เด้งอีก‘ด.ต.’บริการนทท. จ่อเรียกสาวจีนให้ปากคำ

เด้งอีกราย ด.ต.เซ่นคลิปฉาวบริการนักท่องเที่ยว ด้านโฆษก ตร.เผยจ่อแจ้ง 2 ข้อหาตำรวจ บก.จร.  พร้อมตั้ง คกก.สอบทั้ง 4 นาย จับตาลอยนวลพ้นผิดวินัยร้ายแรง เหตุใช้รถส่วนตัวมาดำเนินการ เล็งเชิญนักท่องเที่ยวมาให้ปากคำ ชี้ยังไม่พบ ตม.ร่วมขบวน ขณะที่ "ชูวิทย์" สำทับมีมานานแล้ว เผยคนจีนหยัน กม.ไทยอ่อนปวกเปียก ด้านองค์กรต้านโกงชี้เป้าปัญหาใหญ่ คอร์รัปชันซุกใต้พรมสนามบิน

ที่กองบังคับการตำรวจจราจร ถนนวิภาวดีฯ เมื่อเวลา  09.00 น. วันที่ 23 มกราคม พ.ต.อ.สุกิจ อรุณฤกษ์ถวิล รอง ผบก.จร. ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณี ส.ต.อ.ธนกร นุกูลธนกิจ และ ส.ต.อ.ธนวัฒน์ สิมะขจรบุญ สองเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด บก.จร.  มีภาพปรากฏอยู่ในคลิปนักท่องเที่ยวสาวชาวจีน ได้เรียกประชุม โดยมีผู้สื่อข่าวเฝ้าสังเกตการณ์ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่านายตำรวจทั้งสองจะเดินทางเข้าให้ข้อมูล แต่กลับไม่พบตัวแต่อย่างใด เมื่อติดต่อขอสัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากับหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ก็ยังไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ ได้เนื่องจากอยู่ในระหว่างประชุม

ขณะที่ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เปิดเผยว่า ในส่วนของ บก.จร. ได้เรียกตำรวจชั้นประทวนทั้ง 2 นายเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติม  ส่วนตำรวจท่องเที่ยวให้ข้อมูลเสร็จสิ้นแล้ว โดยทั้งหมดให้การเป็นประโยชน์ เบื้องต้นจะมีการแจ้งข้อหาแก่ตำรวจจราจรทั้ง 2 นาย ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ในการนำรถส่วนตัวมาติดตั้งสัญญาณไฟโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจะต้องเอาผิดทั้งวินัยและอาญา ซึ่งถือว่ามีความผิดทางอาญาแล้วในการดัดแปลงรถ ส่วนตำรวจท่องเที่ยวกำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบ

มีรายงานว่า ในส่วนของ ส.ต.อ.ธนกร พบมีเอกสารขอตัวช่วยราชการเพื่อให้ไปขับรถนำขบวนให้นายดอน  ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ  พร้อมกับรถจักรยานยนต์นำขบวน ลงวันที่ 1 มิถุนายน  2565 อ้างอิงถึงหนังสือขอยืมตัวช่วยราชการเมื่อวันที่  26 มีนาคม 2564 และขอต่ออายุอีกครั้งในวันที่ 26  มีนาคม 2565 ซึ่งจะครบกำหนดการขอช่วยราชการในวันที่ 26 มีนาคม 2566

ทั้งนี้ พบว่าอาจจะใช้เวลานอกราชการรวมกลุ่มกับกลุ่มเพื่อนที่นำขบวนรัฐมนตรีมารับงานประเภทนี้ โดยใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์ส่วนตัว เนื่องจากการตรวจสอบเบื้องต้น ในส่วนของรถยนต์ที่ติดสัญญาณไฟไซเรนและโลโก้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล ไม่ใช่รถของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์บิ๊กไบก์ที่พบจอดอยู่ในกองบังคับการตำรวจจราจร

การกระทำดังกล่าวยังไม่ถือว่าเข้าข่ายความผิดวินัยร้ายแรง ส่วนจะมีโทษทางวินัยอย่างไรต้องรอผลการตัดสินของผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของทั้งสองนาย นอกจากนี้รถจักรยานยนต์ที่ถูกใช้ตามคลิปก่อนหน้านี้จอดไว้ที่ บก.จร. เมื่อวานนี้ แต่วันนี้ไม่พบแล้ว

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.อาชยนระบุด้วยว่า การตรวจสอบคลิปที่ปรากฏใน 2-3 วันที่ผ่านมา ในส่วนของตำรวจท่องเที่ยวได้พบ “ด.ต.” คนหนึ่งเพิ่มเติม กลายเป็นว่าตอนนี้ตำรวจท่องเที่ยวจะมี 2 นาย ซึ่ง ด.ต.คนนี้เป็นคนประสานงานกับผู้ชายคนหนึ่งที่รู้จักกับกลุ่ม 2 แม่ลูกนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทย จึงได้รับการติดต่อจากคนไทยคนหนึ่งติดต่อมายังนายดาบตำรวจท่องเที่ยวคนนี้

“วันนั้นนายดาบตำรวจไม่ว่างจึงโทรศัพท์ให้ ร.ต.อ.สมพล ภิญโญสโมสร ตำแหน่งรองสารวัตร กองกำกับการ  3 (รับผิดชอบสนามบินสุวรรณภูมิ) สังกัดกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1 เป็นผู้รับหน้าที่ดูแลนักท่องเที่ยวดังกล่าวเอง ซึ่งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท.)  ได้เรียกเข้าประจำ ศปก.แล้ว และได้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงไว้แล้วด้วย” พล.ต.ต.อาชยนกล่าว

 พล.ต.ต.อาชยนกล่าวว่า ส่วนตำรวจ 2 นายที่สังกัด  บก.จร. กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้เตรียมแจ้งข้อกล่าวหาเรื่อง พ.ร.บ.จราจรทางบก และ พ.ร.บ.เครื่องหมายราชการ ในเรื่องการนำไซเรนและเครื่องหมายราชการมาติดที่รถ ซึ่งตำรวจภูธรภาค 1 จะดำเนินการในส่วนที่จะเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นในคลิปวันนั้น ส่วนจเรตำรวจเตรียมสรุปเบื้องต้นเพื่อตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่จะลงโทษทางวินัยและทางอาญาได้ต่อไป

โฆษก ตร.กล่าวว่า ทั้งนี้ต้องเชิญชายคนไทยเข้ามาให้ปากคำเพื่อให้ข้อมูลครบถ้วน เบื้องต้นจากการสอบปากคำพบว่าไปรู้จักกันที่งานงานหนึ่งช่วงเดือนพฤศจิกายน  โดยได้รู้จักกับรถนำขบวนจึงมีการแลกเบอร์กันไว้ เมื่อมีงานจึงมีการติดต่อมา ส่วนประเด็นเรื่องการรู้จักชาวจีน จะต้องเชิญเข้ามาให้ถ้อยคำหรือเชิญมาสอบถามเรื่องราวว่าเป็นมาอย่างไร ทั้งนี้กรณีเงินที่ปรากฏในคลิป 200 บาท แจ้งว่าเป็นเงินค่าทางด่วน แต่เรื่องเงิน 7,000 บาทขอดูรายละเอียดเรื่องการให้ปากคำอีกครั้งหนึ่ง

โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า จริงๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด บก.จร.ซึ่งจะดูเรื่องการจราจร รถวิทยุ จักรยานยนต์นำ  ส่วน บช.ทท.เป็นที่ทราบกันว่าปฏิบัติงานในสนามบิน ทั้ง 2 หน่วยมีการปฏิบัติงานในพื้นที่ตัวเอง ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่าเป็นตำรวจที่ขับรถนำรัฐมนตรีนั้น พล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่า คงต้องสอบประเด็นให้ครบทุกมิติ ขอเรียนว่าในเรื่องของตำรวจจะต้องไปพิจารณาว่าผู้บังคับบัญชาให้ไปปฏิบัติหน้าที่อะไร ในวันนั้นเข้าเวรหรือไม่ เข้าเวรแล้วมาทำงานพิเศษ หรือไม่ได้เข้าเวรเป็นวันพัก จะต้องเริ่มต้นที่ตรงนี้มากกว่า

พล.ต.ต.อาชยนกล่าวเพิ่มเติมว่า จากคำให้การในเบื้องต้นบอกไว้ว่า รู้จักกับชายคนหนึ่งที่งานงานหนึ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน และมีการแลกเบอร์โทรศัพท์กันไว้  ซึ่งผู้ชายคนนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถเช่า รถที่มารับนักท่องเที่ยวต่างๆ จากการตรวจสอบทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นของส่วนตัว นำมาติดตั้งไซเรนและเครื่องหมายที่เป็นราชการ ส่วนประเด็นเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ จะต้องพิจารณาเรื่องข้อเท็จจริงประกอบกันทั้งหมด ไม่ทิ้งประเด็น ถ้าเข้าวินัยหรือหากเข้าอาญาด้วยก็จะต้องดำเนินการ

 โฆษก ตร.กล่าวว่า บช.น.โดย บก.จร.และ บช.ทท. ได้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนผู้บังคับบัญชาที่ควบคุมกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ทั้ง 4 นายไว้ด้วย ซึ่งจะมีคำสั่งซ้อนมาอีกหนึ่งคำสั่ง เพื่อพิจารณาว่ามีการปล่อยปละละเลย หรือรับทราบเรื่องการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองหรือไม่อย่างไร ส่วนประเด็นของ ตม.ได้ตรวจสอบไปยังเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนและสอบปากคำไปหมดแล้ว ขณะนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองยังไม่พบว่าเกี่ยวข้องหรือมีความเชื่อมโยงแต่อย่างใด

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ด.ต.ท่องเที่ยวที่ได้รับการติดต่อประสานงานมาคือ ด.ต.ขจรศักดิ์ แผ่นผา ผบ.หมู่ กองกำกับการ 3 กองบังคับการท่องเที่ยว 1

ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง กล่าวว่า  เรื่องนี้มีมานานแล้ว คือคนจีนต่างๆ เหล่านี้เห็นเมืองไทยใช้เงินซื้อได้ทุกอย่าง แต่กรณีนี้มีการถ่ายคลิปลงสื่อโซเชียล การเข้าออกประเทศโดยไม่ต้องแสดงหน้าตาที่เคาน์เตอร์  มีกระบวนการหลายอย่าง ในสมัยก่อนกระเป๋าก็ยังไม่ต้องตรวจ ผ่าน ตม.ก็จ่ายเงินให้เขาพาออกไปได้ ไม่ต้องตรวจอะไร ต่อมาให้ใช้รถนำขบวนให้ดูยิ่งใหญ่เป็น VIP แต่ไม่เกี่ยวกับขบวนการทุนจีนสีเทา พวกคนจีนเหล่านี้มองเห็นเมืองไทยเป็นเมืองที่ไกลปืนเที่ยง ไม่มีกฎหมายที่แข็งแกร่ง  เจ้าหน้าที่รัฐของเราเป็นเสียเอง ทำให้คนเขาหัวเราะ ทำให้ต่างชาติเขาเยาะเย้ย อย่างที่นายตู้ห่าวเคยกล่าวไว้ว่ามีเงินน่ะทำได้ทุกอย่าง

ขณะที่ ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "กรณีตำรวจท่องเที่ยวให้บริการ VVIP นักท่องเที่ยวต่างชาติ  นอกจากเรื่องไร้ศักดิ์ศรี คอร์รัปชัน และมีผลประโยชน์ทับซ้อนของเจ้าหน้าที่แล้ว กรณีนี้ยังแสดงให้เห็นปัญหาที่ใหญ่กว่า 1.ปัญหาการรักษาความปลอดภัยในสนามบิน 2. ปัญหาลักลอบนำเข้าสินค้าต้องห้าม หรือหนีภาษี

3.ระบบอภิสิทธิ์ชนที่น่ารังเกียจ พบเห็นได้ตั้งแต่ประตูเครื่องบิน มีเจ้าหน้าที่พาลัดคิวลัดขั้นตอน ใช้รถนำเปิดไซเรน รบกวนสิทธิ์ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน 4.พฤติกรรมหากิน รับเงินใต้โต๊ะ เก็บส่วยสินบน ในสนามบิน ที่คนต่างชาติและคนไทยที่เกี่ยวข้องเท่านั้นรับรู้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสรู้" ดร.มานะระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง