ลิซ่าติดโควิด!ผับลุ้นคลายล็อก

ไทยติดเชื้อเพิ่มอีก 5,857 ราย เสียชีวิต 55 ราย เตรียมชง 7 ขั้นตอนนำเข้าแรงงานต่างด้าวถูก กม.-
มาตรการสถานบันเทิงเข้า ศบค.ชุดใหญ่ 26 พ.ย.นี้ "อนุทิน" วอนกลุ่มรอวัคซีนเอกชนฉีดของรัฐบาลก่อน บอกคุณภาพดีเช่นกัน "สธ." รับสิ้น พ.ย.ยอดฉีดวัคซีนไม่ถึงเป้า 100 ล้านโดสแน่ "วายจีฯ" ค่ายเพลงดังเกาหลีแจ้ง "ลิซ่า แบล็กพิงก์" ติดโควิด เพื่อนร่วมวงกักตัว

เมื่อวันที่ 24 พ.ย. พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ในประเทศไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5,857 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 5,618 ราย จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 5,349 ราย ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 269 ราย เรือนจำ 228 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 11 ราย หายป่วย 7,318 ราย อยู่ระหว่างรักษา 81,577 ราย อาการหนัก 1,529 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 358 ราย เสียชีวิต 55 ราย เป็นชาย 33 ราย หญิง 22 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 40 ราย มีโรคเรื้อรัง 14 ราย พบผู้เสียชีวิตมากสุดในกทม. 13 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีผู้ไม่ได้รับวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว 41 ราย มีผู้ป่วยติดเตียง 4 ราย ซึ่งอัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือ 0.99% โดยยอดผู้ติดเชื้อสะสม 2,081,92 ราย ยอดหายป่วยสะสม 1,979,871 ราย และยอดผู้เสียชีวิตสะสม 20,544 ราย

พญ.สุมนีกล่าวว่า สำหรับ 10 อันดับจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด กทม. 734 ราย, สงขลา 426 ราย, นครศรีธรรมราช 290 ราย, เชียงใหม่ 245 ราย, สุราษฎร์ธานี 237 ราย, สมุทรปราการ 235 ราย, ชลบุรี 205 ราย, ปัตตานี 177 ราย, ยะลา 140 ราย, ตรัง 129 ราย โดยพบคลัสเตอร์กระจายหลายจังหวัด อาทิ คลัสเตอร์โรงงาน สถานประกอบการ พบที่ กทม. 49 ราย, ปราจีนบุรี 9 ราย, ลำพูน 14 ราย ส่วนคลัสเตอร์ตลาด พบที่พะเยา 8 ราย, ขอนแก่น 7 ราย, จันทบุรี 4 ราย, อุดรธานี 2 ราย คลัสเตอร์แคมป์คนงานพบที่ ลำพูน 6 ราย กทม. 5 ราย, สงขลา 2 ราย คลัสเตอร์โรงเรียนและสถานศึกษาพบที่อุบลราชธานี 11 ราย, สระแก้ว 8 ราย, แม่ฮ่องสอน 7 ราย และสุราษฎร์ธานี 4 ราย

ผู้ช่วยโฆษก ศบค.กล่าวว่า ในการประชุม ศบค.เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา มีมติรับแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติเข้ามาทำงานตามบันทึกข้อตกลงอย่างถูกกฎหมาย 7 ขั้นตอน เพื่อให้ประชากรชาวไทยมีความปลอดภัยด้านสาธารณสุข เมื่อแรงงานต่างด้าวเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย และแรงงานเหล่านี้ได้รับการดูแลด้านสุขภาพภายใต้มาตรฐานของประเทศเรา อย่างไรก็ตาม 7 ขั้นตอนยังต้องประชุมกับอีกหลายหน่วยงาน อาทิ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ และตัวแทนผู้ประกอบการ และจะนำเข้าหารือในที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันศุกร์ที่ 26 พ.ย.นี้

นอกจากนี้ ศบค.ชุดใหญ่จะมีการประเมินสถานการณ์ 2 สัปดาห์ พิจารณาว่าจะมีการผ่อนคลายการดำเนินงานตามนโยบายตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย.ว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้างที่จะผ่อนคลายได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับพื้นที่สี การปรับมาตรการต่างๆ การรายงานความก้าวหน้าเรื่องการรับแรงงาน 3 สัญชาติเข้ามาในประเทศ และเรื่องที่อยู่ในความสนใจคือมาตรการสำหรับกิจการสถานบันเทิง ขอให้ติดตามมติของที่ประชุม ที่โฆษก ศบค.จะได้แถลงข่าวให้ทราบภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น

ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สธ. กล่าวถึงเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้ครบ 100 ล้านโดส รวมถึงแผนการฉีดวัคซีนในผู้ที่ยังไม่ได้รับเข็มแรกว่า กรมควบคุมโรครับนโยบายไปแล้ว ขณะนี้เหลือกลุ่มที่ยังไม่ได้เข้ารับวัคซีนเข็มแรกไม่ถึง 10 ล้านคน ซึ่ง สธ.ได้จัดหน่วยเคลื่อนที่ออกไปในพื้นที่เพื่อนำคนเหล่านี้เข้าไปฉีดวัคซีนยังสถานพยาบาลหรือจุดฉีด ส่วนกลุ่มที่รอวัคซีนที่ตัวเองต้องการ ตรงนี้เป็นปัญหาเล็กน้อย เพราะกรณีการสั่งจองซื้อวัคซีนโดยใช้งบประมาณของตัวเอง แต่วัคซีนไม่เข้ามาตามกำหนด ทาง สธ.ได้รับวัคซีนตระกูลเดียวกันเข้ามาแล้ว ทั้งวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่รับบริจาคมาจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่เป็นชนิด mRNA เช่นกัน แต่การจะฉีดวัคซีนใดขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ในแต่ละสถานการณ์ ส่วนวัคซีนที่จองไว้อาจแสดงความจำนงบริจาคให้โรงพยาบาลนำไปฉีดต่อได้ ถือเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัย

"วัคซีนที่รัฐบาลจัดให้คนไทยเป็นวัคซีนที่ดีทั้งหมด แต่คงไม่สามารถบอกการันตีว่าหากจองโมเดอร์นากับภาคเอกชนแล้วจะมาได้รับโมเดอร์นาภาครัฐได้ อันนี้ขึ้นอยู่กรมควบคุมโรคจะมีมาตรการอย่างไร" นายอนุทินกล่าว

ขณะที่ ​นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ภาพรวมหลังจากที่มีการรายงานสถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มลดลงที่น่าพอใจ ส่วนการฉีดวัคซีนมีผู้ฉีดแล้ว 89,894,183 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 47,034,024 โดส คิดเป็น 65.3%, เข็มสอง 39,724,270 โดส คิดเป็น 55.1% และเข็มสาม 3,135,889 โดส คิดเป็น 4.4% คาดว่าหากมีการฉีดวัคซีนได้จำนวนดังกล่าวก็อาจจะไม่ถึง 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ ฉะนั้นขอให้ทุกภาคส่วนทุกชุมชนสำรวจว่ามีส่วนใดตกหล่น ขอให้เข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร่งด่วน เพราะมีวัคซีนในทุกจังหวัด พร้อมในทุกๆ ที่ไม่มีกรณีที่วัคซีนไม่เพียงพอ

"การได้รับวัคซีนเข็มแรกจำแนกตามจังหวัด และการได้รับวัคซีนตามเป้าหมายวันที่ 24 พ.ย.2564 พบว่าจังหวัดที่มีการฉีดวัคซีนได้ 70% ขึ้นไป มีทั้งหมด 12 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี สมุทรปราการ พังงา ภูเก็ต ระนอง ระยอง ปทุมธานี สมุทรสาคร สงขลา และฉะเชิงเทรา ส่วนจังหวัดที่มีการฉีดวัคซีน 60-69% มี 14 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ยะลา เชียงราย ลำพูน พระนครศรีอยุธยา สระบุรี จันทบุรี นครศรีธรรมราช ตรัง ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ตราด กระบี่ สุราษฎร์ธานี" นพ.เฉวตสรรกล่าว

ผอ.กองควบคุมโรคฯ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์เตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งหมดในโรงพยาบาล, โรงพยาบาลสนาม และ Hospital วันที่ 23 พ.ย.2564 เวลา 16.30 น. จำนวน 201,595 เตียง ครองเตียง 69,588 เตียง หรือร้อยละ 34.52 และเตียงคงเหลือ 132,007 เตียง แบ่งเป็นเขตสุขภาพที่ 1-12 มีจำนวนเตียงทั้งหมด 184,915 เตียง มีครองเตียง 61,074 เตียง หรือร้อยละ 33.03 เตียง คงเหลือ 123,841 เตียง กรุงเทพมหานครมีเตียงทั้งหมด 16,680 เตียง มีครองเตียง 8,514 เตียง หรือร้อยละ 51.04 เตียง คงเหลือ 8,166 เตียง

ผอ.กองควบคุมโรคฯ กล่าวว่า ในส่วนประเพณีลอยกระทงที่ผ่านมา ขณะนี้ยังไม่มีการรายงานเกี่ยวกับคลัสเตอร์ที่เชื่อมโยงกับงานลอยกระทง ซึ่งหากไม่มีคลัสเตอร์ แสดงว่าความร่วมมือของพี่น้องประชาชนเป็นไปด้วยดี และทุกคนช่วยกันระมัดระวัง ทำให้ไม่เกิดการติดเชื้อ และจะทำให้การเปิดประเทศมีความมั่นใจมากขึ้น"

วันเดียวกัน สื่อเกาหลีได้รายงานว่า วายจี เอนเตอร์เทนเมนต์ (YG entertainment) ต้นสังกัดของลิซ่า สมาชิกวงแบล็กพิงก์ (BLACKPINK) ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ลิซ่า แบล็กพิงก์ ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19 เมื่อบ่ายวันที่ 24 พ.ย. ส่วนสมาชิกอีก 3 คน (จีซู เจนนี่ และ โรเซ่) ของวงยังไม่ได้จัดเป็นกลุ่มบุคคลใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ตามได้เข้าไปตรวจหาเชื้อโควิดโดยทันที หลังจากได้รับข่าวว่าผลตรวจของลิซ่าเป็นบวก และกำลังรอผลการตรวจหาเชื้อ

"เราได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวโดยเร็วที่สุด รวมถึงสตาฟฟ์ และได้ใช้มาตรการอย่างเข้มงวดตามหลักเกณฑ์ด้านสาธารณสุข พวกเราจะไม่หยุดที่จะให้การสนับสนุนด้านสุขภาพของศิลปินอย่างเต็มที่ รวมไปถึงทีมงานที่เกี่ยวข้องเป็นลำดับสำคัญสูงสุด หากมีความคืบหน้าอย่างไร จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่ต้นสังกัดประกาศออกมา เหล่าแฟนคลับจำนวนมากได้ส่งข้อความให้กำลังใจศิลปินสาวเชื้อสายไทยจำนวนมาก ส่งผลให้แฮชแท็ก #GetWellSoonLisa ขึ้นอันดับ 1.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง