311เสียงงบ67ฉลุย นายกฯสัญญาใช้รู้คุณค่า สภาตั้ง72อรหันต์ถก8ม.ค.

ผ่านฉลุย 311 ต่อ 177  เสียง สภาโหวตรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบฯ 67 ตั้ง กมธ. 72 คนถกต่อนัดแรก 8 ม.ค. "เศรษฐา" ขอบคุณสมาชิกร่วมกันพิจารณา ระบุเหลือเวลาใช้งบไม่นานจะทำอย่างมีประสิทธิภาพ-ใช้อย่างมีคุณค่า "ก้าวไกล" ลั่นแค่เวทีซ้อมมือเอาชนะรัฐบาล เตือนอำนาจในมือขอให้ทำให้ดี  "ผู้นำฝ่ายค้านฯ" ขู่ครั้งหน้าอภิปรายไม่ไว้วางใจเดือดแน่

ที่รัฐสภา วันที่ 5 ม.ค. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประธาน ที่ประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันสุดท้าย   โดยเบื้องต้นมีการนัดลงมติในช่วงดึก   เวลา 22.00 น.โดยประมาณ

อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งมีความดุเดือดมากขึ้น โดยพรรคประชาธิปัตย์พุ่งเป้าในเรื่องการจัดสรรงบไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ว่า มี 2-3 คำถาม ที่บอกว่าดุเดือดขึ้นหรือเปล่านั้น ตนเห็นว่าดูดี เป็นการติเพื่อก่อในหลายๆ เคส  และมีหลายเคสที่เราพยายามอธิบายพูดคุยขยายความชี้แจงไป

"ที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บอกการจัดงบไม่ได้แตกต่างนั้น ต้องเข้าใจว่างบนี้เรามีมรดกมา และเราก็พยายามทำให้ดีที่สุด ขอเรียนแล้วว่าในฐานะนายกฯ จบ 4 ปีนี้เชื่อว่าชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชนทุกภาคจะดีขึ้น" นายเศรษฐากล่าว

ถามว่า จากการรับฟังการอภิปรายของสมาชิกสภามีประเด็นไหนที่เป็นประโยชน์และนำมาปรับในวาระ 2 และ 3 หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มีหลายๆ จุด ท้ายที่สุดจะมานั่งประชุมกันอีกทีว่ามีตรงไหนที่สามารถนำมาปรับแก้ไข และเชื่อว่าเมื่อวันที่ 4 ม.ค. ได้มีการชี้แจงและน้อมรับในเรื่องการจัดสรรงบให้เกิดประโยชน์กับประชาชน

"กรณีที่สมาชิกฝ่ายค้านเห็นว่าการจัดสรรงบประมาณไม่เป็นธรรม ผมคิดว่าเราต้องมาโฟกัสกันที่ว่าเราจะทำอย่างไรมากกว่า ไม่ใช่เรื่องงบอย่างเดียว เรื่องที่จะดูแลพี่น้องประชาชนในทุกภาคส่วนให้เท่าเทียมเสมอภาค เราจะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น" นายกฯกล่าว

ถามว่า สมาชิกยังอภิปรายย้ำในเรื่องของการกู้เงินเพื่อนำมาใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ตรงนี้นายกฯ จะชี้แจงอย่างไร เพราะก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะไม่กู้ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนทำตามคำแนะนำของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ให้ออกเป็นพระราชบัญญัติจะดีกว่าใช่หรือไม่ เวลาที่เราจะออกเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตก็บอกให้รับฟังความคิดเห็นจากทุกๆ ฝ่าย แล้วนี่หน่วยงานหลักตนก็ฟัง

ซักว่าได้พบกับกฤษฎีกาแล้วหรือยังมีความคืบหน้าอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า ยังเลย ยังไม่มีเวลา แต่บ่ายนี้ถ้าเจอก็จะถาม

ขณะที่ นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.)  ในฐานะวิปรัฐบาล กล่าวถึงการอภิปราย พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ว่า ทำหน้าที่ได้ดีทั้งสองฝ่าย แต่ละฝ่ายเอาข้อมูลของตัวเองมาคุยกัน ซึ่งอย่าให้ตนต้องไปให้คะแนนฝ่ายค้านในการอภิปรายในครั้งนี้เลย เพราะถือว่าเขาได้ทำการบ้านมาดี อย่างที่ทราบเราได้เอกสารกระชั้นชิด มีเวลาตรวจสอบตัวเลขเพียง 9 วัน และเป็นช่วงของเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเรามีความล่าช้าในการทำงบประมาณชุดนี้ ถ้ารวมวาระ 2 และ 3 จนถึงการทูลเกล้าฯ ถวาย และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เราจะต้องอภิปรายในวันที่ 3-5 ม.ค.นี้

ถามว่า จะมีการโหวตแล้วในส่วนของรัฐบาลมีการกำชับเสียง สส.อย่างไรบ้าง นายสรวงศ์กล่าวว่า เสียงของฝ่ายรัฐบาลไม่น่าจะขาด เว้นแต่เสียงของนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชี​รายชื่อ​ พรรค​เพื่อ​ไทย​ ที่มีอาการป่วย อย่างไรก็ตาม นี่คือวาระแรกเท่านั้น ตนมองว่าเราน่าจะให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน เพราะงบประมาณที่จะผ่านสภาเป็นผลประโยชน์ของประชาชน

เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านได้มีการตั้งข้อสังเกตจะมีการกู้เงินเพื่อนำไปใช้นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท นายสรวงศ์กล่าวว่า ความชัดเจนเรื่องนี้ให้นายกฯ เป็นคนตอบจะดีกว่า เราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ เรามีหน้าที่ในการตรวจสอบ ถ้าฝ่ายรัฐบาลทำอะไรไม่ถูกต้อง เราก็มีโอกาสที่จะทักท้วงได้

"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนนอกมองเข้ามา แต่พอเข้ามาอยู่ในตำแหน่ง และดูตัวเลขจริงๆ นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะไม่เป็นอย่างที่คนนอกมองเข้ามา ฉะนั้นผมมองว่าให้ฝ่ายบริหารเป็นผู้จัดการดีกว่า ถ้าจะเสนอ พ.ร.บ.กู้เข้ามา ในฐานะที่เราเป็น สส. ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ก็มีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบทุกคน และมั่นใจว่าประชาชนได้ใช้เงินดิจิทัล เพราะเราได้พูดกับประชาชนไว้ และทุกคนก็ทราบว่าเศรษฐกิจโลกค่อนข้างที่จะตกต่ำ ถ้าเราไม่มีแผนในการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจกันเองภายในประเทศ ผมบอกว่าแย่แน่นอน" นายสรวงศ์กล่าว

วิปรัฐบาลยังกล่าวถึงสัดส่วนการตั้งกรรมาธิการงบประมาณว่า จะเสนอทั้งหมด 72 คน เป็น ครม. 18 ท่าน ที่เหลือจะเป็น สส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลในสัดส่วนลดหย่อนกันไป ในส่วนของพรรคเพื่อไทยได้ 15 คน ภูมิใจไทย 8 คน ซึ่งจะมีการประชุมนัดแรกในวันที่ 8 ม.ค.นี้ โดยช่วงเช้าจะเป็นการแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ในคณะกรรมาธิการ ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นการประชุมเนื้อหาสาระ โดยมีกรอบระยะเวลา 3 เดือน และจะเข้าวันละ 2 วาระ 3 ในวันที่ 4 เม.ย. หลังจากนั้นจะส่งให้ สว.พิจารณา และส่งกลับมาที่ ครม. เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ประมาณวันที่ 17 เม.ย. คาดว่าเราน่าจะได้ใช้งบปี 2567 ปลายเม.ย.ถึงต้น พ.ค.

ส่วนนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์เรียกร้องไปยังนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กรณีการนำข้อมูลมาอภิปรายในสภา ควรนำข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ไม่ใช่ข้อมูลที่มีการคาดการณ์ โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขกระแสเงินสดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ  (กฟผ.) คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้

ด้านพรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเป็นธรรม  พรรคครูไทยเพื่อประชาชน และพรรคใหม่ ร่วมกันแถลงข่าวถึงจุดยืนที่พรรคร่วมฝ่ายค้านที่จะโหวตไม่รับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 67

นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านได้หารือความเห็นต่อ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ไม่ได้สะท้อนว่ารัฐบาลกำลังแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสิ่งแวดล้อม พีเอ็ม 2.5 วิกฤตการศึกษา วิกฤตเด็กเกิดน้อย วิกฤตสังคมผู้สูงวัย รัฐบาลจัดทำงบประมาณที่ไม่แตกต่างจากรัฐบาลเก่า ตั้งงบไม่ได้สัดส่วนกับความรุนแรงของปัญหา ยังพบการสอดไส้งบไม่ตรงปก ไม่ตรงแผน การบรรจุงบที่ไม่ควรจะมี การจัดสรรงบที่ไม่เพียงพอต่อความจำเป็น ประมาณการรายได้ที่เกินจริง มุ่งใช้งบประมาณโดยไม่มองถึงอนาคต” นายชัยธวัชกล่าว

"3 วันในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 67 ฝ่ายค้านได้วิพากษ์วิจารณ์ตั้งคำถามและให้ข้อเสนอแนะกับรัฐบาลหลายอย่าง แต่คณะรัฐมนตรีชี้แจงคำตอบที่ไม่ตรงกับคำถาม บางคำถามไม่มีคำตอบ การชี้แจงก็ขาดวุฒิภาวะ หรือให้ข้อมูลที่บิดเบือน ตอบตามคำถาม ชงกันเองกินกันเองในพรรคเดียวกัน รัฐมนตรีบางกระทรวงไม่ให้เกียรติเงินภาษีของประชาชนด้วยการลุกขึ้นชี้แจง หรือให้คำตอบแก่สภา พรรคฝ่ายค้านจึงมีมติว่าจะลงมติไม่เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้" นายชัยธวัชกล่าว

ถามว่า มองการทำงานของฝ่ายค้านเป็นอย่างไรบ้างกับศึกงบประมาณครั้งแรก ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า มีความเห็นที่หลากหลาย ซึ่งหลายส่วนก็ชื่นชมว่าเป็นการอภิปรายที่มีฐานข้อมูล สร้างสรรค์ มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ และมีข้อเสนอแนะ แต่หลายคนก็รู้สึกว่าไม่ได้ดุเดือด แต่อยากจะบอกกับประชาชนว่า เป็นการประชุมร่าง พ.ร.บ.ประมาณฯ ไว้ค่อยดูการอภิปรายที่ดุเดือดในอนาคต เพราะการอภิปรายงบฯ ควรจะให้ข้อมูลแก่ฝ่ายบริหารและประชาชน ไม่ได้ดุเดือดเผ็ดร้อน

นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าไม่รับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ในวาระแรก ตามมติวิปฝ่ายค้าน และมั่นใจว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ทุกคนลงมติในทิศทางเดียวกัน เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน 100%

 เดือด! แตะ 'ทูนหัวของบ่าว'

ขณะที่ ในห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เริ่มขึ้นเวลา 09.00 น. มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่เป็นประธาน ซึ่งภาพรวมช่วงเช้ามี สส.ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลลุกขึ้นสลับกันอภิปราย จนกระทั่ง น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ลุกอภิปรายช่วงเกริ่นนำก่อนเข้าเรื่อง เกิดเหตุปะทะคารมกันเล็กน้อยระหว่างพรรค ปชป. และพรรคเพื่อไทย (พท.) เนื่องจาก น.ส.สุณัฐชาพาดพิงเรื่องในอดีตของพรรคพท. สมัยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งกรณีการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละภาคที่แตกต่างกันตามความนิยมในขณะนั้น อีกทั้งการดำเนินโครงการจำนำข้าวที่ผิดพลาด

น.ส.สุณัฐชากล่าวตอนหนึ่งว่า เงินภาษีทุกบาททุกสตางค์จะต้องได้รับการจัดสรรอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองเหมือนในอดีต ที่คนใต้โดนเลือกปฏิบัติเพียงเพราะเหตุผลไม่นิยมชมชอบพรรครัฐบาลในขณะนั้น ตนมีข้อกังวลในการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลเศรษฐีภายใต้การนำของนายเศรษฐา ที่ได้รับฉายาว่าเป็นเซลส์แมนสแตนด์ชิน

"ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลชุดนี้มีดีเอ็นเอหรือรากเหง้ามาจากพรรคไทยรักไทยที่มีนายใหญ่สายชินเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลในปี 2544 เป็นเจ้าของคำพูดที่ว่า จังหวัดไหนไม่เลือกให้รอการพัฒนาไปก่อน ต่อมาแปรสภาพเป็นพรรคพลังประชาชนและจบด้วยการยุบพรรค ที่สุดกลายเป็นพรรค พท. ที่เมินการจัดสรรงบประมาณลงภาคใต้ แต่กลับใช้งบประมาณ 1.39 ล้านล้านบาทไปกับโครงการจำนำข้าว" สส.ตรัง พรรค ปชป.กล่าว

จากนั้น นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรค พท. ลุกขึ้นประท้วง น.ส.สุณัฐชา ที่ทำผิดข้อบังคับ และขอให้อภิปรายอยู่ในประเด็นการอภิปรายงบประมาณ อย่าย้อนไปไกลถึงเรื่องในอดีต แต่นายพิทักษ์เดช เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป. โต้กลับยืนยันว่า น.ส.สุณัฐชายังอภิปรายอยู่ในประเด็น และไม่ได้ไปกระทบกระเทือนทูนหัวของบ่าว ทำให้นายสรวงศ์ลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่งขอให้นายพิทักษ์เดชถอนคำพูด สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นผลออกมาแล้ววันนี้ จากนั้นนายพิเชษฐ์ได้ตัดบทและอนุญาตให้ น.ส.สุณัฐชาอภิปรายต่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ น.ส.สุณัฐชากำลังอภิปรายอยู่นั้น ได้มีการนำสไลด์เสนอภาพของนายเศรษฐาใส่ชุดสีแดงสวมในงานเลี้ยงปีใหม่ที่ทำเนียบรัฐบาล เปรียบเทียบกับภาพของน้ำท่วมที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ที่ทำหน้าที่เป็นประธานอยู่ในขณะนั้นได้เบรกการอภิปรายของ น.ส.สุณัฐชา พร้อมถามว่าภาพนี้ได้อนุญาตแล้วหรือไม่

จากนั้น นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงว่า  ขอประท้วงประธานที่ควบคุมการประชุมไม่เป็นกลาง การที่นายพิเชษฐ์เบรกกลางที่ประชุม และการตรวจสไลด์เป็นอำนาจของประธานอยู่แล้ว หากมีความผิดพลาดทางเทคนิคอะไรควรไปทำหลังที่เขาได้อภิปรายไปแล้ว ซึ่งการที่เบรกเขากลางอากาศแบบนี้ไม่ดี อยากให้ประธานใช้อำนาจด้วยความเป็นกลาง ไม่เช่นนั้นจะมีข้อครหาว่าประธานทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง และควบคุมการประชุมไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้นายพิเชษฐ์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เพิ่งส่งเอกสารมาให้ตน หากเจ้าหน้าที่ได้พิจารณาเสร็จแล้วก็ยินดี

น.ส.สุณัฐชายังอภิปรายต่อว่า การที่นายเศรษฐาสวมใส่เสื้อสีแดงปาร์ตี้อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ไม่มีอะไรน่าจะเสียหายและไม่มีอะไรที่น่าอาย เพราะการที่เป็นนักโทษเทวดาชั้น 14 เป็นอะไรที่น่าอายกว่าเยอะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ สส.ตรัง พรรค ปชป.รายนี้ระบุถึงตรงนี้ ทำให้นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส.เลย และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า สิ่งที่ผู้อภิปรายกำลังบอกคือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดพร้อมกัน และนายกฯ ก็ได้ไปติดตามเหตุที่เกิดขึ้น ไม่ใช่นายกฯ ไม่สนใจ

"ในการอภิปรายงบประมาณอยากให้อยู่เรื่องนี้ ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ไม่จำเป็นต้องมาเสียดสีกันย้อนไป 10 ปี 20 ปี ถ้าย้อนไปรัฐบาลที่แล้วผมพอเข้าใจได้เพราะเป็นงบที่ต่อกัน" สส.เลย พรรค พท.ระบุ

ข้องใจงบ ศธ.เทบางพรรค

ต่อมา นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป. ลุกขึ้นประท้วงนายศรัณย์ว่า สิ่งที่ผู้ประท้วงได้กล่าวว่าขณะที่ชาวบ้าน 3 จังหวัดชายแดนใต้เจอน้ำท่วม ซึ่งนายกฯ เหมือนลิงได้แก้ว กำลังมีความสุขอยูที่ทำเนียบรัฐบาล ตนขอถามว่าผู้อภิปราย (น.ส.สุณัฐชา) พูดเท็จตรงไหน และนายกฯ ลงพื้นที่ขอให้ไปดูรูปใหม่ ไปที่น้ำลึก อย่าไปที่น้ำตื้น ฉะนั้นอย่ากล่าวเท็จในสภาแห่งนี้ ประธานต้องควบคุมให้ผู้อภิปรายดำเนินการไปได้ด้วยดี ทำให้ น.ส.กิตติ์ธัญญา วาจาดี สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงว่ามีการประท้วงซ้ำซาก จึงขออนุญาตว่าขอให้ผู้อภิปรายได้พูดในประเด็น

จากนั้นนายพิเชษฐ์กล่าวว่า ขอให้ผู้อภิปรายอยู่ในประเด็น ทำให้ น.ส.สุณัฐชาได้อภิปรายต่อว่า จากข้อมูลค่าเฉลี่ยต่อหัวที่คนใต้ได้รับงบพัฒนาน้อยที่สุด ส่อเค้าลางว่าในงบประมาณปีแรกของนายเศรษฐา ไม่ต่างจากยุครัฐบาลนายใหญ่เพื่อไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน นายเศรษฐาอาจจะลุกมาแก้ตัวว่าเป็นคนละคนกับผู้นำในอดีต แต่การจัดทำงบในลักษณะนี้ทำให้ตนมั่นใจว่า ถึงแม้จะเป็นคนละคนกัน แต่พฤติกรรมทอดทิ้งคนใต้ถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาถึงนายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา ทวีสิน ผ่านร่างพ.ร.บ.งบฯ ปี 67

ทำให้ น.ส.กิตติ์ธัญญาลุกขึ้นประท้วงว่า การที่ไม่เข้าในประเด็นอภิปรายทำให้เสียเวลา และต้องขอบคุณที่มีนายทักษิณ ชิตวัตร อดีตนายกฯ อยู่ในหัวใจตลอดเวลา จากนั้นนายพิทักษ์เดช เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป. ประท้วงประธานที่ประชุมว่า ประธานต้องควบคุม นิดๆ หน่อยๆ ก็ดูๆ กันบ้าง ฟังกันไว้ ไม่เฉียดไม่ฉิวหรอก ทูนหัวของบ่าวยังอยู่เหมือนเดิม ยังปลอดภัย 

จากนั้นนายพิเชษฐ์ได้ให้ผู้อภิปรายต่อจนจบ

เวลา 12.57 น. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขอเสนอผ่าตัดหัวใจ 4 ห้อง ของงบประมาณการศึกษา ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ งบบุคลากร เงินอุดหนุนนักเรียน งบลงทุน และงบนโยบาย โดยงบนโยบาย ส่วนใหญ่เกินครึ่งเป็นโครงการขนาดเล็กไม่เกิน 100 ล้านบาท และมีโครงการกลุ่มก้อนเดียวที่ใหม่คือ พัฒนาระบบการเรียนรู้แบบดิจิทัลในหลายหน่วยงาน ประมาณกว่า 600 ล้านบาท แต่ขอให้พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ รับประกันว่าการพัฒนานี้จะไม่ซ้ำซ้อนในแต่ละหน่วยงานและทรัพยากรเดิมที่มีอยู่แล้ว รวมถึงขอให้รับประกันว่ากระบวนการจัดทำทั้งหมดต้องทำด้วยความโปร่งใส บริษัทที่เข้ามาทำต้องโปร่งใส ไม่ใช่ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ในกระทรวง

นายพริษฐ์กล่าวว่า โครงการที่ไม่ควรมีหรือควรมี แต่ต้องปรับลดงบลง เช่น โครงการรวมมิตรความดี ทุกปีจะเห็นงบถูกจัดสรรโครงการที่พยายามทำให้นักเรียนของเราโตมาไม่เลว ไม่โกง ไม่เสพยา ปีนี้ยิ่งกว่าเดิมงบประมาณโครงการจริยธรรม คุณธรรม ต่อต้านการทุจริต อยู่ที่ 160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 8 เปอร์เซ็นต์ หรืองบที่เกี่ยวข้องกับโครงการด้านยาเสพติด รวมที่ 115 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 14 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่นับรวมโครงการใหม่ ชื่อว่าโครงการส่งเสริมคนดีตามหลักการศาสนาที่ถูกต้อง 273 ล้านบาท ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจริยธรรมศีลธรรม การต่อต้านการทุจริตไม่สำคัญ แต่ตนไม่คิดว่าการเอางบและเวลาครูไปลงกับโครงการเช่นนี้เพื่อปลูกฝังให้นักเรียนเป็นคนดี จะเป็นการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

"งบลงทุนมีข้อกังวล 2 ข้อ คือใช้เกณฑ์อะไรในการปรับลดงบลงทุน อาคารสำหรับเด็กด้อยโอกาสและพิการ ที่โดนตัดงบมากที่สุดเป็นพิเศษ จัดแบบนี้เรียกว่าอ่อนแอก็แพ้ไป และใช้เกณฑ์อะไรว่าจังหวัดไหนได้งบลงทุนมากน้อย เพราะโครงการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ถูกกระจายอย่างน่าสงสัย ทำไมจังหวัดที่มี สส.เขตที่มาจากพรรคเดียวกันกับ รมต.จึงได้งบสูงกว่า จังหวัดที่ไม่มี สส.เขตที่มาจากพรรคเดียวกันกับ รมต. กลับได้งบจากส่วนนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเกือบ 20เปอร์เซ็นต์ หวังว่าเกณฑ์ที่ตัดสินใจจะอยู่บนพื้นฐานความเดือดร้อนของนักเรียนเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่อยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ตอบแทนกันทางการเมือง" นายพริษฐ์กล่าว

งบ 67 ผ่านฉลุย 311 เสียง

เวลา 13.34 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงงบของกระทรวงศึกษาธิการ  วิกฤตการศึกษาไทยกับการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กว่า ที่ผ่านมาจนถึงปีงบประมาณ 67 ศธ.ไม่เคยคิดที่จะแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กอย่างจริงจัง การควบรวมโรงเรียนไม่เคยสำเร็จตามเป้าหมาย แถมมีแนวโน้มว่าจะควบรวมน้อยลงเรื่อยๆ ราวกับว่าจะไม่แก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กแล้ว จากปี 63 มีเป้าที่จะควบรวม 400 แห่ง แต่ทำได้แค่ 169 แห่ง ในปี 64-66 มีการปรับเป้าหมายลงมาอีกเหลือ 350 แห่ง แต่ควบรวมได้ไม่มาก แต่มาปี 67 ปรับเป้าหมายเหลือเพียง 200 แห่ง

นายวิโรจน์กล่าวว่า หากพิจารณาจากงบโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีความสำคัญในการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก ที่เอาไว้จ่ายค่าพาหนะ จ่ายค่าบริหารจัดการรถโรงเรียนให้กับโรงเรียนที่ถูกควบรวมที่มีความคงตัวอยู่ที่ 272-286 ล้านบาท แต่ในปี 67 นั้นงามไส้ ปรับเป้าหมายลงแล้ว แต่ยังกล้าของบเท่าเดิม แต่อย่างไรก็ตามถ้าจะแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กงบบริหารจัดการ จะต้องมากกว่าหลักร้อยล้านอยู่แล้ว

สส.พรรคก้าวไกลระบุว่า มีการศึกษาและพบว่าโรงเรียนขนาดเล็กมีต้นทุนในการบริหารจัดการสูงกว่าโรงเรียนขนาดกลางที่ 13,600 บาทต่อคนต่อปี  ถ้าเราแก้ปัญหานี้ได้ เราจะประหยัดงบได้ถึงปีละ 12,985 ล้านบาท และเมื่อเอามารวมกับการปรับลดงบแผนงานและงบรายจ่ายอื่นรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน จะทวีสินแน่นอน เพราะจะมีเงินจัดสรรได้ใหม่ถึง 15,102 ล้านบาท

"ที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้บอกกับประชาชนว่าประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตในมิติการศึกษา แต่ผมก็ยอมรับว่าวิกฤตจริงๆ แต่ทำไมจัดงบออกมาเช่นนี้ งบแบบนี้เหมือนกำลังบอกให้พ่อแม่ทุกคนยอมให้ลูกหลานของตัวเองเรียนหนังสือแบบเดิมๆ ในระบบการศึกษาที่สิ้นหวัง ยอมจำนนให้กับอำนาจนิยมกดขี่ ยอมให้ลูกหลานเรียนหลักสูตรที่ไม่ได้ปรับปรุงเป็นหลักสูตรล้างสมอง สุดท้ายเด็กๆ เติบโตมาเป็นคนที่ไม่กล้าคิดไม่กล้าฝัน ไม่กล้าตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจ  เป็นเหมือนบ่าวไพร่ที่ทำงานตามนายสั่งในประเทศที่ต้องคำสาปแห่งนี้ และนี่คือเหตุผลที่ผม วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ตายกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างไร ก็ยังเป็นวิโรจน์ ไม่สามารถเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 67 ฉบับนี้ได้" ส.ส.พรรคก้าวไกลระบุ

เวลา 17.00 น. น.ส.สิริลภัส กองตระการ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายถึงงบประมาณในสัดส่วนกระทรวงสาธารณสุขว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ได้หยิบยกประเด็นสุขภาพจิตและยาเสพติดให้เป็นนโยบายสำคัญ 1 ใน 13 นโยบาย ยกระดับ 30 บาทพลัส เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชน และดูเหมือนว่ารัฐบาลชุดนี้จะให้น้ำหนักไปที่อาการของผู้ป่วยจิตเวชที่มาจากยาเสพติด มากกว่าปัญหาสุขภาพจิตปกติที่เป็นวิกฤตเหมือนกัน

"ปัญหาผู้ป่วยจิตเวชอื่นๆ อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด เหตุการณ์ความรุนแรงที่ก่อความสูญเสียนับครั้งไม่ถ้วน สาเหตุเกิดมาจากผู้ป่วยจิตเวชมีอาการขาดยา เมื่อได้รับการรักษากลับมาถึงบ้านไม่มีคนคอยกำชับ ดูแล ทานยาให้ตรงตามกำหนดอาการ ก็กำเริบอีก และก่อความรุนแรงขึ้นได้ การจัดสรรงบประมาณให้กรมสุขภาพจิต ซึ่งได้แค่ 1.8% จากงบของ สธ.โดนตัดออกไปถึง 69.4%" น.ส.สิริลภัสกล่าว

ในช่วงท้ายของการอภิปราย น.ส.สิริลภัสกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือและร้องไห้ว่า "ดิฉันที่มีรอยกรีดอยู่ที่แขนทั้ง 2 ข้าง ท่านจะลงมาดูด้วยตาตัวเองก็ได้ แต่รอยกรีดนี้ไม่ได้กรีดแค่ที่แขนของดิฉัน พ่อกับแม่บอกว่ามันกรีดไปที่ใจของเขาด้วย ดิฉันไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับครอบครัวอื่น ดิฉันผู้ที่พยายามจะจบชีวิตจากโลกนี้ไป เพราะดิฉันไม่สามารถรับมือกับสารเคมีในสมองทำงานไม่เท่ากันได้อีกแล้ว ในชีวิตนี้ดิฉันทำมามากกว่า 3 ครั้ง ดิฉันผู้ที่เข้ารักษาบำบัดกับโรคนี้มาหลายปี จึงขอพูดแทนผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยโรคจิตเวชอื่นๆ ที่อยู่ในประเทศไทย" 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการอภิปราย ได้มีเพื่อน สส.พรรคก้าวไกล ได้เข้าไปให้กำลังใจด้วยการจับมือและสวมกอด น.ส.สิริลภัส ซึ่งมี สส.บางคน ร้องไห้ตามไปด้วย

ต่อมา เวลา 17.55 น. นายเศรษฐา ชี้แจงกรณีการดูแลภาคใต้ว่า ขอแยกเรื่องระหว่างความมั่นคงกับมั่งคั่ง เรื่องงบประมาณเป็นเรื่องของการใส่เงิน เวลาทำงบประมาณเราไม่ได้คิดถึงว่าเป็นเรื่องของภาคใด ให้เกียรติประชาชนเท่าเทียม เสมอภาค ไม่กีดกันแบ่งแยก นี่คือความสัตย์จริง และเป็นปรัชญาหลักในการทำงบประมาณนี้ ใส่เงินเป็นส่วนหนึ่ง แต่วันนี้อยากพูดถึงความใส่ใจของรัฐบาลด้วย ตั้งแต่เป็นนายกฯ ลงภาคใต้หลายหน โครงการใหญ่ๆ อยู่ที่ภาคใต้หลายโครงการ สิ้นเดือนหน้าตนพร้อมด้วย รมว.การท่องเที่ยวฯ และ รมว.วัฒนธรรม ลงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดูเกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยว

 “ผมมั่นใจภายใน 4 ปี ที่ผมเป็นนายกฯ ผมจะนำความมั่งคั่ง ทำให้ชีวิตประชาชนมีความเป็นอยู่ที่มั่นคง โดยเฉพาะสามจังหวัด มั่นใจชาวภาคใต้ทั้งหมดจะดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” นายกฯ กล่าว  

ต่อมาเวลา 19.28 น. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สรุปการอภิปรายพิจารณาร่างงบประมาณฯ ว่าภายใต้วิกฤตแบบใดทำไมจัดงบแบบนี้ ยังไม่ตอบโจทย์สะท้อนปัญหาประเทศ ต่างจากพรรคไทยรักไทย และเพื่อไทยในอดีต ท่านนายกฯ ได้รับโอกาสเป็นครั้งแรกในชีวิตทำให้สมกับว่าเป็นตัวจริง ทุกข้อติติงของพวกเรามาพร้อมกับข้อเสนอเป็นประโยชน์ต่อทุกคน อยากให้พวกเรามองไปข้างหน้า การเลือกตั้งครั้งหน้าโจทย์เราไม่ใช่ว่าจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่ แต่โจทย์ของพวกเราคือพร้อมเป็นรัฐบาลบริหารประเทศหรือไม่

"เวทีครั้งนี้ไม่ใช่เวทีที่พวกผมจะทำลายล้างรัฐบาล แต่เป็นเวทีซ้อมมือเพื่อเอาชนะรัฐบาล ด้วยการทำงานที่เต็มเปี่ยม และข้อเสนอที่ดีกว่า พวกเราจะชนะด้วยการเก็บเกี่ยวปัญหา และรู้วิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่า มาแข่งกันเอาชนะใจประชาชน แม้พวกผมชนะการเลือกตั้ง แต่แพ้กติกาการจัดตั้งรัฐบาลในปัจจุบัน วันนี้อำนาจอยู่ในมือรัฐบาล ขอให้ทำให้ดี เพราะเชื่อว่าผู้แพ้จากการทำงาน 4 ปีต่อจากนี้จะโดนบดขยี้ด้วยฉันทามติประชาชน ทั้งนี้ พวกผมไม่สามารถโหวตเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้" นายณัฐพงษ์กล่าว

จากนั้น เวลา 20.08 น. นายกฯ กล่าวปิดท้ายว่า ในนามรัฐบาล ขอบคุณสมาชิกที่ร่วมกันพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ที่รัฐบาลเสนอ ขอเรียนว่าแม้การจัดงบรายจ่ายภายใต้เวลาที่เร่งด่วน และมีงบประจำ งบผูกพันที่รัฐบาลต้องดูแลอย่างเป็นธรรม แต่ยังมุ่งหวังทำชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น สำหรับงบที่พิจารณาวาระอยู่นี้ มีไฮไลต์คือ 4 เพิ่ม 1 ลด ได้แก่ จัดงบประมาณเพิ่มขึ้น งบลงทุน เงินคงคลังเพิ่มขึ้น และรายได้เพิ่มขึ้น มั่นใจจะขยายฐานภาษีผ่านการจัดเก็บรายได้อย่างเป็นธรรม และ 1 ลด คือ ลดการขาดทุน แม้จะเหลือเวลาใช้งบไม่นาน จะทำให้มีประสิทธิภาพและใช้อย่างมีคุณค่า

กระทั่งเวลา 20.12 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ สั่งให้ที่ประชุมลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ผลปรากฏว่า เห็นด้วย 311 ไม่เห็นด้วย 177 งดออกเสียง 4 ไม่ออกเสียงไม่มี  เท่ากับที่ประชุมเห็นด้วยรับหลักการแห่งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567

ทั้งนี้ ได้ตั้งคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว จำนวน 72 คน กำหนดแปรญัตติ 30 วัน ประชุมคณะ กมธ.ครั้งแรก วันจันทร์ที่ 8 ม.ค. เวลา 13.30 น. และปิดการประชุมเวลา 20.40 น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐา โปรยยาหอมชาวอีสาน ไตรมาส 4 รับเงินหมื่นแน่

นายกฯ ขึ้นเวทีมหาสารคาม “อุ๊งอิ๊ง” สส.เพื่อไทย พรึบ ชู 3 ปัญหาวาระแห่งชาติ ‘หนี้นอกระบบ-ยาเสพติด-ภัยแล้ง’ ย้ำคำมั่นเงินหมื่นดิจิทัลได้แน่ไตรมาส 4 ด้านปชช.คึกคักบอก ‘รักเศรษฐา’