สว.ยังตั้งแง่โหวตนายกฯ

จับตา!  สภาสูงคุยนอกรอบเลือกนายกฯ 23 พ.ค.นี้ "มณเฑียร" ไล่พรรคขั้วตั้งรัฐบาลไปรวมเสียงให้ได้ 376 ดีกว่า อย่ามาเสี่ยงหวังเสียง ส.ว. เพราะน่าหวาดเสียว! ย้อนตอนแก้ กม.ตัดอำนาจ ส.ว. เห็นสามัคคีกันดี แต่เปิดทางก้าวไกลส่งตัวแทนมาคุยก่อนโหวตเลือก "พิธา" สะพัดวุฒิสภาขอความชัดเจนเรื่องแก้ ม.112  "สังศิต"  ชัดเจนไม่เอารัฐบาลที่ให้ประเทศมหาอำนาจเข้ามาตั้งฐานทัพในไทย

นายมณเฑียร บุญตัน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ว่า  วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปจากเดิม โดยก่อนหน้านี้เคยเป็น ส.ว.คนหนึ่งที่ร่วมลงมติเห็นชอบด้วยกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา 272 ที่พรรคการเมืองในสมัยที่แล้วเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ให้ตัดอำนาจปิดสวิตช์ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยตนโหวตเห็นด้วยกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวถึง 3 ครั้งในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่เสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกรัฐสภาไม่เห็นชอบด้วย  ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำไม่สำเร็จ   ทำให้ก่อนหน้านี้ตอนก่อนวันเลือกตั้งก็ได้เคยบอกไว้ว่า หลังเลือกตั้งเมื่อจะมีการโหวตเลือกนายกฯ จะขอใช้สิทธิ์งดออกเสียงในการโหวตเลือกนายกฯ แต่หลังเลือกตั้งเสร็จ ยอมรับว่าวันนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปจากเดิม เช่นมีหลายคนตั้งคำถามว่า การที่จะปิดสวิตช์ตัวเอง หมายถึงการไม่เห็นด้วยกับชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่เสียงข้างมากเสนอมาใช่หรือไม่ เพราะการงดออกเสียงก็หมายถึงการไม่เห็นด้วยกับชื่อที่เสนอมา   ซึ่งมันไม่ใช่ จุดประสงค์ของการปิดสวิตช์ เพราะการปิดสวิตช์คือการไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมการเลือกนายกฯ

เขากล่าวว่า แต่เมื่อภารกิจการเลือกนายกฯ ยังอยู่ การที่เคยบอกไว้ว่าจะขอปิดสวิตช์ตัวเอง ดูแล้วคงอาจนำมาใช้ไม่ได้ในสถานการณ์ตอนนี้ ทำให้ตนก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร คือหากจะให้บอกว่าจะงดออกเสียงตอนนี้  แต่ก็ปรากฏว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชัดว่าคนที่จะถูกเสนอชื่อที่มาจากเสียงข้างมากของสภาคือใคร ยังฟันธงไม่ได้ เพราะเหลือเวลาอีกเดือนกว่า แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ก่อนเลือกตั้งมีแต่คนบอกว่าอยากให้ ส.ว.ปิดสวิตช์ตัวเอง แต่มาวันนี้กลับมีแต่คนบอกว่าไม่อยากให้  ส.ว.ปิดสวิตช์ตัวเอง ไม่มีใครพูดถึงคำนี้เลย เราก็เลยไม่แน่ใจว่าตกลงจะให้ ส.ว.ปิดสวิตช์ตัวเองไหม ส.ว.หลายคนก็บอกกันว่าตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ จะให้โหวตหรือจะให้ปิดสวิตช์ บางคนก็บอกว่าขอดูนโยบายของฝ่ายที่ได้เสียงข้างมากก่อน

นายมณเฑียรกล่าวว่า หากชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่เสนอมาคือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเขารวมเสียงข้างมากในสภาได้จริงหรือไม่ ตอนนี้มันยังไม่มีหลักฐานปรากฏ เขาก็เคลมของเขา มองว่าตั้งแต่วันนี้จนถึงวันโหวต มันยังอาจมีอะไรเกิดขึ้นอีกเยอะ เรายังไม่รู้ มันอาจมีอะไรเกิดขึ้น แต่หากเขารวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง ก็ต้องมาพิจารณาอีกครั้ง เพราะ ส.ว.มีเอกสิทธิ์ส่วนตัว ส.ว.ไม่มีระบบพรรค ส่วนที่บอกว่า ส.ว.ชุดนี้มาจาก คสช. แต่ว่าตอนนี้ คสช.มันไม่มีแล้ว ไม่มีใครมาส่งสัญญาณอะไร ส.ว.ตอนนี้บอกเลยว่า ก็ตัวใครตัวมันแล้ว ไม่มีใครมาสั่งการอะไรได้

 นายมณเฑียรกล่าวว่า ความเห็นของตนคือ ทางที่ดีที่สุดทาง ส.ส.ไปคุยกันให้ดีๆ ในฝ่าย ส.ส.ด้วยกันเอง อย่ามาหวังพึ่งคะแนนจาก ส.ว. เพราะไม่รู้ว่าหวังพึ่งไปจะได้กี่คะแนนก็ไม่รู้ เพราะตอนพรรคการเมืองเสนอร่างแก้ไข รธน.ตัดอำนาจ ส.ว.แก้ไข 272 ตอนนั้นก็เห็นพวก ส.ส. จากพรรคการเมืองสามัคคีกันดี ลงมติสนับสนุนร่างแก้ไขมาตรา 272 แล้วตอนนี้ความสามัคคีตรงนั้นมันหายไปไหน

  "ผมว่าถ้าไปคุยกันให้ดีๆ ระหว่างส.ส.ด้วยกันเอง มันแน่นอนกว่า อย่ามาหวังความไม่แน่นอนจาก ส.ว. ถ้าเป็นผม ผมหวาดเสียวเลย เพราะมันไม่มีใครไปสั่งใคร หรือไปโน้มน้าวอะไรได้ ส่วนจะมี ส.ว.งดออกเสียงกันเยอะหรือไม่ คงตอบไม่ได้ ยืนยันไม่มีใครมาคุยอะไรกับผม"

 เมื่อถามถึงกรณีวุฒิสภานัดประชุมสมัยวิสามัญนัดพิเศษ วันอังคารที่ 23 พ.ค. ที่จะมีวาระสำคัญเรื่องการเห็นชอบบุคคลให้ไปทำหน้าที่ในองค์กรอิสระหลายแห่งนั้น ซึ่งจะมี ส.ว.กว่า 200 คนมาที่รัฐสภา จะมีการพูดคุยกันนอกรอบตามวงต่างๆ เพื่อหารือเรื่องการโหวตนายกฯ หรือไม่ นายมณเฑียรกล่าวว่า ก็คงมีการพูดคุยกันระหว่างเพื่อนฝูง แต่สำหรับตนไม่มีวาระแบบนั้น ส่วนที่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล บอกว่าอาจจะส่งตัวแทนมาคุยกับ ส.ว.ก่อนการโหวตเลือกนายกฯ นั้น ตนคงตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่สำหรับตนไม่มีปัญหา ประชาธิปไตยก็คือทุกคนต้องคุยกันได้ แต่ไม่ได้หมายถึงจะมาพูดคุยเพื่อจะมาฮั้ว มาล็อบบี้  แต่ต้องเป็นการพูดคุยเพื่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนความเห็นกัน แบบนี้คุยกันได้ไม่มีปัญหา คงไม่มีการปิดประตู

 ด้านแหล่งข่าวจากสมาชิกวุฒิสภาเผยว่า การประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญ นัดพิเศษ วันอังคารที่ 23 พ.ค. ที่จะมี ส.ว.มาร่วมประชุมกันจำนวนมากเพื่อโหวตเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบบุคคลไปทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน คาดว่า ส.ว.เมื่อเจอกันแล้วก็คงมีการพูดคุยกันนอกรอบเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลของฝ่ายสภา และการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ แต่คงเป็นการพูดคุยกันแบบวงหารือกันเองตามวงต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นข้อมูลกัน เพราะเรื่องนี้ไม่สามารถนำไปคุยในวิปวุฒิสภาอะไรได้ เพราะเป็นการโหวตของสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นอิสระ ไม่เกี่ยวอะไรกับวิปวุฒิสภา โดย ส.ว.หลายคนยอมรับว่าต้องรอดูหน้างานวันโหวตนายกรัฐมนตรีว่าเป็นอย่างไร เช่น จะมีแคนดิเดตนายกฯ เสนอชื่อมากี่คน ฝ่ายพรรคการเมืองขั้วรัฐบาลจะเสนอชื่อใครแข่งมาหรือไม่ รวมถึงคงดูว่าจนถึงวันโหวตเลือกนายกฯ ทางพรรคก้าวไกลมีความชัดเจนเรื่องนโยบายแก้ 112 อย่างไรบ้าง เพื่อประกอบการตัดสินใจของ ส.ว.แต่ละคน

 นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า การออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีจะพิจารณาจากผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก โดยต้องการดูท่าทีและนโยบายของหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่จะเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในสองประเด็นคือ 1. มีความเห็นต่ออธิปไตยไทยอย่างไร 2.มีความเห็นต่อความสงบสุขของคนในประเทศอย่างไร

“ผมยินดีสนับสนุนรัฐบาลที่ไม่ให้ประเทศมหาอำนาจเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย เพราะมีบางพรรคการเมืองที่กำลังจะจัดตั้งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนแนวทางนี้ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐมีความพยายามเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย และก่อนการเลือกตั้งมีการเสนอให้สภาผู้แทนสหรัฐเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทย รวมทั้งมีการล็อบบี้จากชาติสมาชิกนาโตในการจัดตั้งรัฐบาลของไทย” นายสังศิตกล่าว

นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ ส.ว. ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภา ตามพรรคการเมืองที่มี ส.ส.มากที่สุดว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานจากทีมงานพรรคก้าวไกลเพื่อพูดคุยถึงการลงมติเลือกนายพิธา แต่สิ่งที่ตนแสดงจุดยืนนั้นเป็นมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง อีกทั้งตลอดช่วงการทำงานตนรับราชการเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ คำนึงถึงหลักการที่ถูกต้อง และคำนึงถึงบ้านเมือง ซึ่งเป็นตามหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา 

 “ผมไม่เลือกข้างไม่เลือกขั้ว หากใครได้เสียงเกินครึ่ง ถือเป็นความชอบธรรม ตามหลักการประชาธิปไตย ผมไม่ได้เลือกว่าต้องเป็นคุณพิธาเท่านั้น หากใครได้เสียงข้างมาก เสนอนาย ก. นาย ข. นาย ค. ผมต้องสนับสนุน” นายวุฒิพันธุ์กล่าว

นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "จุดยืนไม่เปลี่ยน…ขอทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าสิ่งที่โซเชียลเอาไปปะติดปะต่อ จับแพะชนแกะ เหมือนกับผมพูดให้ก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านนั้น แล้วก็เอาคำพูดบางตอนมาตัดต่อขยายความกันไปสารพัด พูดมันส์ปากกันไปเรื่อยเปื่อย ขอยืนยันว่าไม่ใช่ความจริง เพราะกว่าจะมาถึงข้อความนั้นมันเป็นคำอธิบายว่า ถ้าโหวตแล้วพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล ก็เป็นไปตามที่เสียงส่วนใหญ่โหวตให้ แต่ถ้าโหวตแล้วไม่ผ่าน ไม่ได้เป็น ก็ต้องให้คนอื่นเขาจัดตั้งรัฐบาลต่อไป พรรคก้าวไกลก็ไปเป็นฝ่ายค้าน เป็นไปตามครรลองของรัฐธรรมนูญตามหลักการปกติ เป็นคำอธิบายในหลักการทั่วๆ ไป ไม่ได้ไล่ให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ใส่สีตีไข่ไปกันใหญ่ แล้วการตัดต่อเสียงก็ไม่ได้ตัดมาให้ครบถ้วนมาตั้งแต่ต้น คนก็ไปฟังบางส่วนบางตอนเลยเข้าใจผิดกันไปใหญ่

โดยส่วนตัวของผมยืนยันว่า 1.ใครรวมเสียง ส.ส.ได้ข้างมากก็โหวตให้คนนั้น 2.เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยและตามความต้องการของเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน 3.เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จุดยืนนี้ไม่เปลี่ยนแปลงครับ…จบแล้ว…ต่อแต่นี้ขอนั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนาเพื่อความสงบร่มเย็น ณ วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน… มากราบหลวงพ่อสัมฤทธิ์ประสิทธิโชคกันนะครับ สาธุ…”.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง