร่วมโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ  4.0 ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ 2566 ประชาชนสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ฝากบ้าน 4.0 (OBS)" สำหรับขั้นตอนการลงทะเบียนผ่านแอปเริ่มจาก 1.โหลดแอปฝากบ้าน 4.0 (OBS) 2.ลงทะเบียนกรอกข้อมูล 2.เลือกสถานีตำรวจที่ขอรับบริการฝากบ้าน จากนั้นเลือกเมนูฝากบ้าน แล้วกดเลือกฝากบ้านของฉัน 3.กรอกรายละเอียดคำร้อง 4.ตรวจยืนยันการรับฝากบ้าน  

กรมทางหลวง โดยสำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ ได้จัดตั้งจุดบริการประชาชนทั่วประเทศจำนวน  83 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยบนทางหลวงรองรับการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ซึ่งผู้ใช้ทางสามารถจอดพักผ่อนคลายอิริยาบถ ลดความเมื่อยล้าจากขับรถ ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน

ขณะที่ พล.ต.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกร่วมกับทุกภาคส่วน หน่วยงาน ภาคเอกชน ประชาสังคม องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น  ตั้งบริการอำนวยความสะดวกและดูแลประชาชนที่เดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ ถึง 86 จุด ให้บริการประชาชนพักผ่อนอิริยาบถจากการเดินทาง บริการน้ำดื่ม  กาแฟ ผ้าเย็น พร้อมจัดกำลังพลจิตอาสาให้คำแนะนำเกี่ยวกับเส้นทางการจราจร แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด มีเจ้าหน้าที่เสนารักษ์พร้อมชุดปฐมพยาบาล ซ่อมรถเบื้องต้น

สำหรับสภาพการจราจรตามเส้นทางต่างๆ เริ่มมีความหนาแน่น โดยเฉพาะวันที่ 28 ธ.ค. เส้นทางอ่างทอง-ถนนสายเอเชีย ประชาชนเริ่มเดินทางกลับภูมิลำเนา และไปท่องเที่ยวภาคเหนือช่วงเทศกาลปีใหม่กันอย่างคึกคัก การจราจรยังเคลื่อนตัวได้ดี แต่ก็มีรถสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

โฆษกรัฐบาลโต้สหประชาชาติไม่ได้ขีดเส้นไทยแก้ ม.112 เตือนปชช.อย่าเชื่อเฟกนิวส์ เสี่ยงถูกดำเนินคดี “แรมโบ้” ซัด “วิโรจน์” เข้าข้างแอมเนสตี้ที่ทำลายชาติ แต่ไม่เห็นใจ ปชช.ส่วนใหญ่ของประเทศ ลั่นจะไล่แอมเนสตี้ออกไป "อมรัตน์" เผย กมธ.พัฒนาการเมืองฯ จ่อเรียก กสทช.แจงปมเบรกสื่อเสนอข่าวปฏิรูปสถาบัน

เมื่อวันอาทิตย์ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีคลิปวิดีโอในสื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ข้อมูลเท็จว่า สหประชาชาติให้ประเทศไทยแก้ไขมาตรา 112 ว่า ไม่เป็นความจริง ต่อกรณีดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวแล้ว ดังนี้ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ไทยได้นำเสนอรายงานสิทธิมนุษยชนของไทยต่อสหประชาชาติ ภายใต้กระบวนการทบทวนรายงานสิทธิมนุษยชนตามกลไก Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ 3 เป็นการดำเนินการตามปกติ ทั้งนี้ สหประชาชาติไม่ได้เป็นองค์การที่จะมาบังคับหรือมาขีดเส้นตายกำหนดเวลาให้ประเทศสมาชิกต้องตอบรับข้อเสนอแนะหรือต้องไปแก้กฎหมาย โดยจากการรายงานสิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก Universal Periodic Review เป็นที่น่าชื่นชมที่ไทยได้รับคำชมในพัฒนาการหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการลดความเหลื่อมล้ำ และการดูแลกลุ่มเปราะบาง

"ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และไม่ส่งต่อข้อมูลดังกล่าว โดยขอให้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร รับข้อมูลจากหน่วยงานโดยตรง ส่วนผู้ผลิตและเผยแพร่ข่าวปลอม บิดเบือน หรือเฟกนิวส์ เสี่ยงจะถูกดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีโทษทั้งจำและปรับ จึงขอเตือนผู้ไม่ประสงค์ดีทุกคนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย อย่ากระทำการอันจะทำให้เกิดความสับสนในสังคม" นายธนกรกล่าว

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ​ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความระบุว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการยอมรับ หากนายกฯ คุกคามจะถูกนานาชาติมองไทยไม่ใส่ใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยใส่ใจเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว แต่นายวิโรจน์ควรเอาข้อเท็จจริงมาพูดกันว่าสิ่งที่แอมเนสตี้เคลื่อนไหวลักษณะช่วยกลุ่มม็อบนั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะทำผิดกฎหมาย ก้าวล่วงสถาบัน สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ตนและประชาชนที่รักสถาบันยังต้องดำเนินการทางกฎหมาย ตรวจสอบและกดดันขับไล่องค์กรนี้ออกไป โดยจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาทำลายประเทศชาติและสถาบันเด็ดขาด นายวิโรจน์เป็นถึง ส.ส.ควรที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ ไม่ใช่ไปเข้าข้างองค์กรที่มาทำลายชาติ บ้านเมือง แต่ไม่ใส่ใจ เห็นใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน เปิดเผยว่า จะขอเชิญ กสทช.เข้ามาชี้แจงกับ กมธ.พัฒนาการเมืองในสัปดาห์หน้า หลังจากที่ พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมกสทช. ขอความร่วมมือสื่อมวลชนหลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อเรียกร้องของกลุ่มชุมนุมที่มีต่อสถาบันหรือการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ตีความว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครองเป็นการกระทำผิดกฎหมาย และการเผยแพร่ข่าวนั้นอาจเป็นการกระทำซ้ำ รวมไปถึงเลี่ยงการนำเสนอการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เรื่องนี้เป็นเรื่องของเสรีภาพสื่อเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และสื่อมวลชนเองควรปกป้องศักดิ์ศรีในวิชาชีพของตน

เฟซบุ๊ก เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak โพสต์ข้อความระบุว่า วันที่ 26 พ.ย. เวลา 09.00 น. เพนกวิน-รุ้ง-เบนจา-ไมค์ ถูกเบิกตัวมาที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ในคดีใส่ครอปท็อปไปเดินห้าง ทั้งครอบครัวและเพื่อนต่างไปรอที่ศาลแต่เช้าด้วยหวังว่าจะได้พบหน้ากันในห้องพิจารณาคดีเพื่อไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบและพูดคุยเกี่ยวกับการเรียนของเพนกวิน แต่เจ้าหน้าที่ศาลก็ปฏิเสธไม่ให้ครอบครัวและเพื่อนเข้าไปในห้องพิจารณาคดี เทอมนี้อาจเป็นอีกเทอมหนึ่งที่เพนกวินต้องสูญเสียโอกาสในการศึกษาต่อ เพราะรัฐเผด็จการกักขังและกีดกันไม่ให้เพื่อนเราได้เรียนหนังสือ หากท่านให้ความสำคัญกับ “การศึกษา” หากท่านให้ความสำคัญกับ “อนาคตของชาติ” คืนสิทธิการประกันตัวให้พวกเราทุกคน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง