ปล่อย‘เทพไท-มาโนช’ติดEM8เดือน

เรือนจำนครปล่อยตัว "เทพไท-มาโนช เสนพงศ์" หลังติดคุก 16 เดือน ครบเกณฑ์ถูกจำคุก 2 ใน 3 อนุญาตให้พักโทษสวมกำไล EM 8 เดือน สองพี่น้องวิ่งจากเรือนจำถึงบ้านพักระยะทาง 10 กม. นัดแถลงทิศทางการเมือง 7 พ.ย. "วัชระ" ยันเราปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการไม่มีอภิสิทธิ์ คปท.นัดบุกทำเนียบฯ อีกครั้ง จี้ส่ง "น.ช.ทักษิณ" กลับเรือนจำ "จตุพร" ย้ำเขาคืนดีกันนานแล้ว ยกภาพ "ตระกูลชิน" ยิ้มระรื่นไหว้ "ประยุทธ์" สะท้อนชัด ปชช.ถูกหลอก

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 พฤศจิกายน ที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชได้มีการปล่อยตัวนายเทพไท เสนพงศ์ และนายมาโนช เสนพงศ์ สองพี่น้องตระกูลนักการเมืองชื่อดังของ จ.นครศรีธรรมราช หลังถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี และตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี มาตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. 2565 โดยนายเทพไทและนายมาโนชถูกจำคุกในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราชมาแล้ว 16 เดือน ครบเกณฑ์ถูกจำคุก 2 ใน 3 กรมราชทัณฑ์จึงอนุญาตให้พักโทษได้ โดยต้องสวมกำไล EM เป็นเวลา 8 เดือน

โดยก่อนเรือนจำปล่อยตัว มีการเบิกตัวนายเทพไท ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงขาสามส่วนสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบสีเขียว ส่วนนายมาโนชแต่งกายในชุดที่เหมือนกัน ที่น่าสังเกตคือทั้งสองมีร่างกายค่อนข้างซูบผอม แต่ยังมีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม

จากนั้นเจ้าหน้าที่เรือนจำได้ส่งตัวทั้งคู่ไปยังสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดนครศรีธรรมราชตามขั้นตอน และติดกำไล EM ก่อนจะมีการปล่อยตัวทั้งสองคนออกจากเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช

โดยนาทีที่นายเทพไทและนายมาโนชเดินก้าวเท้าออกจากประตูเรือนจำ มีญาติพี่น้องและแฟนคลับจำนวนมากโผเข้ากอดด้วยความดีใจ

ทั้งนี้ หลังจากทั้งนายเทพไทและนายมาโนชออกจากเรือนจำแล้ว ได้ทำการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หน้าเรือนจำ เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่ทั้งสองจะออกวิ่งเพื่อแก้บน โดยวิ่งจากเรือนจำเลี้ยวซ้ายขึ้นถนนสายร่อนพิบูลย์- นครศรีธรรมราช มุ่งหน้าบ้านพักในพื้นที่ อ.พระพรหม ใกล้สี่แยกหัวถนน ศาลามีชัย รวมระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร

เมื่อนายเทพไทและนายมาโนช รวมทั้งแฟนคลับวิ่งถึงบ้านพักในพื้นที่ อ.พระพรหม เวลาประมาณ 13.50 น. ก็มีบรรดาแม่ยกและแฟนคลับจำนวนมากมาร่วมต้อนรับกันอย่างคึกคัก มอบดอกไม้และสวมกอดทั้งนายเทพไทและนายมาโนช ก่อนจะรับประทานอาหารร่วมกัน 

โดยนายเทพไทกล่าวเปิดใจครั้งแรกหลังออกจากคุกว่า ขอบคุณกรมราชทัณฑ์ที่ให้พักโทษในวันนี้ รู้สึกดีใจที่ได้รับอิสรภาพ ขอขอบคุณผู้บัญชาการเรือนจำที่ดูแลอย่างดีตามอัตภาพ ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ทุกประการ และขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทั้ง 2 คน คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พร้อมขอบคุณคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ที่มาเยี่ยมบ่อย ๆ รวมถึงอดีตหัวหน้าพรรค คือ นายชวน หลีกภัย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นายเทพไทกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 7 พ.ย.จะเปิดแถลงข่าวถึงทิศทางการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ว่าจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป วันนี้ถือโอกาสขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาให้กำลังใจและติดตามความเคลื่อนไหว

ด้านนายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้ได้มารับนายเทพไทและนายมาโนช ซึ่งเป็นเพื่อนรามคำแหงด้วยกัน เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชได้พักโทษและปล่อยตัวในเวลา 10.30 น. มีนักโทษได้รับการพักโทษในวันนี้รวมกันทั้งสิ้น 6 คน จากนั้นได้นั่งรถเรือนจำไปที่สำนักงานคุมประพฤติจังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เจ้าหน้าที่ติดกำไลอีเอ็มและอธิบายการทำงานของเครื่องนี้ ซึ่งจัดซื้อสมัยนายสมศักดิ์ เทพสุทินเป็น รมว.ยุติธรรม เจ้าหน้าที่คุมประพฤติชี้แจงกรณีนายเทพไทว่า ต้องไปรายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพฯ ที่ 11 ภายในวันพุธที่ 8 พฤศจิกายนนี้

"มาร่วมต้อนรับนายเทพไทและนายมาโนชในฐานะลูกพ่อขุนด้วยกัน และนายเทพไทเป็นอดีตโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เราปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ผมเป็นลูกพ่อขุน ไม่ทอดทิ้งกัน" นายวัชระ  กล่าว

สำหรับคดีประวัติศาสตร์คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2565 ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ 174/2562 หมายเลขแดงที่ 485/2563 มีนายพิชัย บุณยเกียรติ อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช น้องชายนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ สส.นครศรีธรรมราช เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายมาโนช เสนพงศ์ อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช จำเลยที่ 1 และนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ พี่ชายนายมาโนช จำเลยที่ 2 คดีกระทำผิด พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ทุจริตเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช เมื่อปี 2557 ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี และตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ก่อนถูกคุมตัวไปจำคุกที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช

ด้านนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ซึ่งได้จัดกิจกรรมเยี่ยมนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่บริเวณฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลตำรวจเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า "อังคาร 7 พ.ย. 10 โมงไปทำเนียบ มีคำถาม 3 ข้อไปถาม 2 ท่าน คำถาม 2 ข้อถึง นายกฯ เศรษฐา 1.เมื่อไหร่จะสั่งการให้นำ น.ช.ทักษิณ กลับเรือนจำ 2.งบที่รักษา น.ช.ทักษิณ นอกเรือนจำนั้น  เท่าไหร่ ใครจ่าย เงินหลวงใช่ไหม ถาม รมต.ประจำสำนักนายกฯ 1.กรณีมีการห้ามออกอากาศรายการวิจารณ์ น.ช.ทักษิณ เป็นการแทรกแซงสื่อ จะจัดการอย่างไร อังคารที่ 7 พ.ย.พบกันทำเนียบรัฐบาล 10.00 น. ใส่ถุงเท้าหลากสีไปทำเนียบ"

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ถึงสถานการณ์ของร้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยว่า ความอยุติธรรมที่คนชั้นนำสุมหัวกันหลอกประชาชน เพื่อแลกประโยชน์อำนาจการเมือง นานวันเข้าจะยิ่งจุดไฟในอารมณ์ประชาชนจนระเบิดรุนแรงขึ้นสักวันหนึ่งในอนาคต ปรากฏการณ์ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ที่ทักษิณ ชินวัตร นอนรักษาตัว ไม่กลับเข้าคุกนั้น จะกลายเป็นของร้อนขึ้นมาตามลำดับ แม้ขณะนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรก็ตาม แต่ความอยุติธรรมเหมือนเข็มพิษทิ่มแทงแล้วกลายเป็นแผลบาดทะยักขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

 “กรณีชั้น 14 รอเวลาอารมณ์ของสังคมไทยระเบิดออกมา เพราะความไม่พอใจต่ออยุติธรรมที่ปรากฏขึ้นนั้น ย่อมอยู่ในใจคนหมดแล้ว ถึงที่สุดจะเอาไม่อยู่กับสถานการณ์นี้ และไม่มีใครจะชนะได้ตลอดแน่นอน”

นายจตุพรกล่าวว่า ในสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมานั้น ไม่ว่าอยู่ฝ่ายไหน ประชาชนล้วนถูกหลอกให้ไปเสียชีวิตทั้งสิ้น ส่วนผู้นำกลับได้ประโยชน์เต็มที่ ยิ่งมีภาพคนตระกูลชินวัตรในวันไปดูการแสดงโขน ซึ่งเป็นหลักฐานได้ชัดเจน และเชื่อว่าต่อไปจะมีอีกหลายรูปออกมา เป็นใบเสร็จตบหน้ากลุ่มอำนาจหลอกลวงประชาชน

 “ในภาพดังกล่าวนั้น ต่างฝ่ายต่างรับไหว้กันและกัน พร้อมส่งรอยยิ้มไม่เหลืออาการเคยบาดหมาง เจ็บแค้นทางการเมืองกันมาก่อนเลย ดังนั้นภาพเช่นนี้ย่อมสะท้อนถึงเหตุการณ์เสียง สว. 152 เสียงลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ ได้อย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการเจรจาตกลงสมยอมกันมาก่อนแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ภาพในงานดูโขนนั้นยังแสดงถึงการหลอกประชาชน และลืมคำพูดในช่วงหาเสียงที่จะต่อสู้กับเผด็จการ แต่ภาพนี้กลับผูกมัดได้ชัดเจนว่า กลุ่มอำนาจคืนดีกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างแลกประโยชน์ลงตัวซึ่งกันและกัน ส่วนประชาชนที่ถูกหลอกออกมาต่อสู้เรียกร้องหาประชาธิปไตยจนต้องถูกจับ บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตในคุก ประชาชนยังเป็นเหยื่อการหลอกของอำนาจอยู่ดี หวังว่าสักวันทุกฝ่ายจะหูตาสว่างขึ้นมารับรู้และมองเห็นความจริงกัน” นายจตุพรกล่าว. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง