โวแก้จน1ล้านครัวเรือน

 "บิ๊กตู่" จับมือเอกชนร่วมกันพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ปลื้มดีขึ้นทยอยโตไม่ติดลบ เคลียร์ปมสั่งปลูกผักชี-รถทหารขนส่งสินค้า โต้บิดเบือนยันเตรียมเผื่อประชาชนเดือดร้อน แจง "1 ขรก. 1 ครัวเรือน" มุ่งฟังปัญหาชาวบ้าน ไม่ได้หวังผลการเมือง "มท.1" ตีปี๊บต้นปี 65 ประเดิมแก้จน 1 ล้านครอบครัว

ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน เวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง "จับมือ รวมใจ พาไทยรอด" ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 ว่า หอการค้าถือเป็นภาคีสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ทำงานร่วมกับรัฐบาล เอกชน โดยไม่มีข้อขัดแย้งกัน สำหรับมาตรการในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมีหลายด้าน ทั้งปัญหาสุขภาพ เศรษฐกิจตกต่ำ และปัญหาที่มีมาโดยตลอดคือความยากจน อุทกภัยน้ำท่วม หนี้สินครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม เรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งหมดได้บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงประเด็นและจัดสรรงบประมาณในโครงการต่างๆ ให้ตรงเป้าหมาย แต่ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันก็จะไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ จึงอยากฝากให้ทุกคนช่วยกันดูยุทธศาสตร์ชาติว่าทำงานกันโดยอย่างไร

ทั้งนี้ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอย่างมากมาย มีพันธสัญญาเกิดขึ้นกับกลุ่มต่างๆ ประเทศต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมา จึงไม่สามารถที่จะไปคัดค้านได้ เนื่องจากเป็นมติของส่วนใหญ่ จึงได้เสนอข้อ 18 ต่างๆ ไป ที่สามารถทำได้ เช่น CPTPP ยอมรับว่ามีข้อเสีย แต่ก็มีข้อดีด้วยเช่นกัน ยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับหรือไม่รับ ต้องกลับมาตกลงกันอีกครั้งหนึ่ง แต่หากไม่ร่วมเจรจาในวันนี้ วันข้างหน้าเมื่อสมาชิกอื่นๆ เข้ามาอีกจำนวนมาก เราจะไม่มีโอกาสเสนอข้อสงวนอีกเลย

นายกฯ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลพยายามทำคือการสร้างความเท่าเทียมทางโอกาส ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนจะต้องเข้าถึงโอกาส อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันจะละเมิดซึ่งกันและกันไม่ได้ และความเป็นธรรมในการดูแลผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร กลุ่มเปราะบาง และอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้ ทุกคนจะต้องจับมือไปด้วยกัน โดยเอาหลักการมาด้วยกัน และดูว่าใครจะทำตรงไหน ยึดโยง และดูว่าปัญหาอุปสรรคอยู่ตรงไหน ไม่เช่นนั้นจะไปไม่ได้ กฎหมายกี่ร้อยกี่พันฉบับรัฐบาลแก้ไปแล้วเกิน 50% ที่ติดอยู่เพราะไม่ผ่านโดยเฉพาะการประชาพิจารณ์ แต่ถ้าไม่แก้ตรงนี้ก็ไปไม่ได้ เพราะความต้องการยังเหมือนเดิม คือตัวเองไม่อยากเปลี่ยนแปลงแต่อยากได้สิ่งที่ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือกฎหมายและกฎระเบียบ

โต้บิดเบือนปมรถทหาร

“เรื่องของการลงทุน ถ้าผมเป็นเจ้าของธนาคารผมจะให้ทั้งหมด ในเรื่องสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ แต่มันไม่ใช่ของผม แต่เป็นของเอกชนที่มีผู้ถือหุ้น จะไปสั่งให้ลดนั่นลดนี่ทำไม่ได้ ทุกคนต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ใช่ว่าทำไมนายกฯ ไม่สั่ง การจะจัดสรรอะไรต้องคิดต้องปรึกษา ต้องมีคำตอบจากคณะทำงานว่าทำได้หรือไม่ได้ ถ้าสั่งได้ผมสั่งให้ทั้งหมดไปแล้ว แต่ถ้าทำจริงก็จะหาว่าเป็นเผด็จการเข้าไปอีก แค่ผมสั่งให้ทหารปลูกผักชี พูดไม่ครบถึงผักชนิดอื่นก็โดนแล้ว ทหารเขาปลูกไว้กินใครจะซื้อก็ซื้อ ใครไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร จะได้ไม่ต้องไปซื้อของแพง ทหารปลูกไว้แจกด้วยซ้ำ เขาปลูกอยู่แล้วในค่ายทหาร ไม่ได้ว่าจะไปแข่งกับใคร ถ้าใครลำบากก็มาซื้อในที่ทหาร เรื่องรถขนส่งก็เช่นกัน ถ้าเดือดร้อนขึ้นมาจริงๆ ขาดแคลนสินค้าขนส่งก็มาขอทหาร ผมก็ต้องช่วย และผมไม่ได้เปิดการขนส่งแข่งกับใคร อย่าไปฟังเขาบิดเบือน ถ้ามันเดือดร้อนขึ้นมาไม่มีรถวิ่งเลยแล้วจะทำอย่างไร จะให้แบกกระสอบเดินกันหรือ พูดไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่บางทีก็ถูกบิดเบือนเยอะแยะไปหมด” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ

อย่างไรก็ตาม เรื่องการผ่อนปรนการชำระหนี้ทำไปหมดแล้ว แต่ถ้าจะกู้มากกว่านี้สามารถทำได้ถ้าทุกคนยอมรับ ทั้งนี้เศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้นในปี 2565, 2566, 2567 ถ้าโรคระบาดไม่กลับขึ้นมาอีกหรือมีอย่างอื่นเข้ามาอีก เช่นความขัดแย้งในภูมิภาคอาเซียนหรือทะเลจีนใต้ หรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงราคาน้ำมันเป็นอย่างไร ปตท.อยู่กับใคร ต้นทุนการผลิตมีอะไรบ้าง ภาษีเก็บจากตรงไหน เก็บอย่างไร ต้องส่งคืนกระทรวงการคลังหรือไม่ ทุกอย่างยึดโยงกันทั้งหมด ตอนนี้พยายามพยุงราคาน้ำมันดีเซลให้ได้ในราคาลิตรละ 30 บาท แต่ถ้าลดลงได้อีกจะพยายาม เราต้องคิดให้เป็นต้องหาข้อมูลให้ครบ ถ้าไม่ช่วยกันก็ทำอะไรไม่ได้ ทั้งหมดยืนยันโอกาสของประเทศไทย สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจสร้างความแข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยเริ่มดีขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนว่า เพียงแต่ต้องการให้ข้าราชการไปรับฟังข้อมูลเพื่อแก้ปัญหา เพื่อที่จะให้การทำงานสอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไม่ได้เป็นการทำการเมืองอะไรทั้งสิ้น เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครพูดคุยกับชาวบ้าน บางพื้นที่นานๆ ทีจะเจอข้าราชการ ส่วนการพลิกโฉมประเทศไทยและสิ่งที่พูดมาทั้งหมดอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ตนทำคนเดียวไม่ได้ ไม่มีใครทำสำเร็จได้คนเดียว จะใครก็แล้วแต่มาทำเถอะ ไม่ได้สงวน ทำให้ได้แล้วกัน ประเทศไทยมีสิ่งดีงามหลายอย่างมากกว่าที่จะมาขัดแย้งกัน

นายกฯ กล่าวด้วยว่า วันนี้รัฐบาลกำลังทำแพลตฟอร์มเร่งเทคโนโลยีให้ทำให้ได้ และบ้านเราไม่ได้แย่ วันนี้เปิดในยูทูบเห็นเรื่องการท่องเที่ยวในบ้านเราเยอะแยะ ทุกอย่างอยู่ในสายตาชาวโลกอยู่แล้ว และอะไรที่ไม่ดีลองมาดูเพื่อจะแก้ไข เราต้องเปิดโลกภายนอกด้วย ไปต่างประเทศทุกครั้งตนนั่งรถดูถนนหนทาง ความสะอาด สำหรับเมืองอัจฉริยะคาดหวังว่าอยากให้ไทยมีสักเมืองหนึ่งเหมือนต่างประเทศ มีรถไฟฟ้าที่ไม่มีคนขับ โดยเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ สร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ภายหลังการปาฐกถา พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องเศรษฐกิจจากการประเมินในปีนี้ เมื่อรวมทั้ง 4 ไตรมาสคิดว่าไม่น่าเป็นลบ เพียงแต่อาจจะขึ้นไม่มากนักก่อนจะทยอยขึ้น อาจจะเติบโตประมาณ 1% กว่าๆ แต่เดิมประเมินว่าเป็นลบ ซึ่งปีหน้าจะมีแรงส่งอีกจากปลายปีนี้ ต้นปีหน้า 2565 ไปดูไตรมาส 1-4 ถ้าหากไม่มีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้น ต้องมีความคาดหวังกันอีกครั้ง และมีมาตรการในการรองรับ เพื่อจะเป็นแรงส่งในปีต่อไป สิ่งสำคัญที่สุดจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาให้ได้ ทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น ไม่ขัดแย้งในเรื่องที่
ไม่ควรขัดแย้ง

ประเดิมแก้จนล้านครอบครัว

ด้าน พล.อ​.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชี้แจงในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 ถึงโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนว่า​ ศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ได้วางโครงสร้างแล้ว ซึ่ง สศช.ได้รวบรวมข้อมูลประชาชนในกลุ่มเปราะบางอ่อนด้อยไว้ในระบบการพัฒนาคนแบบชี้เป้า หรือทีพีแมป ดังนั้นก็จะนำข้อมูลดังกล่าวเข้าไปดูแลแก้ปัญหาในทุกเรื่องทุกมิติ ทั้งเรื่องการศึกษา สาธารณสุข รายได้ ชีวิตความเป็นอยู่ แล้วส่งข้อมูลให้ทีมในระดับพื้นที่เตรียมตัวลงไปดูว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นอย่างไร และจะนำมาวางแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป โดยทุกภาคส่วนจะดำเนินการช่วยเหลือกัน และแก้ปัญหาให้จบในระดับพื้นที่หรืออำเภอเท่านั้น

"ทีมที่จัดลงไปจะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้แต่ละครัวเรือน ซึ่งโครงการนี้ดูต้นแบบมาจากต่างประเทศ ประเทศเหล่านั้นทำโครงการแบบ 1 ต่อ 1 แต่ประเทศไทยดูทุกช่วงวัยและทุกมิติ จึงต้องประสานหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งจะมากกว่า 1 คน ใน 1 ทีม หรือประมาณ 3-5 คน และเบื้องต้นจะดำเนินการ 1 ทีม ต่อ 15 ครอบครัว และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการสำรวจที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จในเดือนเดือนธันวาคมนี้ จากนั้นต้นปี 2565 จะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และจัดทีมพี่เลี้ยงระดับตำบล ดำเนินการแก้ปัญหาให้ตรงจุด เบื้องต้นมีครัวเรือนที่จะได้รับการช่วยเหลือประมาณ 1 ล้านครัวเรือน" รมว.มหาดไทยระบุ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯ ได้ติดตามสถานการณ์ประจำวันเพื่อควบคุมราคาสินค้าและสั่งการแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยในส่วนของผู้มีรายได้น้อยได้สั่งการให้กระทรวงการคลังทบทวนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยคาดว่าจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ประมาณ 15 ล้านคน ซึ่งเป็นการเปิดลงทะเบียนรับทั้งคนใหม่ และให้คนเก่าลงทะเบียนเพื่อทบทวนสิทธิ์ จากปัจจุบันที่มีผู้ถือบัตรสวัสดิการอยู่ประมาณ 13.6 ล้านคน ทั้งนี้จะมีการเพิ่มหลักเกณฑ์ในการคัดกรอง เช่น เพิ่มหลักเกณฑ์รายได้ครัวเรือนไม่เกิน 200,000 บาทมาคำนวณด้วย นอกจากนี้จะมีเกณฑ์ทรัพย์สินมาใช้พิจารณาด้วย โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาหลักเกณฑ์การลงทะเบียนให้รอบคอบ ก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อเปิดลงทะเบียนใหม่อีกครั้ง โดยรัฐบาลมีความตั้งใจอยากให้เสร็จภายในปีนี้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน

วันเดียวกัน น.ส.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้คนไทยตกอยู่ในสถานการณ์จำทน ที่ต้องอดทนอยู่กับผู้นำที่มีความพยายามแก้ปัญหาประเทศด้วยความเคยชินอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ที่คิดว่าประเทศเป็นเสมือนกรมทหาร แก้ปัญหาด้วยการชี้นิ้วสั่ง ทหารทำได้ทุกอย่าง เช่นให้ทหารปลูกผักชี หรือใช้รถทหารส่งของ สะท้อนความจริงว่าเราเอาทหารมาบริหารประเทศไม่ได้ ทำได้เพียงแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและสุดท้ายแก้ไม่ได้ อย่าทำตัวเป็นตลกคาเฟ่ ไม่อย่างนั้นจะเป็นผู้นำที่ใครก็ดูถูกดูแคลนต่อไปเรื่อยๆ

ขณะที่นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ตอบโต้ว่า แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ที่มาจากทหาร แต่ได้พัฒนาและแก้ไขปัญหาให้ประเทศไปตั้งมากมาย รวมถึงการแก้ไขปัญหาให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ที่แม้เป็นพลเรือนแต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อชาติบ้านเมืองเลย และขอให้ย้อนไปดูราคาน้ำมันเบนซินในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์แตะเกือบ 50 บาท ทำให้ประชาชนอาชีพอื่นๆ เดือดร้อนยิ่งกว่ายุคนี้หลายเท่า เหตุใดคนในพรรคเพื่อไทยไม่ออกมาโวยวายบ้าง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘เศรษฐา’ แจงยิบปรับครม. ขอโทษ ‘ปานปรีย์’ ทำให้ไม่สบายใจ บอกมีคนแทนในใจแล้ว

‘เศรษฐา’ เผย ส่งข้อความผ่านกลุ่มงานต่างประเทศขอโทษ ‘ปานปรีย์’ ถ้าทำให้ไม่สบายใจ บอกได้คุยกันก่อนปรับ ครม.แล้ว ชี้มีทั้งคนสมหวัง-ผิดหวัง พร้อมรับผิดชอบ แย้มมองหาคนใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน ดีกรี การทูต-การเมือง ทำงานเบื้องหลัง’เพื่อไทย’ มานาน