ชงปรับเกณฑ์ใหม่‘ขับต้องไม่ดื่ม’

ตร.จับมือ มท.-กทม.และภาคีเครือข่าย เปิดโครงการ “ขับเคลื่อนจราจรไทยไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน  Traffic Forward รวดเร็ว ปลอดภัย เข้าใจ ไปด้วยกัน” หวังช่วงปีใหม่ลดอุบัติเหตุเจ็บ-ตาย “อนุทิน” ขอ ตร.ปรับเกณฑ์วัดแอลกอฮอล์ใหม่ ไม่ใช่แค่เมาไม่ขับแต่ต้องไม่ดื่มเลย จี้บังคับใช้ กม.เข้มข้น โวทุกสาขาอาชีพแฮปปี้ มีรายได้เพิ่ม หลังเปิดสถานบันเทิงได้ถึงตี 4 ระบุถ้าจัดระเบียบได้ มีโอกาสขยายโซนนิง 

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ที่ห้องประชุมแจ้งยอดสุข  อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.  เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ “ขับเคลื่อนจราจรไทยไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน Traffic Forward รวดเร็ว ปลอดภัย เข้าใจ ไปด้วยกัน” โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทยเข้าร่วมด้วย

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กล่าวว่า โครงการ​ขับเคลื่อนจราจรไทยไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนฯ​ เป็นหนึ่งในนโยบาย​ควิกวิน​ ของรัฐบาล และเป็นนโยบายที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำกันมาอย่างต่อเนื่อง​ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการเคารพกฎหมายจราจร​ คำนึงถึงความปลอดภัยบนท้องถนน​ ซึ่งนอกจากรณรงค์ขับขี่ปลอดภัยแล้ว​ ยังให้ความสำคัญกับการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่ไม่เพียงเฝ้าระวังเฉพาะช่วงเทศกาล​ 7 วันอันตรายเท่านั้น​ แต่ประชาชนต้องมีจิตสำนึกการใช้รถใช้ถนนอยู่ตลอด ทำให้เป็นวิถีชีวิตประจำวัน​ โดย ตร.จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด​ พร้อมตั้งเป้าจะต้องลดอุบัติเหตุทางถนน​ ลดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ​ให้เห็นผลภายใน​ 3 เดือน​ และติดตามผลทุกไตรมาส อีกทั้งการบังคับใช้กฎหมายก็ทำเพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยตำรวจจะนำเทคโนโลยีเข้ามาร่วมในการปฏิบัติด้วย​ เชื่อว่าการบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับสร้างการรับรู้​ความเข้าใจให้ประชาชน จะช่วยลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนลงได้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาด้านการจราจรอย่างจริงจัง โดยมีการขับเคลื่อนงานจราจร 4 ด้าน ได้แก่ 1.Forward Faster ขับเคลื่อนด้านอำนวยการจราจรบนถนนอย่างรวดเร็ว โดยมีการนำโดรน  (Drone) บินตรวจสภาพการจราจร และส่งภาพไปยังศูนย์ควบคุมการจราจร เพื่อรายงานสภาพการจราจรและสั่งการแก้ไขปัญหาได้ทันที โดยนำร่องในจุดที่มีการจราจรหนาแน่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจะขยายผลให้ครอบคลุมทุกจังหวัดต่อไป

2.Forward Safer ขับเคลื่อนด้านความปลอดภัยบนท้องถนน ใน 10 มาตรการเร่งด่วน Quick Win เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ประชาชนบนท้องถนน ซึ่งจะมีการประเมินผลทุกไตรมาส

3.Forward Attitude ขับเคลื่อนด้านทัศนคติตำรวจ และประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยการปรับแนวคิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามแนวคิด “เตือนก่อนปรับและปรับแบบเป็นขั้นบันได” ผ่านช่องทาง Line  Official ชื่อ “ขับดี”

4.Forward Participation ขับเคลื่อนด้านการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย เพื่อร่วมก้าวไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยให้ประชาชนสามารถแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับงานจราจรผ่าน แอปพลิเคชัน “Traffy Fondue” หรือ Facebook Page:  “อาสาตาจราจร”

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ร่วมเสวนากับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในหัวข้อ “ความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องความปลอดภัยทางถนน“ และ “การขับเคลื่อนจราจรไทยไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน” โดยนายอนุทินกล่าวตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันนี้การทำงานของภาครัฐเราทำงานร่วมกันหมด กระทรวงมหาดไทย, สตช., กทม. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านความปลอดภัยก็บูรณาการงานร่วมกัน ในเทศกาลปีใหม่ต้องรณรงค์ในการสร้างความมั่นใจว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับผู้สัญจรไปมาต้องถูกควบคุม อะไรที่เป็นอันตรายกับพี่น้องประชาชนต้องหาทางจำกัดวง 

นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้มาพึ่งพา สตช.ในเรื่องของข้อมูลการสัญจรไปมาต่างๆ ข้อมูลบุคคล การรายงานอุบัติเหตุทั่วประเทศ ต้องขอบคุณท่านผู้ว่าฯ กทม.ด้วย  เพราะถ้าเราร่วมมือทำงานได้ การเดินทางย่อมมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น รวมไปถึงการควบคุมสถานบันเทิง สถานที่ท่องเที่ยว เพื่อลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ เป้าหมายเรื่องพวกนี้มันต้องทำเต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายต้องเข้มข้น พี่น้องประชาชนขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ตามระเบียบอย่างเคร่งครัด เราต้องไม่ใช่แค่เมาไม่ขับ แต่ต้องดื่มไม่ขับ หลายคนเข้าใจดีถึงเจตนารมณ์ ได้มีโอกาสไปตรวจตามสถานบริการ สถานบันเทิง นักท่องเที่ยว  บอกว่าไม่ขับรถมาเอง บางคนให้เพื่อนที่ไม่ดื่มมาคอยพาเขากลับบ้าน แบบนี้ถูกต้อง

 “หน่วยงานภาครัฐทั้งหลาย การที่เราทำงานร่วมกัน มันเป็นพลัง ใครที่คิดจะทำผิดก็ต้องระมัดระวังมากๆ  เพราะมีหลายตาคอยสอดส่อง เรื่องการสัญจรมันมีเรื่องของการบรรทุกน้ำหนักเกิน ความเร็วเกิน การเมาแล้วขับ  มันต้องจัดการ เราใช้องคาพยพของแต่ละหน่วยงานที่มีอยู่  ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เราจะลดสารตั้งต้นของอุบัติเหตุทางถนน หลักๆ ก็คือการเมาสุรา เราเคยมีมอตโตว่าเมาไม่ขับ ตอนนี้มันต้องเปลี่ยนเป็นดื่มไม่ขับ เพราะไม่มีคนยอมรับว่าเมา ตำรวจต้องช่วยกัน เมื่อมีการตั้งด่านตรวจมันต้องกำหนดมาตรฐานใหม่แล้ว คือต้องไม่ดื่มเลย” นายอนุทิน  กล่าว

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวม ภายหลังอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงได้ถึง 04.00 น.ว่า เท่าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบไม่มีปัญหาอะไร คนที่จะทำมาหากินทุกสาขาอาชีพมีความพึงพอใจ เขาสามารถมีชั่วโมงการทำงานเพิ่มมากขึ้น สร้างรายได้มากขึ้น ทั้งแท็กซี่ แกร็บ  หาบเร่แผงลอย ทำให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น และนักท่องเที่ยวก็มีความพึงพอใจ เท่าที่ตนลงพื้นที่มาและเห็นชัดเจนคือ ทุกฝ่ายมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย นักท่องเที่ยวที่ดื่มแอลกอฮอล์เขาก็เตรียมตัวมาพร้อม ส่วนใหญ่มาแท็กซี่ ถ้ามาเป็นกลุ่มจะมีคนที่ไม่ได้ดื่มเพื่อพากลับ ถือเป็นความพยายามของนักท่องเที่ยว ส่วนของผู้ประกอบการก็ให้คำยืนยันว่ามีการเตรียมพร้อมอย่างดีมาก มีเครื่องสแกน จะไม่ดูบัตรประชาชนจากโทรศัพท์ จะดูบัตรตัวจริงเท่านั้น และสแกนเครื่องด้วย อีกทั้งยังมีการ์ดที่คอยดูแลความปลอดภัย มีเครื่องตรวจค้นอาวุธ และได้บอกกับตนว่าถ้าลูกค้าดื่มแอลกอฮอล์และมีสภาพที่เมามากเขาจะไม่ขายเครื่องดื่มให้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการขยายโซนนิงเพิ่มเติมหรือไม่  นายอนุทินกล่าวว่า ถ้าทำได้เราก็ทำ ค่อยๆ ดูไป ถ้าทุกอย่างจัดระเบียบได้ ทุกคนมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบต่อสังคม อะไรก็เป็นไปได้หมด เราอยากเปิดโอกาสให้คนทำมาหากินได้มากที่สุด 

เมื่อถามว่า ยังไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับอุบัติเหตุในช่วงหลังมีการอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงได้ถึง 04.00 น.ใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาถ้าเราประมาท ความจริงกฎหมายครอบคลุมไว้หมดแล้ว ถ้าดื่มแล้วขับ เจอตำรวจเรียกให้เป่า ก็มีความผิดและถูกฟ้องศาลในวันต่อไป ประวัติก็เสีย มีคดีติดตัว เวลาไปสัมภาษณ์งานจะมีปัญหา ดังนั้นต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองด้วย. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง