เศรษฐกิจเอเชียสดใส ‘เอดีบี’ชี้ไทยโต3.3%

“เอดีบี” คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3.3% ปีหน้าดีดแรง 3.7% อานิสงส์ท่องเที่ยว-บริโภคภาคเอกชนฟื้นตัวช่วยหนุนเต็มสูบ พร้อมประเมินอัตราเงินเฟ้อทยอยลดตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ เคาะเหลือ 2.9% ส่วนปี 67 อยู่ที่ 2.3% ชี้เศรษฐกิจโลกชะลอปัจจัยเสี่ยงสำคัญ

เมื่อวันที่ 4 เมษายน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ได้คาดการณ์ว่าในปี 2566 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 3.3% และในปี 2567 ที่ 3.7% จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในปีนี้และปีหน้า ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถขยายตัวได้ตามที่คาด

ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะลดลงจากปี 2565 เนื่องจากแรงกดดันด้านอุปทานที่คาดว่าจะลดลงตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยในปี 2566 คาดว่าเงินเฟ้อของไทยจะขยายตัว 2.9% และในปี 2567 ที่ระดับ 2.3% โดยการเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ นับเป็นความท้าทายเชิงนโยบายของประเทศ เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมาก

นอกจากนี้ เอดีบียังได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิกในปีนี้จะขยายตัวที่ 4.8% และในปีหน้าที่ 4.2% เนื่องจากการผ่อนคลายข้อจำกัดอย่างต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดจะช่วยกระตุ้นการบริโภค การท่องเที่ยว และการลงทุน อีกทั้งการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งของจีน ซึ่งได้หันเหออกจากนโยบายปลอดโควิด เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แนวโน้มการเติบโตของภูมิภาคสดใสขึ้นเช่นกัน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของภูมิภาคนี้คาดว่าจะค่อยๆ ลดลงสู่ระดับก่อนการเกิดโรคระบาด แม้ว่าจะมีตัวแปรต่างๆ จากเศรษฐกิจทั่วทั้งภูมิภาคก็ตาม

สำหรับการบริโภคและการลงทุนที่ดีขึ้น กำลังช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายภูมิภาค และช่วยชดเชยผลกระทบของราคาอาหารและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย รวมถึงอุปสรรคอื่นๆ ทั่วโลกด้วยเช่นกัน การท่องเที่ยวและการส่งเงินกลับประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดของการแพร่ระบาดคลี่คลายลงไปอีก และจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับก่อนเกิดโรคระบาดในเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ การรุกรานยูเครนโดยรัสเซียที่ยืดเยื้อหรือทวีความรุนแรงขึ้น อาจกระตุ้นให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง และกระตุ้นให้เกิดการคุมเข้มทางการเงินต่อไป สภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น ผนวกกับการเพิ่มขึ้นของหนี้สินในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และระหว่างการแพร่ระบาดนั้น ทำให้ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น สะท้อนจากความปั่นป่วนในภาคการธนาคารล่าสุดในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งยังต้องเฝ้าติดตามความเสี่ยงต่างๆ อย่างรอบคอบ และควรมีการแก้ไขเชิงรุกก่อนเกิดปัญหาขึ้น

 “แนวโน้มเศรษฐกิจในเอเชียและแปซิฟิกสดใสขึ้น และพร้อมสำหรับการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งเมื่อพวกเรากลับคืนสู่ภาวะปกติหลังการแพร่ระบาด ผู้คนเริ่มเดินทางอีกครั้งเพื่อพักผ่อนและทำงาน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่เนื่องจากยังคงมีความท้าทายอยู่อีกในหลายด้าน รัฐบาลในภูมิภาคจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับนโยบายที่สนับสนุนความร่วมมือและการบูรณาการที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน ประสิทธิภาพในการผลิต และการปรับตัว” นายอัลเบิร์ต พาร์ค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอดีบีกล่าว

นอกจากนี้ เอดีบียังประเมินอีกว่าเศรษฐกิจในคอเคซัสและเอเชียกลางยังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเศรษฐกิจอนุภูมิภาคจะขยายตัวอยู่ที่ 4.4% ในปีนี้ และ 4.6% ในปี 2567 ส่วนแปซิฟิก การกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งอย่าง และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนุภูมิภาค โดยมีแนวโน้มขยายตัวไปถึง 3.3% ในปีนี้ ก่อนที่จะลดลงเหลืออยู่ที่ 2.8% ในปี 2567.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง