อสส.นัดสั่งคดีอุปกิต17เม.ย.

"ส.ว.อุปกิต" โต้ไม่ได้มอบตัว เพียงเข้าพบพนักงานสอบสวนแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยันสู้ถึงที่สุด ข้องใจบริษัทชั้นนำของไทยใช้ผู้รับโอนเงินเจ้าเดียวกันทำไมไม่ผิด รองโฆษก อสส.เผยนัดฟังคำสั่งคดี 17 เม.ย.นี้ "โรม" ชี้ "อุปกิต" ควรโดนข้อหาเดียวกับ "ทุน มิน ลัต"  บี้ ปปง.อายัดทรัพย์สิน "อัจฉริยะ" บุก ปปง.แขวนป้ายจี้ ขรก.กวาดบ้านตนเอง "เอกรักษ์" ปัดเอี่ยวถุงเงิน 6 ล้าน แจ้งความกลับ "อัจฉริยะ" หมิ่นประมาทเรียก 10 ล้าน 

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม หลังจากมีข่าวนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เข้ามอบตัวกับผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 พนักงานสอบสวน นายอุปกติชี้แจงว่า ไม่ใช่การไปมอบตัว เพราะในข้อเท็จจริงเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปว่า ทั้งนายรังสิมันต์ โรม และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์  กล่าวหาตนและเข้าไปให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน รวมถึงพยายามสร้างกระแสเพื่อเร่งรัดกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นสิทธิโดยชอบของตนที่จะเดินทางไปชี้แจงข้อเท็จจริง และแสดงความบริสุทธิ์ใจ พร้อมจะให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรม เพื่อปกป้องเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ของตนเองและวงศ์ตระกูล

"หลังการเข้าพบ พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา สมคบกันฟอกเงิน,  ร่วมกันฟอกเงิน และมีส่วนร่วมใน องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งไม่มีข้อหาค้ายาเสพติดแต่อย่างใด ผมเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ขอยืนยันว่าไม่มีการหลบหนี จะสู้จนถึงที่สุด จนกว่าจะได้รับความยุติธรรมกลับมา” นายอุปกิต ระบุ

นายอุปกิตกล่าวว่า ในการเข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวน ได้นำพยานหลักฐานที่เป็นเส้นทางการเงินเทียบเคียงกับคดีนายดีน ยัง จุลธุระ ลูกเขย ไปชี้แจงให้เห็นว่า ในช่วงปี 2563 ขณะสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนัก มีการปิดด่านท่าขี้เหล็ก ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ตามปกตินั้น นอกจากบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป (พีแอนด์อี) ที่ต้องโอนเงินผ่านผู้รับบริการโอนเงินฝั่งเมียนมาเพื่อชำระค่าไฟฟ้าให้กับ กฟภ. แล้ว ยังมีบริษัทชั้นนำของไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในเมียนมาอีกหลายบริษัท ใช้บริการรับโอนเงินจากบัญชีผู้รับบริการโอนเงินเจ้าเดียวกัน และผู้รับโอนเงินนั้นก็ใช้บัญชีเดียวกันกับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าเป็นบัญชีเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด ในคดีจับกุมลูกเขยตนเช่นเดียวกัน แต่ทำไมไม่มีการกล่าวโทษด้วย

นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงกรณีที่นายอุปกิตเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา 3 ข้อหาคือ สมคบกันฟอกเงิน,  ร่วมกันฟอกเงิน และมีส่วนร่วมใน องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติว่า ในส่วนของทางคดี หลักฐานต่างๆ ที่นำไปสู่การออกข้อกล่าวหานั้นไม่สามารถบอกได้เนื่องจากอยู่ในสำนวน แต่มั่นใจในหลักฐานที่มี พร้อมยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย 

รองโฆษก อสส.กล่าวว่า ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาเองทั้งที่ยังไม่มีหมายจับหรือหมายเรียกนั้น ในทางคดีก็ถือว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาที่จะเข้ามาแสดงความบริสุทธิ์ใจ จึงไม่จำเป็นต้องควบคุมตัว ซึ่งจะส่งผลดีโดยไม่ต้องประกันตัว นอกจากนี้จะยังส่งผลดีต่อการสืบสวนหาพยานหลักฐาน เพราะจะได้ไม่มีกรอบระยะเวลาทำงาน แต่ยืนยันว่าจะเร่งทำให้เร็วที่สุด หากพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งคดีอย่างไร ก็จะยื่นให้อัยการสูงสุดพิจารณาเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยนัดฟังคำสั่งคดีในวันที่ 17  เม.ย.นี้ ส่วนจะสามารถสั่งฟ้องทางคดีได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่มี แต่หากพบว่ามีความผิด โทษของ ส.ว.อุปกิตจะเป็น 2 เท่า เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา

พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด  กล่าวถึงกรณีที่นายอุปกิตเข้ารับทราบข้อกล่าวหา 3 ข้อหาว่า ขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นการทำงานร่วมกับอัยการสูงสุด โดยมีการตั้งคณะกรรมการทำงานร่วมกัน ทางฝั่งตำรวจ ปส.จะรวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงเพื่อสรุปสำนวนส่งอัยการให้เร็วที่สุด เนื่องจากไม่มีกรอบระยะเวลา โดยจะส่งให้อัยการเป็นผู้พิจารณาว่าเห็นสมควรสั่งฟ้องหรือไม่ ส่วนจะมีใครเกี่ยวข้องอีกหรือไม่นั้น  ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ ขึ้นอยู่กับว่าพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใคร ก็จะดำเนินตามกฎหมาย ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

สำหรับคดีนี้ สืบเนื่องมาจากการจับกุมเครือข่ายทุน มิน ลัต มีการออกหมายจับ 10 หมายจับ เป็นบุคคล 7 คน และนิติบุคคล 3 หมาย เบื้องต้นสามารถจับกุมผู้ต้องหาและสั่งฟ้องไปแล้ว 4 คน หลบหนีอยู่ต่างประเทศ 2 คน แต่ปัจจุบันเหลือ 9 หมายจับ เนื่องจากมีการถอนหมายจับของ ส.ว.อุปกิต เมื่อปลายปีที่แล้ว ก่อนจะเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา 

'โรม'บี้ปปง.อายัดทรัพย์สินด้วย

นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีนายอุปกิตเข้าพบพนักงานสอบสวนแจ้งความประสงค์ขอต่อสู้คดีว่า แม้จะคืบหน้า แต่ก็ไม่ได้เป็นที่น่าพอใจอย่างถึงที่สุด ข้อหาที่นายอุปกิตควรได้รับจริงๆ คือข้อหาเดียวกันกับที่นายทุน มิน ลัต และพวก ถูกแจ้งไปก่อนหน้านี้ คาดหวังว่าอัยการสูงสุดจะต้องมีคำสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายอุปกิตในข้อหาสมคบกันค้ายาเสพติด และสนับสนุนช่วยเหลือเพื่อให้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มีอัตราโทษคนละอย่างกับข้อหาที่มีการแจ้งไปในเบื้องต้น

นายรังสิมันต์กล่าวด้วยว่า ในส่วนของการดำเนินคดีสมคบกันฟอกเงิน หน่วยงานสำคัญที่มีหน้าที่ดำเนินการในทันทีคือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) คาดหวังว่าจะดำเนินคดีอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไม่ต้องบ่ายเบี่ยงอีกต่อไป บัดนี้ได้มีการแจ้งข้อหาสมคบกันฟอกเงินไปแล้ว ก็ขอให้ ปปง.ทำหน้าที่ของตัวเอง ดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด  

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลพญาไท    เข้าพบคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของจเรตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน โดย พ.ต.ท.มานะพงษ์มีสีหน้าเรียบเฉย และได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับการทำเอกสารจำนวน 7 แผ่นชี้แจงต่อกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม กรณีขอออกหมายจับและเพิกถอนหมายจับ นายอุปกิตว่า ไม่หนักใจหรือกังวลใจที่ผู้บังคับบัญชาได้เรียกเข้ามาสอบสวนในเรื่องดังกล่าวในวันนี้ และยืนยันว่าจะต่อสู้ในเรื่องนี้ต่อไป แต่ไม่ขอตอบคำถามที่ว่ามั่นใจในพยานหลักฐานที่รวบรวมจนสามารถเอาผิด สว.ทรงเอได้หรือไม่ ทุกอย่างอยู่ในสำนวนการสอบสวน รวมทั้งไม่ขอตอบว่าที่มาของเอกสารทั้ง 7 แผ่นเผยแพร่มาจากที่ใด หรือมองว่าการดำเนินคดีในครั้งนี้ถือว่าเป็นการใช้สองมาตรฐานหรือไม่

 ด้าน พล.ต.อ.วิสนุกล่าวยืนยันว่า การเรียกสอบ พ.ต.ท.มานะพงษ์ในวันนี้ เป็นการเรียกมาสอบถามข้อเท็จจริงตามคำสั่งของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่ให้ตรวจสอบขั้นตอนการสอบสวนคดีตั้งแต่ต้นจนถึงกระบวนการขอออกหมายจับและเพิกถอนหมายจับว่าทำถูกต้องตามระเบียบขั้นตอนของตร.หรือไม่ ไม่ใช่การมุ่งเอาผิดผู้ใด และในการสอบสวนจะไม่ก้าวล่วงไปถึงอำนาจศาล โดยจะเรียกสอบสวนเพียงผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 และ พ.ต.ท.มานะพงษ์เท่านั้น ซึ่งในส่วนของตำรวจ ปส.3 ได้เข้ามาให้ข้อมูลแล้ว

วันเดียวกัน นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำป้ายติดข้อความเรียกร้องให้ข้าราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ลุกขึ้นมาดูแลปัดกวาดบ้านหรือหน่วยงานตนเอง หลังจากอยู่ภายใต้การดูแลของ พล.ต.อ. "ช " อดีตเลขาฯ ปปง. ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและดูแลเรื่องเว็บพนันออนไลน์ ส่งผลเสียหายต่อหน่วยงานอย่างมาก โดยป้ายดังกล่าวมีข้อความว่า สำนักงานปกป้องดูแลพนันออนไลน์แห่งชาติ มีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ และคุ้มครองเจ้าของเว็บพนันทั่วประเทศ และรับฟอกเงินให้เจ้าของเว็บพนันทั่วประเทศ ทุกเครือข่าย โดยมี  รองเลขาธิการ ปปง.รับผิดชอบด้านการเงิน มีนายพลทุกหน่วยงานสนับสนุนให้การดูแล ขอเรียกร้องข้าราชการสำนักงาน ปปง.ช่วยกันมาเก็บกวาดบ้านตัวเองเพื่อองค์กร ลุกขึ้นมาสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องสักที

'อารักษ์'แจ้งความกลับ'อัจฉริยะ'

นายอัจฉริยะกล่าวด้วยว่า  พล.ต.ต."อ." รองเลขาธิการ ปปง. ตนอยากถามว่า ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการสังกัด ปปง. แต่กลับรู้จักกับผู้ที่ทำเว็บพนันออนไลน์ คบค้าอยู่เป็นนิจ ถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ และขอเป็นเผยข้อมูลอีกหนึ่งนายตำรวจอีก 1 ท่านที่ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ในราชการ คือ พ.ต.อ."ด." เป็น ผกก.สอท. ตำรวจนายนี้มีความเชื่อมโยงและดูแลเว็บพนันทางภาคเหนืออยู่ด้วย

วันเดียวกัน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. เดินทางมายัง สน.พหลโยธิน เพื่อแจ้งความดําเนินคดีกลับนายนายอัจริยะ โดย พล.ต.ต.เอกรักษ์กล่าวว่า การที่คุณอัจฉริยะไปแจ้งความดําเนินคดีพร้อมกับพาดพิงตนเองและภรรยาที่กองปราบฯ นั้น ทําให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก   เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 65  ยอมรับว่าตนเป็นคนแนะนําให้บุคคล 2 คนในภาพที่อัจฉริยะเผยต่อสื่อจริง ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นเอฟซีคุณชูวิทย์ ตนจึงแนะนําให้ 2 คนรู้จักกัน เพราะอีกคนรู้จักกับคุณชูวิทย์ ส่วนจะไปพูดคุยหรือไปโรงแรมคุณชูวิทย์หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ส่วนสารวัตรซัว ตนก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่หลายปีก่อนหน้านี้เคยมีคนพาคนชื่อซัวมาไหว้ แต่ไม่รู้ว่าคือซัวเดียวกันหรือไม่ เพราะไม่เคยติดต่อกันหลังจากนั้น

ส่วนภรรยาตนที่นายอัจฉริยะกล่าวหาว่ารับเงินจากเว็บพนันออนไลน์นั้น  พล.ต.ต.เอกรักษ์ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ภรรยาตนทําอาชีพเป็นเซลส์ขายไม้อัด ซึ่งเป็นอาชีพที่สุจริต ไม่เกี่ยวข้องการรับเงินดังกล่าวอย่างแน่นอน ในส่วนภาพที่ตนถ่ายรูปคู่กับชายคนหนึ่งร่างท้วม ที่คุณอัจฉริยะอ้างว่าเป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์นั้น ยอมรับว่ารู้จักเพราะเป็นลูกของเพื่อนที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.อ่างทอง และมาขอถ่ายรูปตอนตนไปเป็นอาจารย์สอนสถานศึกษาที่เขาเรียนอยู่ ก็เท่านั้น

"ผมไม่รู้จักคุณชูวิทย์เป็นการส่วนตัว  ไม่เคยไปที่โรงแรมเดวิสแม้แต่ครั้งเดียว หากคุณอัจฉริยะมีหลักฐานว่าผมอยู่จริง สามารถนําหลักฐานหรือกล้องวงจรปิดออกมาชี้แจงได้ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องการเคลีย์หน้าเสื่อให้กับเว็บพนันออนไลน์หรือพัวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย หากพบว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทําความผิดจริง ยินดีลาออกเพื่อรับผิดชอบทันที" พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าว

ทั้งนี้ พล.ต.ต.เอกรักษ์เผยว่า มาแจ้งความดําเนินคดีแค่คุณอัจฉริยะเพียงคนเดียว ส่วนทนายตั้มเอาไว้ทีหลัง ซึ่งข้อหาที่แจ้งในวันนี้คือ "หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และกฎหมาย PDPA" พร้อมกับเรียกร้องค่าเสียหายจํานวนเงิน 10 ล้านบาท เพื่อนําเงินไปทําบุญล้างซวย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประธาน กมธ.พัฒนาสังคมฯ ย้ำจุดยืนไม่ไปดูงาน ตปท.

'ครูหยุย' ย้ำจุดยืน กมธ.การพัฒนาสังคมฯ ไม่ไปดูงาน ตปท. ชี้หากใครไปต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ แนะกำหนดแนวทางให้ชัด เศรษฐกิจแย่ -แจกเงินหมื่น ไม่ให้ไปดูงานต่างประเทศ