ซัดอีลิต-นักการเมือง ‘ป้อม’ชี้ต้นตอความขัดแย้ง ‘บิ๊กตู่’โว‘รทสช.’สุภาพบุรุษ

“ประยุทธ์” ให้รอดูราชกิจจานุเบกษาเรื่องวันยุบสภา ลั่นไม่มีวันธงชัยมีแต่วันสะดวก เข้าพรรค รทสช.ทำหน้าที่สวมเสื้อให้สมาชิกแล้ว โวเป็นพรรคสุภาพบุรุษ  มั่นใจได้เก้าอี้มากแน่ “2 กุมาร พปชร.” ไม่ถือนายกฯ เคลมนโยบาย เหน็บให้ย้อนดูไทม์ไลน์ 8 ปี “บิ๊กป้อม”  เขียนจดหมายเปิดใจฉบับ 3 ร่ายยาวต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ชี้ต้นตอ “กลุ่มอิลิท-นักการเมือง” เป็นตัวละครหลัก  แต่สุดท้ายประเทศต้องเดินด้วยระบอบประชาธิปไตย เพราะบทเรียนชี้ชัดอำนาจนิยมพ่ายแพ้ประชาธิปไตยเสรีนิยมทุกคราวไป 

เมื่อวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเอกสารไทม์ไลน์การยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 15  มี.ค.ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งนายวิษณุ  เครืองาม รองนายกฯ ได้รายงานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า "เหรอ ใครพูดก็พูดไป"

เมื่อถามว่า การยุบสภาจะไม่เลยวันตามนี้ใช่หรือไม่  พล.อ.ประยุทธ์ส่ายศีรษะพร้อมกล่าวว่า “เอาน่า เดี๋ยวผมจัดการของผมเองนั่นแหละ” ถามย้ำว่า นายกฯ จะยึดวันธงชัยเป็นหลักในการประกาศยุบสภาใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์สวนว่า "วันอะไรล่ะ" สื่อตอบว่าวันที่ 15 มี.ค.ถือเป็นวันดีเป็นวันธงชัย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ดีทุกวันนั่นแหละ ถ้าทำอะไรทำดีๆ มันก็ดีทุกวัน ไม่ต้องไปกลัวอะไรหรอก" เมื่อถามว่าจะเลือกวันที่นายกฯ สะดวกใช่หรือไม่  พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า "วันที่สะดวกที่สุดนั่นแหละ วันที่งานการที่ยังไม่เสร็จแล้วทำเสร็จ" 

เมื่อถามว่า วันยุบสภานายกฯ จะแถลงอย่างเป็นทางการด้วยตัวเองใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ระเบียบเขาว่าอย่างไร เมื่อเรากำหนดวันขึ้นมา แล้วก็เซ็นลงนามไป ทั้งหมดต้องรอให้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า สรุปจะยุบสภาวันที่ 15 มี.ค.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า “อะไร ไม่ใช่ๆ” เมื่อถามว่าจะเลยวันที่ 15 มี.ค.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายกฯ เดินเข้าไปในตึกไทยคู่ฟ้า ได้พูดกับทีมงานว่าผู้สื่อข่าวถามกันเก่งขึ้น แต่เห็นไหมเราไม่อารมณ์เสีย

ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ยังให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นครั้งแรกเพื่อสวมเสื้อให้สมาชิกพรรคว่า แล้วมันมีปัญหาอะไรหรือไม่ ก็เป็นการไปทำหน้าที่นักการเมืองซึ่งถือเป็นเวลานอกราชการ  ทำได้มิใช่หรือ ก็จะเดินทางไปหลังเวลา 16.30 น. ถ้าไปในเวลาราชการไม่ได้มันผิดกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวถามถึงการปราศรัยของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษาพรรค รทสช. ที่จังหวัดนครราชสีมา  ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จะมีการกำชับอะไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า บางครั้งท่านอาจเผลอพลั้งไปบ้างก็ขอโทษกันแล้วนี่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้คุยกันแล้วคุยกันมาโดยตลอด  แต่บางทีก็อย่างว่าท่านไม่ได้พูดมาเสียนาน แต่ก่อนท่านก็พูดเก่งจะตายไป แต่ท่านไม่มีเจตนาที่จะพูดไม่ดีหรอก

ผู้สื่อข่าวถามว่า การปราศรัยของนายไตรรงค์มีการเชื่อมโยงถึงสถาบัน จะต้องตักเตือนหรือไม่เพราะมีผู้นำมาวิพากษ์วิจารณ์ นายกฯ กล่าวว่า ก็ต้องเตือนกันไป ซึ่งก็ต้องระมัดระวังอย่างที่สุด แต่บางครั้งมันก็หลุดออกไป คนเยอะๆ บางทีก็หลุด ยอมรับว่าก็เครียดอยู่เหมือนกัน กลัวว่าจะหลุดเหมือนกัน ก็ระมัดระวังอย่างที่สุดในการพูดถึงเรื่องของสถาบันของประเทศไทยของเรานั้นมันไม่น่าจะผิด  ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของเรา ทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบาย พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง  มองว่าเขาข่ายลักษณะต้องห้ามในการปราศรัยหาเสียง  พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็ให้นายสมชัยเขาว่าไป เพราะเขาจับจ้องดูเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องของศาลก็ว่ากันไป

ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อ กกต.เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยกรณีนายไตรรงค์ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงที่ จ.นครราชสีมา เพราะอาจถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อ 17 ของระเบียบ กกต.ที่ห้ามนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง

‘บิ๊กตู่’ ลั่นนโยบายทำได้จริง

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงนโยบายเพิ่มสิทธิ์ "บัตรสวัสดิการพลัส" เป็น 1,000 บาทต่อเดือนที่ปราศรัยว่า  เราต้องพิจารณาดูว่าเป็นไปได้หรือไม่ เอางบประมาณมาจากที่ไหน ซึ่งภายในพรรคก็ปรึกษาหารือกันแล้ว ซึ่งยอดประมาณ 15 ล้านคน ก็อยู่ที่ประมาณกว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งโอเคพอหาได้ และไม่ใช่การเกทับพรรคอื่น เพราะไม่ได้สนใจ พรรคอื่นก็คือพรรคอื่น

“ผมไม่ได้สน ผมไม่ได้ตั้งใจอะไรอย่างนั้น กับหัวหน้าพรรคอื่นผมก็สนิทกันดีอยู่แล้ว และรักกันดีอยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องของการหาเสียง ซึ่งผมหาเสียงในสิ่งที่มันเป็นไปได้  ผมรู้ว่ามันบริหารอย่างไร เพราะการเป็นนายกฯ ต้องรู้กลไกและขั้นตอนของงบประมาณ ซึ่งต้องสนใจด้วยว่ามีอยู่เท่าไหร่ แต่ถ้าพูดปากเปล่าออกไปก็ดูสิ บางทีพอคูณตัวเลขแล้วก็ออกมาเป็นงบแสนแสนล้านบาท แล้วจะเอางบมาจากที่ไหนผมก็ไม่รู้ ผมไม่พูด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่า ที่มาเปิดประตูสู่อีสานเพราะเป็นจุดอ่อนของพรรค รทสช.ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่มีจุดอ่อนจุดแข็งอะไรทั้งนั้น ไม่ได้สนใจตรงนั้น สนใจที่ประชาชนของเราทั้งประเทศ

เมื่อถามว่า ในการปราศรัยที่โคราช เห็นมีเก้าอี้ว่างเยอะ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้อนว่า เก้าอี้ที่ไหน พร้อมชี้แจงว่าเก้าอี้มันว่างตอนเย็น เพราะประชาชนส่วนหนึ่งเขากลับบ้าน เขามาตั้งแต่บ่ายแล้ว เมื่อถามว่าจะต้องปรับกลยุทธ์ในการขึ้นเวทีหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สื่อมวลชนก็ไปช่วยเขาหน่อยสิ ช่วยเสนอให้มีการปรับกันหน่อย เรื่องแบบนี้ใครพูดก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นนายกฯ หรอก

เมื่อถามย้ำว่า พระเอกไม่จำเป็นต้องขึ้นทีหลังก็ได้  พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ใครเป็นพระเอก ไม่ได้เป็นพระเอก   ทุกคนเป็นพระเอกทั้งหมด ทุกอย่างมันต้องไปด้วยกัน นายกฯ คนเดียวจะเก่งคนเดียวได้อย่างไรเล่า นี่คนอื่นเขาเก่งไปด้วยสิ วันนี้พยายามทำทุกอย่างให้เข้าระบบให้ได้  วันข้างหน้าก็ต้องมีการทำความเข้าใจกับสมาชิกพรรคให้เข้าใจในระบบงบประมาณ ซึ่งไม่ขัดข้องอยู่แล้ว และไม่ใช่แค่พรรคที่สนับสนุน แต่ทุกพรรค ในวันข้างหน้าใครเป็นรัฐบาลก็ต้องทำแบบที่ตนเองทำ และไม่มีใครทำได้ตามใจทั้งหมด เพราะมันมีกฎหมายและระเบียบทุกตัว

และเมื่อเวลา 17.19 น. พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค เดินทางเข้าที่ทำการพรรค ซอยอารีย์ 5 เป็นครั้งแรก ด้วยรถเบนซ์ส่วนตัว ทะเบียน ญค 1881 กรุงเทพมหานคร พร้อมสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีขาวของพรรค รทสช. โดยด้านในเป็นเสื้อยืดสีน้ำเงินของพรรค เมื่อเดินทางมาถึง  นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมแกนนำพรรค ให้การต้อนรับ ก่อนพา พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นไปยังห้องรับรอง ก่อนจะลงมาในเวลา 17.45 น.

รทสช.พรรคสุภาพบุรุษ

จากนั้นเวลา 17.51 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้สวมเสื้อพรรคให้กลุ่ม ส.ส.ภาคกลาง, กลุ่ม ส.ส.ภาคใต้ รวม 14 คน จากนั้นกล่าวว่า วันนี้ที่มากันอย่างพร้อมเพียง เราได้ให้คำมั่นสัญญาไว้แล้วจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทั้งนี้เพื่อประเทศชาติของเรา ประชาชนของเรา ทำให้บ้านเมืองไปข้างหน้า นั่นคือคำมั่นสัญญาของสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี ของพวกเราทุกคน พวกเราเข้าใจตรงกัน ทำแล้ว ทำอยู่และทำต่อ นี่คือหัวใจของเราที่จะทำให้ประชาชนและประเทศชาติของเรามีความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน

เมื่อถามว่า ตั้งใจทำพรรคนี้ให้เป็นพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันต่อไปใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็พยายามจะทำให้ดีที่สุด ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่ประชาชนที่เขาจะเลือกพวกเราเข้ามา คิดว่าต้องมองด้วยตาว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรไว้บ้าง ถ้าไม่มองตรงนี้ก็ไม่รู้และไม่เข้าใจ แล้วไปคาดหวังอะไรที่อาจจะทำไม่ได้ ไม่อยากจะไปก้าวล่วงใคร

“เราเป็นสุภาพบุรุษ พรรคเราต้องเป็นพรรคสุภาพบุรุษ เพราะเราจะทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว เพราะนี่คือประเทศไทยของเราทุกคน ขอบคุณทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่า มีคนมองว่าพรรค รทสช.จะเป็นพรรคเฉพาะกิจ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้อนถามว่า จะเป็นพรรคเฉพาะกิจได้อย่างไร ก็จะมีการเลือกตั้ง จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง แต่คิดว่าก็คงต้องได้ ส.ส. และมั่นใจว่าจะได้เยอะมากพอสมควรนะ นั่นแหละคือความยั่งยืนของเรา และก็มีคนสืบสานต่อไปอีกเยอะแยะ เพราะตั้งใจกันทุกคน มีอุดมการณ์เดียวกันถึงมารวมกันตรงนี้ได้ เราเป็นพรรคที่สร้างอุดมการณ์เดียวกัน สร้างความรักความสามัคคี เริ่มต้นด้วยความรักความสามัคคี เห็นชอบและพร้อมใจไปด้วยกันมันก็จะยั่งยืนกันไปเอง

หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ถ่ายภาพหมู่ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.และสมาชิกพรรค พร้อมทำมือสัญลักษณ์มินิฮาร์ต ไอเลิฟยู และ Y2K พร้อมชูกำปั้นตะโกนสู้ๆ อย่างอารมณ์ดี พร้อมเผยว่าเข้าพรรควันแรกรู้สึกอบอุ่นร่วมไปกับสมาชิกพรรค และจะอบอุ่นกับประชาชนต่อไป ก่อนขึ้นไปยังห้องรับรองหารือกับแกนนำพรรค

ทั้งนี้ ในส่วนอดีต ส.ส.ส่วนที่เหลือกว่า 40 คน มีรายงานว่าจะเปิดตัวในวันที่ 1 มี.ค.นี้ พร้อมพิธีทำบุญพรรค ตั้งแต่เวลา 06.00 โดย พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าร่วมพิธีทำบุญดังกล่าวด้วย โดยมีกำหนดแล้วเสร็จภายในเวลา  08.30 น. ซึ่งเป็นเวลาก่อนเวลาราชการ จึงไม่ต้องลาราชการแต่อย่างใด

‘ลุงป้อม’ ร่ายยาวความขัดแย้ง

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊กจดหมายเปิดใจฉบับที่ 3 ในหัวข้อทำไมต้องก้าวข้ามความขัดแย้งว่า "ผูกพันกับคนที่ร่วมสร้างพรรค พปชร.ขึ้นมาจนประสบความสำเร็จ จะทิ้งแค่เอาตัวรอด ทั้งที่เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ร่วมสร้างพรรคยังมีความฝันอยู่เต็มเปี่ยมได้อย่างไร นั่นเป็นเหตุผลแรก แต่ลึกไปในใจมีเหตุผลส่วนตัวที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเหตุผลที่เกิดจากการทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่าถึงทางออกของชาติบ้านเมืองว่าควรจะทำอย่างไรกันดี เป็นการทบทวนที่มองผ่านเข้าไปในประสบการณ์ชีวิตทั้งหมด แล้วหาข้อสรุปว่าเกิดอะไรกับประเทศ"

พล.อ.ประวิตรโพสต์อีกว่า "ตั้งแต่เป็นนายทหารผู้น้อยเติบโตมาถึงผู้บัญชาการกองทัพ ได้รับรู้ความห่วงใยของคนในวงการต่างๆ ที่มีต่อความเป็นไปทางการเมืองของประเทศ โดยมีเป้าหมายไปที่นักการเมืองกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีบทบาทสูงต่อความเป็นไปของประเทศ หรือเรียกว่ากลุ่มอิลิท ซึ่งมีความเป็นมาและพฤติกรรมที่ไม่น่าเชื่อถือและลามไปสู่ความข้องใจในประชาธิปไตย โดยความไม่เชื่อมั่นต่อนักการเมือง และการเลือกของประชาชนนั้น ทำให้ผู้มีบทบาทกำหนดความเป็นไปของประเทศเหล่านี้ เห็นดีเห็นงามกับการหยุดประชาธิปไตย เพื่อปฏิรูปหรือปฏิวัติกันใหม่ หวังแก้ไขให้ดีขึ้น"

“คนกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่หวังดี อยากเห็นประเทศพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรือง เป็นผู้มีประสบการณ์ที่พิสูจน์แล้วว่ามีความรู้ความสามารถ แต่น่าเสียดายยิ่งว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการใช้ความรู้ ความสามารถเหล่านี้ ไม่มีโอกาสเข้ามาช่วยประเทศชาติในช่วงระบบการเมืองจัดสรรผู้เข้ามามีอำนาจบริหารตามโควตาจำนวน ส.ส. ที่ประชาชนเลือกเข้ามา  โอกาสที่จะเข้ามาช่วยประเทศชาติ มีเพียงช่วงที่รัฐบาลมาจากอำนาจพิเศษ หรือการปฏิวัติ รัฐประหารเท่านั้น” พล.อ.ประวิตรโพสต์ไว้

 หัวหน้าพรรค พปชร.โพสต์อีกว่า "การรับราชการทหารมาเกือบทั้งชีวิต ทำให้เข้าใจและแทบมีความคิดในทางเดียวกับคนที่หวังดีต่อประเทศชาติเหล่านี้ แต่เป็นความคิดในช่วงแรกแม้ครอบคลุมเวลาส่วนใหญ่ของชีวิต  แต่หลังเข้ามาทำงานร่วมกับนักการเมือง และตั้งพรรคการเมือง ทำให้ได้รับประสบการณ์อีกด้าน อันทำให้เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องนำพาประเทศไปด้วยระบอบประชาธิปไตย เพราะไม่ว่านักการเมืองส่วนใหญ่จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ที่สุดแล้วอำนาจการบริหารประเทศต้องกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผู้ที่อำนาจตัดสินว่าจะให้ใครเป็นรัฐบาลบริหารประเทศคือประชาชน"

พล.อ.ประวิตรโพสต์ต่อว่า "มีความจริงอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แม้ในการเลือกตั้งทุกครั้งผู้ยึดครองอำนาจด้วยวิธีพิเศษจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาสู้ ซึ่งแม้หาทางได้เปรียบในกลไกการเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมาฝ่ายอำนาจนิยมจะพ่ายแพ้ต่อฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยมทุกคราว   ความรู้ความสามารถของกลุ่มอิลิททำให้ประชาชนศรัทธาได้ไม่เท่ากับนักการเมือง ที่คลุกคลีกับชาวบ้านจนได้รับความรัก ความเชื่อถือมากกว่า นี่คือต้นตอของปัญหาที่สร้างความขัดแย้ง ขยายเป็นความแตกแยก ระหว่างฝ่ายอำนาจนิยมกับฝ่ายเสรีนิยมที่หาจุดลงตัวร่วมกันไม่ได้  เพราะพยายามหาทางให้ฝ่ายตัวเองชนะอย่างเด็ดขาด-ทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นสูญ กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ จึงจำเป็นต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง"

 “ทำไมผมถึงเชื่อมั่นว่าผมทำได้และจะทำอย่างไร หากประชาชนให้โอกาสผม สุดท้ายนี้ขอบอกกล่าวให้รับรู้โดยทั่วว่า จดหมายทุกฉบับเขียนขึ้นโดยทีมงานที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญมาช่วยกันกลั่นกรองสาระสำคัญที่ผมต้องการนำเสนอต่อสังคม เพื่อเป็นทางออกของบ้านเมือง เช่นเดียวกับตอนที่เป็น ผบ.ทบ. ก็มีคณะเสนาธิการทหารคอยช่วยเหลืองาน ดังนั้น เมื่อก้าวมาเป็นนักการเมืองผมก็มีเสนาธิการฝ่ายการเมืองมาเป็นกำลังสำคัญเช่นกัน ซึ่งเนื้อหาของจดหมายทุกฉบับที่จะเกิดขึ้นผ่านการตรวจทานจากผมแล้วและผมขอรับผิดชอบทุกตัวอักษร” พล.อ.ประวิตรโพสต์ทิ้งท้าย

แนะย้อนดูไทม์ไลน์ 8 ปี

นายอุตตม สาวนายน แกนนำพรรค พปชร.กล่าวถึงนโยบายต่างๆ ที่พรรค รทสช.ปราศรัยที่ จ.นครราชสีมา  ซึ่งมีหลายนโยบายทับซ้อนกับของพรรคว่า ไม่ได้ซีเรียสเพราะ พล.อ.ประวิตรได้ประกาศชัดเจนก่อนหน้านี้แล้วว่า  อะไรที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ  พรรคยินดีให้การสนับสนุน ไม่ต้องการเอาชนะคะคานกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะประชาชนรับทราบดีว่านโยบายต่างๆ มีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นคนคิดริเริ่มและผลักดันจนเป็นรูปธรรม เพียงแต่การบริหารราชการแผ่นดิน ทุกเรื่องต้องผ่านความเห็นชอบของ ครม.ซึ่งมีนายกฯ เป็นหัวหน้า ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์จะหิ้วเอานโยบายเหล่านั้นติดตัวไปอยู่พรรคอื่น

 “ย้อนดูไทม์ไลน์ช่วง 8 ปี ก็จะรู้ว่าใครเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันนโยบายเหล่านี้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ถ้าพรรคไหนเห็นว่านโยบายของเราดี  จะนำไปสานต่อ พรรคพลังประชารัฐและ พล.อ.ประวิตรก็ยินดี ไม่ขัดข้องอะไร” นายอุตตมกล่าว

ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ แกนนำ พปชร.กล่าวว่า นโยบายต่างๆ เหล่านี้เป็นการริเริ่มของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ และพวกตน ตั้งแต่ช่วงรัฐบาล  คสช.ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จึงถือว่าเป็นผลผลิตของพรรค พปชร. ทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และ EEC

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการปราศรัยของพรรค รทสช.ว่า ยังไม่ได้ฟังและไม่ได้ดูว่ากระแสเป็นอย่างไร เพราะการปราศรัยของ ภท.ตั้งแต่ อ.สะบ้าย้อย, อ.นาทวี, อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จนถึง จ.นครศรีธรรมราช เดินทางต่อเนื่อง ไม่มีเวลาไปนั่งดูคนอื่น พรรคใครพรรคมัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง

เมื่อถามว่า พรรค ภท.มีนโยบายอะไรที่จะบลัฟพรรคอื่นได้บ้าง นายอนุทินหัวเราะพร้อมกล่าวว่า ไม่มี เราไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่มั่นใจว่านโยบายพรรคทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน เป็นสิ่งที่ทำได้รวดเร็วทันใจ จึงมั่นใจในประเด็นของเรา อย่าไปบลัฟกัน เพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้ง ทั้งที่บอกว่าจะเร่งสร้างความสามัคคีของคนในชาติ แต่พอขึ้นเวทีก็ใส่กันไม่ยั้ง ว่าคนนี้เลว คนนี้ชั่ว คนนี้ไม่ดีอย่างไร ถามว่าจะไปสามัคคีอย่างไร ซึ่งพรรคไม่เลือกวิถีทางนี้ เพราะย้อนแย้งกับเจตนารมณ์ที่ทุกพรรคระบุว่า จะธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ สร้างความสามัคคีปรองดองให้เป็นปึกแผ่นของคนในชาติ ให้เกิดความมั่นคงในประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากผลการเลือกตั้งออกมาพรรค  ภท.ได้คะแนนมากกว่า รทสช. ยืนยันว่านายอนุทินจะเป็นนายกฯ เอง นายอนุทินกล่าวว่า ยืนยัน จะไม่ยืนยันได้อย่างไร พรรคประกาศชื่อแคนดิเดตนายกฯ เป็นคนแรก  เสนอเพียงคนเดียว และประกาศมาเกือบ 2 เดือนแล้ว ถ้าไม่พร้อมเท่ากับโกหกประชาชน จะประกาศเล่นๆ ไม่ได้  ถ้าพรรคได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุด แล้วจะไม่เป็นนายกฯ เท่ากับหักหลังประชาชน ซึ่งเป็นไปไม่ได้

ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค  พร้อมแกนนำได้เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม.ที่เป็นคนรุ่นใหม่  14 คน โดยนายเฉลิมชัยกล่าวว่า วันนี้เพียงแค่ออเดิร์ฟ วันที่ 6 มี.ค.จะเปิดผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 คน ที่อาคารกีฬาเวสน์ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) 

 จากนั้นได้เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม. โดยไฮไลต์อยู่ที่  ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง บุตรชายของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯ กทม. ที่สังกัดพรรค รทสช. ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขตคลองเตย-วัฒนา

เจาะสุพรรณฯ แพ้ภัยตัวเอง

ด้านนายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์  ในฐานะเลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงความพร้อมในการเลือกตั้งว่า ชทพ.พร้อมเต็มที่ 100%  ส่วนเป้าหมาย 25 ที่นั่งนั้น เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องมี 25 ที่นั่งถึงจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคได้ ซึ่งในสุพรรณบุรีทั้ง 5 เขตเราชนะถล่มทลายแน่ ส่วนปาร์ตี้ลิสต์จะถึง 4 ล้านคะแนนหรือไม่ตอบยาก แต่ 2  ล้านคะแนนน่าจะถึง

ส่วนที่ว่าการอำเภอเดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี  พรรค ชทพ.จัดเวทีปราศรัยเป็นเวทีที่ 10 โดยคุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา สมาชิกพรรค ที่ถูกโดรนถ่ายภาพตกใส่ที่เวทีปราศรัยของพรรค ชทพ.ที่ อ.ด่านช้าง เมื่อวันที่ 26 ก.พ.  จนได้รับบาดเจ็บ 5 แผล ยังเดินทางมาให้กำลังใจเหมือนเช่นเคย โดยคุณหญิงแจ่มใสกล่าวว่า ไม่มีบาดแผลอะไร เป็นแค่จุดเล็กๆ เท่านั้นและไม่ต้องรับประทานยาแล้ว

ถามถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมาถึง ซึ่งหลายพรรคพยายามเจาะสุพรรณบุรี คุณหญิงแจ่มใสกล่าวทันทีว่า ไม่มีทาง พื้นที่ จ.สุพรรณบุรี พรรคชาติไทยพัฒนาแน่นมาก เพราะเราไม่ได้ทำงานเฉพาะช่วงที่มีการเลือกตั้ง แต่นายบรรหารทำมาตั้งแต่ยังไม่เล่นการเมือง และทำมาต่อเนื่อง ตั้งแต่นายบรรหารไม่สิ้น แต่เมื่อนายบรรหารสิ้นแล้ว บุตรยังทำต่อเนื่องมาไม่จบ ดังนั้นเมืองสุพรรณฯ ตียาก

“ขออวยพรในการเลือกตั้ง ขอให้ทุกคนได้อย่างที่ใจคิด ส่วนศัตรูที่จะทำให้สุพรรณบุรีแตกแยกต้องแพ้ภัยตัวเอง” คุณหญิงแจ่มใสกล่าว

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า  (ชพนก.) พร้อมแกนนำพรรคได้เปิดตัว ดร.อิสมาแอล  เบญอิบรอฮีม อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ 3 สมัย เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จ.ปัตตานีของพรรค.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง