เริ่มจัดแถวกองทัพ! เศรษฐานำ‘สุทิน’ถกว่าที่ผบ./ทาบ‘บิ๊กแป๊ะ’นั่งผู้ช่วยรมต.

"เศรษฐา" ควง "บิ๊กทิน"   กินข้าวเที่ยงกับว่าที่ ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ ขอให้ทหารช่วยพัฒนาประเทศ-เป็น "แบ็กอัป" จับมือไปด้วยกัน แย้มไม่ตัดงบซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ขอให้ใช้ระบบ "บาร์เตอร์" แลกเปลี่ยนสินค้า "สุทิน" เผยบรรยากาศเป็นไปด้วยดี เห็นตรงกันปรับลดขนาดกองทัพ-ลดเกณฑ์ทหาร-ยกเครื่องงาน ปชส. "บิ๊กแป๊ะ" รับถูกทาบเป็น ผช.รมต.กลาโหม พร้อมหนุนนโยบายรัฐบาล พท.จ่อคัดเลือก  สส.สอบตกร่วมทีมงาน รมต. "รมว.ยุติธรรม" เผยงานเร่งด่วนปราบยาเสพติด ย้ำไม่ก้าวล่วงศาลเรื่องประกันตัวผู้ต้องขังคดี ม.112

เมื่อวันอาทิตย์ นายเศรษฐา ทวีสิน   นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ได้นำ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม และ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ ร่วมพบปะรับประทานอาหารกลางวันกับผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่ ได้แก่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รองผู้บัญชาการทหารบก ว่าที่ผู้บัญชาการทหารบก, พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ ส่วน พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ  ติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ โดยการพบปะกันครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ที่โรงแรมโรสวูด ย่านเพลินจิต กทม.

มีรายงานว่า การพบปะครั้งนี้เพื่อทำความรู้จักกัน โดยนายเศรษฐาได้ขอให้ทหารมาร่วมกันพัฒนาประเทศ และขอให้ทหารช่วยเป็นแบ็กอัป อยากให้จับมือไปด้วยกัน เพราะประเทศเป็นของพวกเราทุกคน ซึ่งการพบปะครั้งนี้ยังไม่มีการพูดคุยลงลึกในรายละเอียดแผนงานของกองทัพ เพราะยังไม่ถึงเวลา พร้อมกันนี้นายเศรษฐาได้ให้นายสุทิน ในฐานะ รมว.กลาโหม ไปทำการบ้านงานในตำแหน่งมา ซึ่งนายสุทินก็รับฟังและร่วมแลกเปลี่ยนกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ได้เคยมีการพูดคุยกันในเรื่องการทำงานระหว่างรัฐบาลและกองทัพมาบ้าง โดยนายเศรษฐามีนโยบายพร้อมจะทำงานกับกองทัพในฐานะรัฐบาลพลเรือน ที่พร้อมรับฟังคำแนะนำต่างๆ อีกทั้งในเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ รัฐบาลพร้อมสนับสนุน จะไม่ตัดงบประมาณดังกล่าวหากมีความจำเป็น เพราะเข้าใจดีว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะปกป้องประเทศ โดยเฉพาะตามแนวชายแดนต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน และหากมีการเจรจาในเรื่องนี้ จะขอให้ทางกองทัพนำเสนอสินค้าภายในประเทศไทยที่มีเพื่อแลกเปลี่ยน หรือไปจำหน่ายกับประเทศนั้นๆ ในลักษณะการแลกเปลี่ยน หรือบาร์เตอร์ (barter) ระหว่างกัน ซึ่งก็จะทำให้สินค้าที่เรามีอยู่สามารถมีช่องทางเพิ่มในทางการตลาดกับต่างประเทศได้อีกทางหนึ่ง

ด้านนายสุทิน คลังแสง ให้สัมภาษณ์ถึงการพูดคุยกับว่าที่ ผบ.เหล่าทัพว่า ไปพูดคุยถึงสถานการณ์ของประเทศ สอบถามปัญหาและแลกเปลี่ยนความต้องการของแต่ละฝ่าย ซึ่งทางฝ่ายการเมืองระบุว่าอยากผลักดันนโยบายเปลี่ยนการเกณฑ์ทหารเป็นรูปแบบสมัครใจ รวมถึงสอบถามความต้องการของกองทัพว่ามีความต้องการอยากให้รัฐบาลสนับสนุนเรื่องใดบ้าง และมีความกังวลหรืออุปสรรคอะไรเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งทางกองทัพมีความเห็นไปทิศทางเดียวกับรัฐบาล ไม่ขัดข้องอะไร และยินดีปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล

เมื่อถามว่า สิ่งที่กล่าวมาจะเห็นผลเป็นรูปธรรมได้เมื่อไหร่ นายสุทินกล่าวว่า จะเห็นผลเป็นรูปธรรมในทันที ยกตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนระบบการเกณฑ์ทหารเป็นรูปแบบสมัครใจ ในเดือนเม.ย.2567 ที่จะมีการเกณฑ์ทหารอีกครั้ง จะเห็นอัตราเกณฑ์ทหารที่ลดลงจากเดิมอย่างแน่นอน และจะค่อยๆ หมดไปจนเหลือเพียงการเข้ากองทัพแบบสมัครใจ รวมถึงการปรับลดขนาดกองทัพ ที่สังคมมองว่ากองทัพมีนายพลมากเกินไป เท่าที่พูดคุยกองทัพเขามีแผนปรับลดในส่วนนี้ภายในปี 70 หรือในรัฐบาลนี้กองทัพจะกระชับลง นายพล จะหายไปจำนวนมาก แต่ยังไม่ได้ประชาสัมพันธ์ เท่าที่ได้พูดคุยกันเมื่อนายกฯ ได้ฟังความเห็นของกองทัพแล้วก็มีความสบายใจ

'บิ๊กทิน' เผยบรรยากาศชื่นมื่น

เมื่อถามว่า หนักใจหรือไม่กับการคุมกองทัพ นายสุทินกล่าวว่า เดิมหนักใจ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้สบายใจขึ้นมาก เพราะการทำงานกับคนมีวินัยเขาพูดง่าย เท่าที่ได้พูดคุยกับ ผบ.เหล่าทัพ เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดใหม่ๆ ส่วนนโยบายที่จะเอาทหารออกมาเพิ่มบทบาทพัฒนาเป็นที่พึ่งประชาชนเขาก็ตอบรับว่าเป็นภารกิจของกองทัพอยู่แล้ว และเรื่องปราบยาเสพติด ทหารเขาเคยรับบทบาทนี้มาโดยตลอด เขาก็ยินดีสนองนโยบายรัฐบาล โดยทั่วไปถือว่าเป็นบรรยากาศที่ดี ทำให้มั่นใจว่ากองทัพจะมีบทบาทออกมาช่วยแก้ปัญหาประเทศร่วมกับรัฐบาล สิ่งที่เห็นตรงกันคือกองทัพต้องมีการยกเครื่องงานประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมากองทัพทำเรื่องที่เป็นประโยชน์จำนวนมาก แต่สังคมรับรู้อีกอย่าง ทำให้สังคมมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อกองทัพ

นายสุทินกล่าวด้วยว่า หลังจากพูดคุยกับว่าที่ ผบ.เหล่าทัพแล้ว หลังจากนี้จะไปพบ พล.อ.อ.สุกําพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม รวมถึง พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต รมว.กลาโหม และกำลังประสานเข้าพบ พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รวมถึงจะพบนักวิชาการด้านความมั่นคง อาทิ นายสุรชาติ บำรุงสุข นายปราโมทย์ นาครทรรพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นแง่มุมต่างๆ ด้านความมั่นคงต่อไป

มีรายงานด้วยว่า ตำแหน่งเลขานุการ รมว.กลาโหม ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งตามรายงาน หนึ่งในนั้นมีชื่อของ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมด้วย

ด้าน พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ได้เชิญตนไปพูดคุยแล้ว โดยแจ้งให้ตนทราบว่าจะให้มาช่วยงานที่กระทรวงกลาโหม โดยให้มาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และได้มอบหมายงานในบางส่วนให้แล้ว ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาล อาทิ การปรับวิธีการคัดเลือกทหารกองเกิน, การปรับโครงสร้างกองทัพ, การทำหน่วยทหารให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงมากขึ้น โดยหน่วยทหารใดที่มีโรงพยาบาลทหาร ก็ให้เปิดรับรักษาประชาชนเพิ่มมากขึ้น, การใช้พื้นที่ของทางราชการทหารให้เป็นประโยชน์ทางด้านการเกษตรเพิ่มมากขึ้น และการทำกองทัพให้ทันสมัย เป็นต้น ทั้งนี้ ตนเตรียมที่จะยื่นหนังลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทย (พท.) ว่า นายเศรษฐาได้นัดรัฐมนตรีของพรรค พท.ทั้ง 17 คน มาร่วมทานข้าวเที่ยงที่พรรค พท. วันที่ 4 ก.ย. เพื่อพบปะพูดคุยเตรียมความพร้อมสำหรับการทำหน้าที่และเป็นการแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน ถือเป็นการเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาครั้งแรกหลังได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรี 

  สำหรับการเข้าถวายสัตย์ฯ ทางรัฐมนตรีได้รับการประสานจากสำนักเลขาธิการนายกฯ ให้เข้าไปเตรียมความพร้อมที่ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่เวลา 10.30 น. วันที่ 5 ก.ย. เพราะมีการเปลี่ยนเวลาเข้าถวายสัตย์ฯ จากเวลา 17.00 น. เป็นเวลา 14.00 น.

พท.เคาะตำแหน่งเทกระโถน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีแล้ว ทางพรรค พท.ได้เร่งจัดทำรายชื่อข้าราชการทางการเมืองเพื่อเข้าไปช่วยงานรัฐมนตรีของ พท.ทั้งหมด อาทิ รองเลขาธิการนายกฯ เลขานุการรัฐมนตรี และผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี โดยพรรคให้ความสำคัญกับผู้ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองทำงานกับพรรคมาเป็นเวลานาน เช่นบรรดาอดีต สส.หรือคนที่อยู่ในส่วนกลางของพรรค ให้เข้าไปทำหน้าที่ดังกล่าว โดยรายชื่อที่มีการวางตัวไว้ อาทิ นายสมคิด เชื้อคง อดีต สส.อุบลราชธานี, นายคุณากร ปรีชาชนะชัย อดีต สส.สุรินทร์, นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต สส.กทม., นางสุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา อดีต สส.กทม., นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค พท.

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงนโยบายในการจะเข้าไปบริหารงานกระทรวงหลังจากเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า ที่เป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขภายใน 3 เดือนถึง 1 ปี คือปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด ซึ่งกระทรวงยุติธรรมก็ดูแลรับผิดชอบ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยที่ผ่านมาคนอยากให้มีการแก้ไขปัญหายาเสพติดกันมาก เพราะยาเสพติดแพร่ระบาดเข้าไปจะเกือบทุกหมู่บ้าน ก็ถือเป็นงานท้าทาย หากกระทรวงยุติธรรมให้ความยุติธรรมกับประชาชนไม่ได้ กระทรวงยุติธรรมก็ไม่ควรจะมี

เมื่อถามถึงกรณีบุคคลที่ถูกกล่าวหาสอบสวนว่ากระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมถึงคนที่ถูกเอาผิดในคดีเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่อยู่ในเรือนจำ ที่อาจยังไม่ได้รับการประกันตัว จะเป็นอย่างไร รมว.ยุติธรรมกล่าวว่า พรรคการเมืองที่มาร่วมตั้งรัฐบาลครั้งนี้ยืนยันว่าไม่เอาด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 แต่ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอะไร การใช้ต้องให้มีความยุติธรรม ที่เป็นเรื่องของหลักพื้นฐาน ซึ่งการแก้ไขกฎหมายเป็นเรื่องของสภา  สำหรับกระบวนการต่างๆ เช่น การที่คนจะไปแจ้งความดำเนินคดีอะไรต่างๆ เพื่อกล่าวหากัน ควรมีหลักประกันให้กับประชาชน ทั้งนี้ ต้องมีการปรับปรุงทุกกฎหมายอยู่แล้ว เชื่อว่าการใช้มาตรา 112 เพื่อจะไปปิดปากใครหรืออะไรมันไม่น่าจะมีอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรที่จะต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย

ถามต่อว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่ม สส.พรรคก้าวไกลก็ร่วมกันแถลงข่าว อยากให้ รมว.ยุติธรรมดูแลผู้ถูกดำเนินคดี 112 ที่ไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวให้ได้รับการปล่อยตัว พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า หากคดีอยู่ในชั้นตำรวจ ก็ต้องไปทำเรื่องที่ศาล หากว่าเขาไม่หนี คือการคุมนักโทษ รัฐธรรมนูญบอกว่าเพื่อป้องกันการหนี ซึ่งเรื่องนี้บางส่วนอยู่ที่อำนาจศาล เราอาจเข้าไปดูรายละเอียด แต่เราคงไม่เข้าไปแทรกแซงกระบวนการ แต่หากเขาเข้ามาอยู่ในเรือนจำ จะต้องไม่มีการไปบีบคั้นอะไร ส่วนการควบคุมนักโทษในเรือนจำ โดยปกติจะมีกฎเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์อยู่แล้ว ก็ต้องเข้าไปดู แต่จะไม่เข้าไปยุ่งอะไร

ปชป.-ก.ก.หารือถกนโยบาย

รมว.ยุติธรรมกล่าวถึงการเตรียมพิจารณาสรรหาเสนอตั้งบุคคลมาเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนใหม่ที่จะมาแทนนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ ที่จะเกษียณวันที่ 30 ก.ย.นี้ว่า ยังไม่ได้คิดว่าใครจะไปอยู่ตำแหน่งไหน แต่อย่างน้อยต้องเป็นคนที่เข้าใจงาน และต้องผ่านงานราชทัณฑ์มา ไม่อยากเอาคนที่อื่นไปครอบเขา เพื่อที่คนในจะได้โตในจุดนั้น ส่วนการดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เรื่องการปราบปรามอาชญากรรม การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน จะต้องถูกกวาดล้าง หลังจากนี้ก็จะเข้าไปดู ที่สำคัญดีเอสไอต้องไม่ไปกลั่นแกล้งคน เพราะเรื่องคดี ข้อเท็จจริงจะเกิดจากพยานหลักฐาน เพราะการเกิดขึ้นของดีเอสไอ ก็เพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชนในคดีพิเศษต่างๆ

นายประมวล พงศ์ถาวราเดช สส.ประจวบคีรีขันธ์ และประธาน สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการอภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาในวันที่ 11 ก.ย.นี้ว่า พรรค ปชป.จะมีการประชุม สส.ในวันที่ 5 ก.ย.นี้ เวลา 14.30 น. ที่พรรค ปชป. โดยต้องดูคำแถลงของนโยบายรัฐบาลก่อน เพื่อเราจะได้พิจารณาเรื่องการอภิปราย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาปากท้องของประชาชน ไม่ว่าค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าครองชีพ รวมถึงเรื่องประมง ซึ่งในการประชุมวันดังกล่าว เราจะมีการแบ่งหมวดหมู่และเตรียมผู้อภิปรายด้วย ต้องรอดูว่าจะมีการแบ่งสัดส่วนการอภิปรายอย่างไร เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าประธานรัฐสภาจะจัดสรรเวลามาให้อย่างไร

เมื่อถามว่า จะประสานงานกับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) หรือพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นด้วยหรือไม่ นายประมวลกล่าวว่า คงต้องรอให้ประธานรัฐสภาเชิญแต่ละพรรคร่วมประชุมว่าจะจัดสรรเวลาอย่างไร และต้องเห็นตรงกันระหว่างวิปก่อนว่าจะดำเนินการกันอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรค ปชป.จะประสานข้อมูลกับพรรค ก.ก.หรือไม่ นายประมวลกล่าวว่า ตอนนี้ยัง เพราะเราต้องคุยกันในพรรคเราก่อน แล้วจึงจะประสานกับพรรคร่วมฝ่ายค้านว่าจะเดินกันอย่างไร จะแบ่งสรรกันอย่างไร เพราะเวลาประชุมกับประธานรัฐสภาต้องแบ่งเวลาให้ฝ่ายค้าน ซึ่งเราต้องประสานกันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประธานรัฐสภายังไม่ได้นัดประชุมวิป 3 ฝ่าย แต่คาดว่าจะเป็นวันที่ 7 ก.ย.นี้ ตามที่ปรากฏเป็นข่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สุทิน' มั่นใจ หุ้นเมีย ไม่ใช่จุดตาย เหตุต่างจากคนอื่นในอดีต ไม่มองถูกถูกเลื่อยขาเก้าอี้

รมว.กลาโหม มั่นใจ หุ้นเมีย ไม่ใช่จุดตาย เหตุต่างจากคนอื่นในอดีต ไม่มองถูกถูกเลื่อยขาเก้าอี้ แค่บังเอิญถูกร้องช่วงนี้ ระบุแล้วแต่จะมองนายกฯ ถูกวางยาหรือไม่ปมตั้ง'พิชิต'