ฟันจริยธรรม44สส. ‘สนธิญา-ธีรยุทธ’ร้องป.ป.ช./ปิยบุตรเย้ยก้าวไกลหงอศาล!

"สนธิญา-ธีรยุทธ" ร้องป.ป.ช.ฟันจริยธรรมร้ายแรง 44 สส.ก้าวไกล เสนอแก้ ม.112 หวังตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต ขู่ตามเก็บข้อมูลใครขัดคำสั่งศาลเพิ่ม “ศิริกัญญา” ลั่นไม่กังวล พร้อมสู้คดีจริยธรรม มั่นใจศาล รธน.กับศาลฎีกาพิสูจน์พฤติการณ์ต่างกัน ชี้มีเวลาวางตัวแกนนํารุ่นใหม่ส่งต่ออุดมการณ์พรรค "ปิยุบตร" เย้ย "ก.ก." แหย-หงอ ถอดนโยบาย 112 พ้นเพจพรรค "ภูมิธรรม" พลิ้วปม "พท." แก้ 112 บอกไม่ใช่จะรับปากทำกันได้ "พุทธะอิสระ" แนะพรรคส้มเลิกใช้สงครามน้ำลาย หาวิธีรอดยุบพรรคดีกว่า

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วันที่ 2 ก.พ. นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร  ได้เดินทางมายื่นคำร้องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบจริยธรรม สส. 44 คน ของพรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112                          

นายสนธิญากล่าวว่า ติดตามเรื่องการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตั้งแต่จดจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 61 รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์ มาจนถึงพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112  ซึ่งผูกพันทุกองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัย เรื่องนี้ถือเป็นมรดกบาป เป็นการกระทำถ่ายทอดเป็นกรรมพันธุ์ เป็นดีเอ็นเอ จากพรรคอนาคตใหม่ถึงพรรคก้าวไกล ตนคัดค้านมาตลอด 7 ปี และเห็นใจ สส.ทั้ง 44 คนที่ร่วมลงชื่อ เสนอแก้ไขมาตรา 112 แต่หวังให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต

นายสนธิญากล่าวว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวส่งผลต่อพรรคก้าวไกล 3 ประการ ได้แก่ 1.กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนอย่างน้อย 3 มาตรา ทั้งใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง 2.ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง นำไปสู่การกระทำล้มล้างการปกครองที่มีโทษถึงขั้นยุบพรรคการเมือง และ 3.การยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่กระทำผิด ซึ่งนำมาประกอบ เพราะเรื่องจริยธรรมแยกออกมาจากกฎหมาย เป็นมาตรฐานตามอุดมการณ์ที่เป็นบทบัญญัติที่ร้ายแรง โดย ป.ป.ช.จะต้องยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศาลฎีกา

"ขอแจ้งพรรคก้าวไกลและผู้บริหารพรรค ผมจะเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำตั้งแต่ 31 ม.ค.67 เป็นต้นมา ทั้งของพรรค และคำให้สัมภาษณ์ของนายปิยบุตร แสงกนกกุล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ รวมถึงนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ยังจะเดินหน้าเรื่องประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อไปหรือไม่ จะรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการเดินหน้าแก้ไขมาตราดังกล่าวเพื่อนำมาประกอบการชี้แจงต่อ ป.ป.ช. เพื่อนำไปสู่การเอาผิด สส.ทั้ง 44 คน" นายสนธิญากล่าว

อดีตที่ปรึกษา กมธ.กล่าวด้วยว่า จะติดตามเรื่องการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หากมีรายละเอียดเสนอนิรโทษกรรมความผิดให้กับผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 ก็จะนับรวม เพราะเป็นการแสดงว่ากำลังแก้ไขมาตราดังกล่าว เปรียบเป็นมรดกบาป ถือเป็นการตั้งใจเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ไม่ได้เคารพศาล ไม่ทำตามที่ศาลสั่ง จึงขอเตือนให้พรรคก้าวไกลที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่

“การยื่นร้องจริยธรรมในวันนี้ คิดว่ามีโอกาส 50:50 แต่ถ้าหลังจากนี้ยังมีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามคำสั่งศาล คิดว่ามีโอกาสตัดสิทธิ์ทางการเมือง เพราะผมมีเป้าหมายให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต” อดีตที่ปรึกษา กมธ. กล่าว

ขณะที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ในฐานะผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กรณีนายพิธาและพรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็เดินทางมายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ไต่สวนและดำเนินคดีกับ สส.พรรคก้าวไกล 44 คน ฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีร่วมกันเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 เช่นกัน

นายธีรยุทธกล่าวว่า ศาล รธน.วินิจฉัยว่าการแก้ไขมาตรา 112 เป็นการลดทอนสถานะและการคุ้มครองสถาบัน มุ่งหมายแยกสถาบันออกจากความเป็นชาติไทย เป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครอง ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ข้อ 5 ที่กำหนดว่าต้องยึดมั่นและดำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ และข้อ 6 ที่กำหนดว่าต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขต และเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน

นอกจากนี้ ข้อ 27 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมในหมวด 1 ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ซึ่งมาตรฐานจริยธรรมดังกล่าวข้อ 3 วรรคสอง กำหนดว่ามาตรฐานทางจริยธรรมนี้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 ด้วย

ถามว่าการยื่นครั้งนี้จะทำให้โดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วยหรือไม่ นายธีรยุทธกล่าวว่า ไม่ใช่ความต้องการของตน แต่จะไปถึงตรงนั้นได้หรือไม่เป็นบทบัญญัติของกฎหมาย ขึ้นอยู่กับวิธีการไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐาน การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. คำวินิจฉัยศาล รธน.มีครบถ้วน

ซักว่าพรรคก้าวไกลได้ถอดนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ออกจากหน้าเพจของพรรคแล้ว นายธีรยุทธกล่าวว่า เป็นการดำเนินตามคำสั่งของศาล เชื่อว่าเรื่องนี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคน่าจะแนะนำไว้แล้ว

เมื่อถามว่า แกนนำบางคนแสดงความเห็นว่าการเอานโยบายแก้ไขมาตรา 112 ออกจากหน้าเพจ แต่ถูกซ่อนไว้ภายในและสามารถหยิบยกขึ้นมาดำเนินการเมื่อไหร่ก็ได้ นายธีรยุทธ กล่าวว่า หากมีการทำเช่นนั้นจริง ก็ยังคงเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่ามีการซ่อนเร้น แต่เชื่อว่าทีมกฎหมายจะมีการเสนอแนวทางให้กับพรรคที่มีความชัดเจนมากกว่านี้

ผวายุบ 'ก.ก.' วางตัวรุ่นใหม่

ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีมีผู้ไปยื่นร้องสอบจริยธรรม 44 สส.ของพรรคที่ลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ว่า ตนก็เป็นหนึ่งใน สส.ที่ลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งพรรคได้เตรียมต่อสู้คดีในเรื่องนี้แล้ว เพราะเป็นหนึ่งในฉากทัศน์ที่คาดไว้ ดังนั้นไม่ได้กังวลใจ และมีข้อต่อสู้ในเชิงคดี ที่น่าจะทำให้เราไม่ถูกตัดสินว่าทําผิดจริยธรรมและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า สามารถชี้แจงไม่ได้มีเจตนายกเลิกมาตรา 112 ได้แน่นอน เพราะการแก้ไขกฎหมาย เป็นสิทธิ์ชอบธรรมของ สส.ในฝ่ายนิติบัญญัติ หากทำไม่ได้ก็ควรมีการโต้แย้งตั้งแต่ต้น ซึ่งอาจมีส่วนให้เราไม่สามารถยื่นจนบรรจุเข้าวาระได้ ซึ่งการพิสูจน์พฤติการณ์ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญและศาลฎีกามีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเราก็จะสู้คดีอย่างเต็มที่

"เราต้องเตรียมตัวสำหรับกรณีเลวร้ายที่สุด แต่ก็มีความหวัง เราคิดว่าระยะเวลาของกระบวนการยุติธรรมจะไม่รวดเร็ว จึงพอมีเวลาเตรียมแกนนำรุ่นต่อไปขึ้นมาแทนที่ได้แน่นอน เพราะฉะนั้นไม่กังวล หากดูจาก สส.ของพรรค และผู้มาร่วมทํางานก็มีหลายคนที่มีศักยภาพสูง แม้ว่าจะไม่มี  44 สส. แต่รับรองว่าอุดมการณ์และวิธีคิดของพรรคจะสืบทอดต่อไปได้" น.ส.ศิริกัญญากล่าว

เช่นเดียวกับ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยืนยันไม่มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการยุบพรรคก้าวไกล เพราะตนเองก็เป็น 1 ใน 44 รายชื่อที่ลงชื่อเสนอนโยบายนี้ และภายในพรรคก็ไม่ได้มีการพูดคุยกันถึงประเด็นดังกล่าว โดยทุกคนก็ยังคงทำงานตามปกติ

นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีพรรคก้าวไกลนำนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ออกจากเว็บไซต์ของพรรคว่า ทำไมแหยและหงออย่างนี้ ในคำวินิจฉัยไม่ได้สั่งให้เอาออกเลย และต่อให้เอาออกแล้วอย่างไร ศาลก็วินิจฉัยไปแล้ว ตกลงพรรคก้าวไกลจะร่วมสร้างบรรยากาศความกลัวให้กับสังคมในเรื่องนี้ด้วยหรือ

“ในช่วงยามแบบนี้ แทนที่จะพยายามหาวิธีการประคับประคองเรื่องเสรีภาพ และยืนบนหลักให้ได้ แต่กลับช่วยกันขีดวงเสรีภาพให้หดแคบลง ถ้าจะเดินแบบนี้ คุณถอยตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลไปเลยดีกว่าครับ ถ้าบทจะยุบ จะตัดสิทธิขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เอานโยบายออกจากเว็บ เขาก็ยุบ เขาก็ตัดสิทธิอยู่ดี เฮ้อ” นายปิยบุตรระบุ

แกนนำคณะก้าวหน้าระบุว่า หากอ่านจากคำบังคับของศาล รธน.จะเห็นได้ว่า 1.ศาลฯ สั่งให้พรรคก้าวไกลและพิธาเลิกแสดงความเห็น เพื่อให้มีการยกเลิก 112 2.ไม่ให้มีการแก้ไข 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ คำนี้น่าจะอนุมานจากคำวินิจฉัยนี้ได้ว่าห้ามแก้ใน 3 ประเด็นที่ศาลบอกว่าเป็นการล้มล้างฯ ได้แก่ ห้ามย้ายหมวด, ห้ามกำหนดเหตุยกเว้นความผิด เหตุยกเว้นโทษ, ห้ามกำหนดให้ยอมความได้ และห้ามกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ

“ตรงไหนที่ศาลสั่งให้เอานโยบายออกจากเว็บครับ คำบังคับข้อหนึ่ง คือ การห้ามแสดงออกเพื่อยกเลิก 112 ครับ แน่นอนไม่มีใครมั่นใจ 100% หรอก เพราะปากกาอยู่ที่ศาล แต่ในฐานะพรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนเรื่องนี้ผมคิดว่าต้องหาจุดสมดุลประคับประคองไปให้ได้ ไม่ควรออกอากาศกลัว ลนลานขนาดนี้” แกนนำคณะก้าวหน้าระบุ

ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงนโยบายพรรค พท.เกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 ว่า เราพูดอยู่เสมอว่าเรื่องมาตรา 112 เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง และการจะกระทำเรื่องนี้ได้ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ให้เรามารับปากว่าจะไปแก้ไขมาตรา 112 เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และวันนี้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่เป็นกลางทางการเมือง ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว และรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจน

พท.รีบชิงชิ่งปมร้อนแก้ 112

ถามว่า พรรค พท.ไม่เคยหาเสียงเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า เราระมัดระวังเรื่องมาตรา 112 แม้กระทั่งมีตัวแทนมายื่นหนังสือกับเรา ให้เรารับ เราก็ชี้แจงไปว่าเรื่องนี้เราเห็นเช่นนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง และปฏิบัติอย่างเหมาะสม หรือแม้กระทั่งที่มีกลุ่มเยาวชนมายื่นหนังสือกับเรา เราก็ได้แถลงแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะกระทบต่อสาธารณชน ไม่ว่าตัดสินใจไปเช่นไรก็มีผลกระทบที่คนส่วนหนึ่งเห็นด้วยและคนส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย และหากเป็นเช่นนี้ก็จะสร้างความแตกแยกครั้งใหม่ให้กับสังคม เราจึงบอกว่าจะต้องทำให้เกิดฉันทามติ พูดคุยกันอย่างเรียบร้อย หากคิดว่าสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องไปตัดสินใจ

นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีมีผู้ออกมาร้องพรรคก้าวไกลมากขึ้น หลังศาล รธน.ชี้นโยบายแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลเข้าข่ายล้มล้างการปกครองว่า เป็นสิทธิ์ เพราะคนไทยมีความคิดที่เสรี และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่

"จากการประเมินสถานการณ์ข่าวฝ่ายความมั่นคงก็ดำเนินการตามปกติ และยังไม่คิดว่าจะมีอะไรน่าวิตก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องตั้งมั่นตลอดไม่ประมาท" รมว.กลาโหมกล่าว

วันเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “ขบวนการล้มล้างการปกครอง”  ตอนหนึ่งระบุว่า ประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อคือ วันนี้แผนการล้มล้างการปกครองระบอบนี้ ได้มีการตั้งข้อสงสัยว่ามีการวางแผนทำกันเป็นขบวนการหรือไม่? จะจริงหรือที่การเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มนั้นต่างฝ่ายต่างทำ บนความเชื่อของตนเอง เพราะการล้มล้างทั้งสองเหตุการณ์นั้นมีการขับเคลื่อนของผู้แสดงที่หนุนซึ่งกันและกัน กลุ่มเยาวชนหนุนพรรค และพรรคก็หนุนเยาวชน มี NGO ที่รับเงินต่างชาติมาขับเคลื่อนในทิศทางเดียวกัน ขานรับกับสื่อที่เขามีอยู่ในมือจำนวนมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นี่ยังไม่นับรวมรัฐบาลต่างประเทศ หรือวงการทูตที่แสดงออก ในการแทรกแซงการเมืองไทย แบบไม่ต้องเกรงอกเกรงใจรัฐบาลไทย

"ขอเตือนเหล่าขบวนการนี้ว่าพวกคุณคิดจะตัดรากแก้วต้นไม้ ถ้าอายุต้นไม้ไม่มากคุณตัดได้ และไปล้อมปลูกได้ แต่ไม้ใหญ่ที่อายุร่วม 700-800 ปี ที่ให้ความสงบร่มเย็นแก่ผู้อาศัย ขอบอกไว้เลยว่ายาก แต่ถ้าไปเอาคนต่างถิ่นมาช่วยตัด ถ้าตัดได้ ทุกอย่างก็ต้องล่มสลายตามกันไป รวมทั้งพวกคุณด้วย" นพ.วรงค์ระบุ

นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก "หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)" ตอนหนึ่งระบุว่า เห็นบรรดานักวิชาการ นักการเมืองตระกูลส้ม และสื่อบางช่องที่เลือกข้าง ออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาล รธน. ในกรณีมีพฤติกรรมกัดเซาะ บ่อนทำลาย สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อจะล้มล้างการปกครอง ซึ่งในคำวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวนั้นก็เข้าข่ายละเมิด หมิ่นประมาทอำนาจศาล ซึ่งศาล รธน.ก็ได้มีคำสั่งลงมาแล้วด้วยว่าการจะนำเอาคำวินิจฉัยไปวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดผลเสียต่อคำวินิจฉัยของศาลนั้นย่อมกระทำมิได้

"พุทธะอิสระก็ขอเตือนมาด้วยความปรารถนาดีว่า อย่าไปใช้สงครามน้ำลาย ทำร้าย ทำลายศาลและคำวินิจฉัยของศาล รธน.อยู่เลย ควรจะใช้เวลาที่มีอยู่ไปหาวิธีช่วยพลพรรคก้าวไกลให้รอดจากการถูกยุบ และรอดจากคำกล่าวหากรณีละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงของนักการเมืองจะดีกว่าไหม ป่วยการที่จะดาหน้ากันออกมาสร้างวาทกรรม กัดกร่อน บ่อนเซาะคำวินิจฉัยของศาล ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหาแก่ชีวิตตนในภายหลัง แว่วๆ มาว่าเอฟซีของทนายอั้น (นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร) ได้เก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นเอามานำเสนอให้พุทธะอิสระได้พิจารณาอยู่นะ ฉันเตือนมาด้วยความหวังดีและเอ็นดู แต่หากพวกคุณไม่เชื่อและยังไม่หยุดพฤติกรรมละเมิดต่อศาลเช่นนั้น ฉันก็คงจะต้องหยิบหลักฐานเหล่านั้น มาพิจารณาดูว่ามันเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ถ้ามีมูลก็ต้องของอภัย หากจะมีหมายศาลส่งไปถึงบ้านพวกคุณอีกสักฉบับ" อดีตพระพุทธะอิสระระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง