พิษศก.สหรัฐกระทบหนัก กสิกรหั่นส่งออกลบ1.2%

“กสิกรไทย” ฟันธงจีดีพีไทยปี 2566 ยังโต 3.7% ชี้ท่องเที่ยวฟื้นช่วยหนุน เคาะต่างชาติเข้าไทย 28.5 ล้านคน พร้อมหั่นคาดการณ์ส่งออกติดลบ 1.2% พิษเศรษฐกิจสหรัฐชะลอกระทบหนัก คาด กนง.เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% มองวิกฤตแบงก์สหรัฐยืดเยื้อ แต่ไม่กระทบแบงก์ไทย

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคงประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังขยายตัวที่ 3.7% โดยสถานการณ์ท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยปีนี้คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ราว 28.5 ล้านคน แต่ปรับลดคาดการณ์ส่งออกลงเหลือ -1.2% จากเดิม -0.5% ซึ่งเป็นการปรับลดลงตามสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นจากการส่งออกในเดือน ม.ค.2566 ที่ปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ทั้งปริมาณการส่งออกยังหดตัว และด้านราคายังชะลอตัว และยังมีเหตุผลจากที่แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงมากกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐด้วย ในขณะที่การเชื่อมโยงไปยังตลาดส่งออกประเทศอื่นๆ ยังมีไม่มากนัก

โดยสินค้าส่งออกของไทยที่จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลง ได้แก่ คอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์, รถยนต์ และชิ้นส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสินค้าในกลุ่มดังกล่าวนี้มีสัดส่วนถึง 30% ของการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐ

ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปีนี้ลง เหลือ 2.8% จากคาดการณ์เดิมที่ 3.2% เนื่องจากสัญญาณเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยมีผลมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ชะลอตัวลง และค่าไฟฟ้ามีการปรับขึ้นน้อยกว่าที่ได้ประเมินไว้ ซึ่งจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่เริ่มปรับลดลง และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณชัดเจนว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้มาถึงจุดสูงสุดแล้วนั้น จึงทำให้มองว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 29 มี.ค.นี้ กนง.จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 1.75% โดยเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยที่ 1.75% จะเป็น terminal rate สำหรับปีนี้แล้ว

สำหรับปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทยในปีนี้ อยู่ที่ปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่เริ่มกลับมาตึงเครียดอีกรอบ สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่คงจะไม่มีออกมาเพิ่มเติมในช่วงนี้ไปปลายปีงบประมาณ 2566 เนื่องจากอยู่ในช่วงของรัฐบาลรักษาการนั้น เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากโดยหลักการแล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเริ่มทยอยปรับลดลงหากเศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ฟื้นตัว ซึ่งเศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อยู่แล้ว

น.ส.ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาของสถาบันการเงินในต่างประเทศว่า วิกฤตธนาคารขนาดกลางและเล็กของสหรัฐมีโอกาสจะยืดเยื้อต่อ เนื่อง จากตราบใดที่ธนาคารที่ถูกจับตามองยังไม่ได้แก้ปัญหางบดุล เช่น การกระจุกตัวของเงินฝาก หรือการบริหารความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย ก็จะยังทำให้ผู้ฝากเงินขาดความมั่นใจ

 “ผลกระทบของปัญหาวิกฤตธนาคารในต่างประเทศต่อในไทยนั้น เชื่อว่าอยู่ในกรอบจำกัด เพราะธนาคารไทยมีโครงสร้างงบดุลที่กระจายตัวดีกว่า เช่น มีพอร์ตสินเชื่อที่ใหญ่กว่าเงินลงทุน พอร์ตสินเชื่อมีการกระจายตัวตามกลุ่มลูกค้ารายย่อย เอสเอ็มอี และรายใหญ่ รวมถึงมีเงินฝากที่ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่ลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง หรือลูกค้าธุรกิจองค์กร เหมือนกับกรณีของธนาคารสหรัฐที่ประสบปัญหา อีกทั้งธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีสภาพคล่องและเงินกองทุนในระดับสูง แข่งขันได้ในระดับสากล ภายใต้การกำกับดูแลที่ใกล้ชิดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง” น.ส.ธัญญลักษณ์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง