ขู่จับ‘ปลาตัวใหญ่’ ‘บิ๊กเต่า’แฉทำเป็นขบวนการ ปูดนักการเมือง‘ป.’โทร.เคลียร์

"จรูญเกียรติ" จัดเต็มแก๊งพี่ศรี ดึง ปปง.-ป.ป.ท.ร่วมคณะทำงาน ชี้อาจเข้าข่ายฟอกเงิน เผยทำเป็นขบวนการ เชื่อมีปลาใหญ่กว่า "ทนายอธิบดีข้าว" ปูดที่ปรึกษาบิ๊ก กษ.เป็นคนแนะให้จ่ายเคลียร์นาย ศ. หวั่นนักการเมืองแทรกเขี่ยนาย จ.พ้นเจ้าที่หน้าที่รัฐทำให้โทษเบา แฉนาย ป.โทร.มาให้เพลาๆ "ธัญญรัตน์" พลิกไม่ออกรายการ ประกาศฟ้องทั่วราชอาณาจักรหากใครใส่ร้าย "เศรษฐา" เชื่อไม่มีนักการเมืองมาจุ้น หรือมีอำนาจสั่งกระบวนการยุติธรรม "ธรรมนัส" โวมีเบ็ดรอบกระทรวง ใครเดินเข้ามาระวังติด

เมื่อวันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2566 ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.)  พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ได้เรียกประชุมชุดสืบสวนคดีนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน, นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรค รทสช. ร่วมกันข่มขู่เรียกรับเงินนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว จำนวน 3 ล้านบาท แลกกับการไม่ร้องเรียนโครงการทุจริต โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  (ปปง.) เข้ามาร่วมประชุมด้วย

 โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวก่อนประชุมว่า การเรียกเจ้าหน้าที่จาก 2 หน่วยงานมาเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อพิจารณาว่าคดีนี้เข้าข่ายมูลฐานความผิดฟอกเงินด้วยหรือไม่  จะดำเนินคดีในทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง และจะเดินหน้าสืบสวนสอบสวนในทุกมิติ

  “เต็มที่ เดินเต็มร้อย เต็มสูบ ถ้าเครื่องไม่พังก่อน" พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าว

ภายหลังการประชุมที่ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง พล.ต.ต.จรูญเกียรติระบุว่า การรวบรวมพยานหลักฐานมีความคืบหน้ามาก อธิบดีกรมการข้าวให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงมีความมั่นใจในพยานหลักฐาน ทั้งคลิปเสียง วิดีโอ ระบุถึงพฤติการณ์ของขบวนการนี้ได้ว่ามีการวางแผนทำเป็นขั้นตอน  ทั้งคนชี้เป้า คนเสิร์ฟข้อมูล คนเคลียร์ คนรับเงิน และยังพบผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายคน ซึ่งต้องเรียกเข้ามาสอบปากคำด้วย

 “เชื่อว่าน่าจะมีผู้สั่งการในระดับที่สูงขึ้นไปอีกนอกเหนือจากผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อน ทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำจริงๆ ผมอยากได้ปลาใหญ่กว่านั้น ดูสิปลาใหญ่จะทำอย่างไรบ้าง แต่ไม่ขอตอบว่าปลาใหญ่เป็นนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐ” พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าว

 พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวอีกว่า มีข้อมูลว่ามีหน่วยงานอื่นที่ถูกเรียกรับทรัพย์จากกลุ่มนี้ในระดับร้อยล้านบาท แต่ยังไม่มีการจ่ายเงิน ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับหน่วยงานว่าจะเข้ามาให้ข้อมูลหรือไม่ เพราะกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เนื่องจากเรื่องของอธิบดีกรมการข้าวเป็นเรื่องหนึ่ง หากมีเรื่องอื่นเราก็จะเปิด เพราะพวกนี้เป็นภัยสังคม ที่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย ทำให้เกิดความเสื่อมเสียเกียรติยศของเจ้าหน้าที่ราชการ

 “กลุ่มคนพวกนี้มีพฤติกรรมรีดทรัพย์จากกลุ่มต่างๆ ทั้งเอกชนและข้าราชการที่เขามองว่าสามารถทำได้ พวกมิจฉาชีพพวกนี้มีทั้งบนท้องถนน เช่นพวกตบทอง ต้องมีคนทำทองหล่น แล้วไปเจอทอง ต้องมีการเจรจา อันนี้ก็เหมือนกัน มีคนทำเรื่องมาส่งให้คนร้อง คนร้องไปหาคนเคลียร์ คนเคลียร์ไปหาคนร้อง มีบัญชีม้า เป็นการทำงานแบบปลาเล็กปลาใหญ่ คนพวกนี้กระทำกันจนย่ามใจ ไม่รู้ว่าขอบเขตของกฎหมายเป็นอย่างไร และบางคนในทรัพย์สินร่ำรวย บ้าน 10 หลัง มีที่นาเป็นร้อยไร่ ซึ่งหลังจากนี้ก็จะต้องตรวจสอบต่อไป" พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวและยืนยันว่า พนักงานสอบสวนยังไม่ได้รับแรงกดดันจากฝ่ายการเมืองมาแต่อย่างใด และยังไม่มีใครติดต่อมา หากมีก็รับมาตรา 157 ไปก่อน

 ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาอ้างว่า มีการลาออกจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ทนายความผู้เสียหายเป็นห่วงเรื่องการดำเนินคดีตามข้อกล่าวหา พล.ต.ต.จรูญเกียรติตอบว่า เป็นเรื่องของรองนายกฯ หรือเลขาฯ ที่ออกมาพูด เป็นสิทธิที่จะพูดอะไรก็ได้ แต่เราในฐานะคณะพนักงานสอบสวน เรากำลังเดินอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานและข้อเท็จจริง ผู้ต้องหาหรือใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะพูดยังไงเราก็รับฟัง แต่ไม่เดินนอกเหนือจากพยานหลักฐานที่มี ถ้าคิดว่ามีหนังสือยกเลิกก็ส่งมา เราก็จะรับฟัง

ปูดที่ปรึกษาแนะคุยนาย ศ.

ด้านนายดนุเดช ศิริวงษ์ตระกุล ทนายความและที่ปรึกษากฎหมายอธิบดีกรมการข้าว เล่าย้อนไปถึงก่อนเกิดเหตุว่า มีบัตรสนเท่ห์ร้องเรียนอธิบดีกรมการข้าวส่งมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ก่อนที่อธิบดีกรมการข้าวจะถูกเรียกเข้าไปชี้แจง จากนั้นเรื่องจึงยุติไป แต่อธิบดีกรมการข้าวก็มาปรึกษากับตัวเองว่าน่าจะถูกคนกลั่นแกล้ง จึงมอบอำนาจให้ไปแจ้งความร้องทุกข์ ต่อมามีที่ปรึกษาของผู้บริหารของ กษ.เรียกอธิบดีกรมการข้าวเข้าไปพบ ก็ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร ซึ่งที่ปรึกษาคนนี้ได้แนะนำให้จ่ายเงินเคลียร์นาย ศ. เรื่องจะได้ยุติลง เพราะหากแถลงข่าวก็จะเกิดความเสียหายอย่างมาก ก่อนนัดแนะให้ไปจ่ายเงินที่บ้านนาย ศ.มากกว่า 100,000 บาท ซึ่งขณะนั้นก็คิดว่าเรื่องจะจบแล้ว  แต่เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2566 นาย ศ.และนาย จ.ไปแถลงข่าวที่รัฐสภา กล่าวหาถึงการทุจริตในกรมฝนหลวงฯ และในช่วงท้ายมีการกล่าวถึงกรมการข้าว และในวันเดียวกันนั้นก็มีโทรศัพท์จากนาย ศ.โทร.เข้ามาหาอธิบดีกรมการข้าว แต่ไม่ได้รับ

"วันถัดมานาย ศ.ก็โทร.เข้ามาอีกเพื่อนัดกินกาแฟช่วงเที่ยง มาถึงก็บอกว่าขณะนี้เตรียมตรวจสอบงบประมาณ และเตรียมยื่นให้กรรมาธิการตรวจสอบ ซึ่งอธิบดีกรมการข้าว ตอบกลับว่าจะตรวจสอบอะไร และยืนยันว่าไม่ได้ทำความผิด จากนั้นเมื่อแยกย้ายกันแล้วก็มีโทรศัพท์เข้ามาหาอธิบดีกรมการข้าวอีกครั้ง และเรียกรับเงินเพิ่ม ก่อนที่อธิบดีกรมการข้าวจะยื่นโทรศัพท์ให้ภรรยาเป็นคนคุย ปลายสายตอบกลับว่าจะเรียกเงินจำนวน 2 โล หรือ 2 ล้านบาท ซึ่งภรรยาอธิบดีกรมการข้าวก็บอกว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย  ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ และหากดูแลเล็กๆ น้อยๆ ก็ดูแลได้  ก่อนจะมีการต่อรองกันจนเหลือ 1 กิโลครึ่ง หรือ 1.5 ล้านบาท"

นายดนุเดชกล่าวอีกว่า ฝั่งผู้ต้องหาได้ขอให้โอนมาก่อน  100,000 บาท แต่ได้บอกภรรยาอธิบดีกรมการข้าวว่าโอนไปแค่ 50,000 บาทก่อน ทั้งนี้เลขที่บัญชีที่มีการส่งมาให้โอนไปนั้น ไม่ได้เป็นชื่อของ 1 ใน 3 ผู้ต้องหา จากนั้นมีการเร่งให้จ่ายเต็มจำนวน 100,000 บาท วันที่ 23 ธ.ค. 2566 จึงโอนให้อีก 10,000 บาท ระหว่างนั้นก็ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพียงพอส่วนหนึ่ง และเข้าพบกับตำรวจ บก.ปปป.แล้ว ก็โทร.กลับไปหานาย ศ. ซึ่งบอกว่ายังเหลือเงินที่ต้องจ่ายอีก  1,440,000 บาท ภรรยาอธิบดีกรมการข้าวจึงนำเงินจำนวน 100,000 บาทไปให้นาย ศ.ที่บ้านเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2567 ซึ่งวันนั้นมีการถ่ายคลิปวิดีโอขณะที่นาย ศ.กำลังรับเงิน เป็นพยานหลักฐานจนนำไปสู่การออกหมายจับ จนวันที่ 26 ม.ค.  2567 ตำรวจ บก.ปปป.จึงเข้าจับกุมนาย ศ. โดยมีของกลางเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท

นายดนุเดชยอมรับว่า กังวลว่าจะมีการเมืองเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพื่อให้นาย จ.ผู้กระทำผิดไม่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหากไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่เข้าข่ายมาตรา 173 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ก็จะเหลือเพียงข้อหากรรโชกทรัพย์ซึ่งโทษเบากว่า และนาย ศ.ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดก็จะไม่ถือเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ก็จะได้รับโทษน้อยไปด้วย จึงอยากให้ตำรวจเดินหน้าทำงานต่อ อย่าให้เรื่องเงียบ

 “ขณะนี้มีนักการเมืองตัวย่อ นาย ป. ซึ่งเป็นอดีตนักการเมือง และเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ  ได้ติดต่อมายังอธิบดีกรมการข้าวและภรรยา ฝากมาบอกตัวเองให้เบาๆ หน่อย และให้ยุติบทบาท รวมทั้งพยายามโยงธุรกิจของภรรยาอธิบดีกรมการข้าวที่ทำธุรกิจฟาร์มหมูและฟาร์มไก่ ให้ไปเชื่อมโยงกับคดีหมูเถื่อนตีนไก่เถื่อนด้วย” นายดนุเดชกล่าว

นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ในฐานะเพื่อนของนายดนุเดชกล่าวว่า ได้แนะนำให้นายดนุเดชนำหลักฐานสำคัญๆ มาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ เพื่อให้ยากต่อการวิ่งเต้นล้มคดีช่วยเหลือพวกพ้องกัน ไม่ต้องกลัวตาย ถ้าตายจะสร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นอนุสรณ์ให้ ในขณะที่ที่ปรึกษารัฐมนตรีที่ถูกพาดพิงก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วย ตำรวจอย่าปอดแหก ไม่ใช่สร้างภาพจนในที่สุดคดีก็หายไป

หวั่นความปลอดภัยครอบครัว

ขณะที่นางธัญญรัตน์ ไชยศิริคุณากร ภรรยานายณัฏฐกิตติ์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า "ขอบคุณทุกๆ กำลังใจ ขอร้องอย่าให้ข่าวในทางบวกและลบกับทั้ง 2 ฝ่าย เจ้าหน้าที่ทำงานหนักเหนื่อยและนานแล้ว ฉันไม่ไปออกสื่อทุกๆ รายการ  และคิดว่าใครๆ ที่ยังไม่เข้าใจข้อเท็จจริงของทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าคุณไม่แน่ใจอะไรคุณอย่าเพิ่งพูด กลัวว่าพวกคุณกำลังเป็นเหยื่อเสียเอง ใครจะอยู่ฝ่ายไหนก็ต้องโดนฟ้อง ถ้ายังไม่หยุดคงจะประกาศตั้งทนายในประเทศไทยทุกๆ จังหวัดฟ้องคนที่ดูหมิ่น หากชนะจะไม่นำเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่จะมอบเงินบริจาคทุกบาทมอบให้ผู้พิการยากไร้เข้าแต่ละจังหวัดนั้นๆ"

“ฉันกลัวความไม่ปลอดภัยกับตัวเองและครอบครัว ฝากสื่อและสังคมติดตามเรื่องความปลอดภัยของฉันและครอบครัวด้วยนะคะ ไม่คิดว่าเรื่องมันจะลุกลามบานปลายถึงขนาดนี้ วันนี้ตัดสินใจแล้วให้ลูกหยุดเรียนกลับมาอยู่บ้านแล้วค่ะ ทำไงได้คะเลือดนักสู้มันติดเป็นสันดานฉีดทุกรูขุมขนลูกชาวนาไปแล้วค่ะ แค่ได้เกิดในที่ที่ไม่มีสงคราม ภูมิใจที่ได้เกิดบนแผ่นดินนี้ ต่อให้ตายก็ไม่เสียดายชาติเกิด ขอบคุณทุกๆ  ความห่วงใย”

ด้านความเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้  โดยเฉพาะข่าวมีนักการเมืองเข้าไปกดดันว่า ที่ถามว่าได้ติดตามเรื่องของนายศรีสุวรรณหรือไม่นั้น ตั้งแต่วันแรกไม่ได้อ่าน แต่เชื่อว่าตอนนี้อยู่ในกระบวนการของกฎหมายแล้ว หากมีนักการเมืองหรือใครก็ตามที่ไปกดดัน เชื่อว่ารัฐบาลนี้ยอมรับไม่ได้ แต่คิดว่าคงไม่มีและไม่อยากให้มี ถึงแม้จะมีก็คิดว่าไม่สามารถมีอำนาจเหนือกระบวนการยุติธรรมได้

เมื่อถามว่า ได้สั่งการ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์หรือไม่ เนื่องจากมีการพาดพิงการทุจริตไปถึงหลายกรมในกระทรวงเกษตรฯ นายเศรษฐากล่าวว่า  เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ได้เจอ ร.อ.ธรรมนัสช่วงกลางคืน ได้กำชับไปแล้วว่าให้ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งท่านก็รับปากว่าจะดำเนินการตามกฎหมาย และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายแค่นั้น กระทรวงอื่นยังไม่ได้เจอกัน และวันที่ 30 ม.ค.หากมีใครหยิบยกขึ้นมาพูดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็จะมีการพูดคุยกัน

ด้าน ร.อ.ธรรมนัสกล่าวเรื่องนี้ว่า ได้สั่งให้ปลัด กษ.ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเกี่ยวกับข้าราชการอย่างไร และกรมที่เป็นประเด็นอยู่ และได้มอบหมายให้ รมช.กษ.เป็นผู้กำกับดูแล เข้าไปดูข้อเท็จจริงด้วยตนเอง รวมถึงให้ปลัดรับผิดชอบด้วย เรื่องนี้ได้ย้ำว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ประชาชนสนใจ ได้ขอให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงออกมา และทุกเรื่องที่ดำเนินการได้รายงานให้นายกฯ ในฐานะผู้บังคับบัญชาทราบ

 ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการแอบอ้างว่ามีรัฐมนตรีสั่งการให้ตรวจสอบโครงการดังกล่าว ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า ตนเองกำลังสั่งให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดในกระทรวง ว่าผู้ถูกกล่าวหาไปพบ รมช.เกษตรฯ คนใด เราอย่าไปกล่าวหารัฐมนตรี เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องตรวจสอบก่อน ทั้งนี้จากข้อมูลที่ทราบไม่ได้มีแค่ กษ. เพียงแต่ กษ.มีหน่วยงาน และตนเองมีที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายที่เป็นทนายความประมาณ 20 คน จะทำอะไรในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องระวัง

ธรรมนัสโว กษ.มีเบ็ดเยอะ

เมื่อถามว่า ในคลิปเสียงนายยศวริศมีผู้ใหญ่ให้มาเคลียร์  ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า “คลิปมีเยอะ ที่ผมได้รับมามากกว่าที่สื่อมวลชนได้รับ ผมกำลังตั้งคณะกรรมการสอบสวน การที่ผู้ถูกกล่าวหาไปพาดพิงผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมือง หรือแม้แต่ผมก็ถูกพาดพิง ผู้หลักผู้ใหญ่มากกว่าผมก็มี สิ่งเหล่านี้ผมจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าคนที่ถูกพาดพิงเกี่ยวข้องมั้ย แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นมันน่าจะเป็นเรื่องของราคาคุย และผมขอฝากพี่น้องที่รักอาชีพจะเป็นนักสะท้อนสังคม ขอให้พึงระวัง จะคุยกับนักกฎหมายต้องระวัง เพราะนักกฎหมายไม่โง่”

รมว.กษ.กล่าวอีกว่า ฝากไปบอกด้วยว่ากระทรวงเกษตรฯ มีเบ็ดอยู่รอบกระทรวงเลยนะ ใครจะเดินเข้าไประวังติดเบ็ด ซึ่งตรรกะง่ายๆ ถ้าอธิบดีกรมการข้าวผิดจริง เขาคงไม่เปิดหน้าชกขนาดนี้ และได้มีการพูดคุยกันแล้วว่า หลักฐานที่มีอยู่ในมือค่อนข้างแน่น รายงานให้ทราบหมดแล้ว แต่ไม่อยากพูดถึง มีผู้อยู่เบื้องหลังอีกเยอะ คลิปเสียงที่เผยแพร่ออกมายังมียาวกว่านี้อีกเยอะ

ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค รทสช. ทวีตข้อความผ่าน X ว่า "พรรคและผู้บริหารพรรคยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เต็มที่เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม และได้ให้นายทะเบียนตรวจสอบสถานะความเป็นสมาชิก ปรากฏว่า 1.นายยศวริศไม่เคยและมิได้เป็นสมาชิกพรรค และ น.ส.พิมณัฏฐาเป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ. 2566 และชำระค่าสมาชิกในวันเดียวกัน  ซึ่งในการประชุมกรรมการบริหารพรรค และประชุม สส. พรรคในวันที่ 30 ม.ค.จะเสนอให้ตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อเสนอ กก.บห.ให้มีมติขับ น.ส.พิมณัฏฐาและทุกคนที่เกี่ยวข้องออก และให้รัฐมนตรี ประธาน กมธ. สส.ตรวจสอบและรายงานการตั้งคณะทำงานที่ปรึกษา ผู้ช่วย หากยังมีนายยศวริศ หรือ น.ส.พิมณัฏฐาอยู่ ก็จะประสานขอให้ถอนชื่อออกโดยทันทีเพื่อไม่ให้นำไปแอบอ้าง"

ที่สำนักงาน ปปง. นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ และนายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือลุงศักดิ์ คนเสื้อแดง นำหลักฐานเป็นเอกสารเกี่ยวกับที่มาของบ้านเดี่ยว 2 หลังที่จังหวัดปทุมธานีของนายศรีสุวรรณ โดยเชื่อว่าอาจจะได้มาโดยมิชอบมายื่นให้ ปปง.ตรวจสอบ

นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษา กมธ.การกฎหมาย  สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณว่า เคยออกรายการกับนายศรีสุวรรณ ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว โดยการร้องหลายเรื่องที่ผ่านมา สิ่งที่ได้รับไม่ใช่เป็นเงิน แต่ได้รับเป็นการแจ้งความเกือบ 10 คดี แต่ก็ได้รับความเมตตาจากศาล ในกรณีหมิ่นประมาทและรอลงอาญาประมาณ 7 คดี

 “ถามว่าผมเคยได้รับเงินหรือไม่ ที่ผ่านมาผมไม่เคยร้อง ส่วนราชการไม่ว่าอธิบดีหรือไม่อะไรก็ตาม ตั้งแต่ผมทำงานการเมือง หรือร้องทุกข์กล่าวโทษกับหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่ปี 50 ถึงตอนนี้ผ่านมาสิบกว่าปี ผมไม่เคยร้องหน่วยงานราชการหรืออธิบดีแม้แต่คนเดียว” นายสนธิญากล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง