“กนง.” เสียงแตก 5 ต่อ 2 ยอมหั่นดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี ยันไม่เกี่ยวแรงกดดันทางการเมือง แจงหวังช่วยบรรเทาภาระหนี้ พร้อมขยับจีดีพีปีนี้เพิ่มเป็น 2.7% "รมช.คลัง" ยิ้มร่า ชี้จุดเริ่มต้นที่ดีการเงิน-การคลังประสานกันมากขึ้น เพิ่มแรงกระตุ้นเศรษฐกิจไทย หุ้นพุ่งเกือบ 20 จุด เด้งรับข่าวดี
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี เป็น 2.25% จาก 2.50% ต่อปี โดยมีผลทันที โดยคณะกรรมการ กนง.เห็นว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ได้บ้าง โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ ภายใต้บริบทที่สินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงอยู่ในระดับที่ยังเป็นกลางและสอดคล้องกับศักยภาพของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังควรอยู่ในระดับที่เป็นกลาง และสอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจ รวมทั้งไม่ต่ำเกินไปจนนำไปสู่การสะสมความไม่สมดุลทางการเงินในระยะยาว
“ยืนยันว่า เป้าหมายหลักของนโยบายการเงิน คือ 1.สนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่ให้สะดุด 2.รักษาเสถียรภาพด้านราคา และ 3.ไม่เพิ่มการสะสมความไม่สมดุลทางการเงิน ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ไม่มีแรงกดดันทางการเมือง ส่วนการหารือกับรัฐบาล หารือมาอย่างต่อเนื่อง และการได้ Input จากภาคส่วนต่างๆ เป็นสิ่งที่ ธปท.ต้องการ โดยการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ เป็นการปรับสมดุล การดูแลเรื่องหนี้ครัวเรือน อยากให้กระบวนการที่ปรับลดหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ สอดคล้องกับรายได้และภาระหนี้ของประชาชน โดยอาจไม่ได้เห็นการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะเป็นการลดและดูข้อมูลเพื่อพิจารณา” นายสักกะภพระบุ
นอกจากนี้ ยังปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปีนี้เพิ่มเป็น 2.7% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.6% ขณะที่ปี 2568 อยู่ที่ 2.9% จากเดิมคาด 3% โดยมองว่าเศรษฐกิจในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวได้ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งออกที่ปรับดีขึ้นตามความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ เศรษฐกิจฟื้นตัวแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน โดยการส่งออกสินค้าและการผลิตภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่ม รวมถึงเอสเอ็มอียังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
สำหรับการส่งออกปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.8% ขณะที่ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2% ส่วนการนำเข้าปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 5.1% และปี 2568 ที่ 0.4% ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 36 ล้านคน และปี 2568 ที่ 39.5 ล้านคน และราคาน้ำมันดิบดูไบ ปีนี้และปี 2568 จะอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 0.5% และปี 2568 ที่ 1.2% โดยอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นจากสภาพอากาศที่ผันผวน และอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นจากผลของฐาน ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน คาดว่าจะอยู่ที่ 0.5% ในปีนี้ และปีหน้าที่ 0.9% โดยอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น การแข่งขันด้านราคาที่อยู่ในระดับสูงจากสินค้านำเข้า ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับกรอบเป้าหมาย และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567
ขณะที่เรื่องเป้าหมายเงินเฟ้อนั้น จะมีการหารือกันอีกครั้ง โดยภาพจะดูแลในเรื่องเงินเฟ้อระยะยาวและความผันผวนของเงินเฟ้อ โดยต้องยอมรับว่าอัตราเงินเฟ้อของไทย ความผันผวนมาจากปัจจัยอุปทานและภายนอกเยอะ ดังนั้นเห็นว่ากรอบเงินเฟ้อที่ดีควรมีความยืดหยุ่น และสิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ เงินเฟ้อไม่ควรอยู่สูงเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ ธปท.ไม่อยากเห็น
“เศรษฐกิจไทยในภาพรวมขยายตัวตามคาด โดยเครื่องยนต์เศรษฐกิจสมดุลขึ้นในระยะข้างหน้า และมองว่าครึ่งหลังของปีนี้จีดีพีจะขยายตัวได้ 3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงขอบล่าง และไม่สะท้อนความเสี่ยงภาวะเงินฝืด เนื่องจากยังพบการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในหลายหมวด และเงินเฟ้อคาดการณ์ยังอยู่ที่ค่ากลางของกรอบเงินเฟ้อที่ 1-3%” เลขานุการ กนง.ระบุ
สำหรับภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นบ้าง อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ ปรับแข็งค่าตามทิศทางนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักและปัจจัยเฉพาะในประเทศ ด้านต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนผ่านธนาคารพาณิชย์และตลาดตราสารหนี้ยังทรงตัวใกล้เคียงเดิม สินเชื่อรวมชะลอลง โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี กลุ่มธุรกิจที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง รวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อและบัตรเครดิต
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ ยังสนับสนุนนโยบายของ ธปท.ที่ให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาภาระหนี้ที่ตรงจุด และมีส่วนช่วยกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ โดยยังต้องติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อต้นทุนการกู้ยืมและการขยายตัวของสินเชื่อในภาพรวม รวมถึงนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นที่น่าพอใจ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทำให้การทำนโยบายการเงินและนโยบายการคลังทำงานสอดประสานกันมากขึ้น ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง.ในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยดูแลการเติบโตของเศรษฐกิจ และช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นให้กับเศรษฐกิจไทยในขณะนี้
เมื่อถามว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายลงที่ระดับ 0.25% เพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนี้หรือไม่ นายเผ่าภูมิกล่าวว่า การพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ขึ้นการพิจารณาของ กนง.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนบวก ตอบรับข่าวดีหลัง กนง.ปรับลดดอกเบี้ย ก่อนที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดตลาดที่ 1,485.01 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 19.98 จุด หรือปรับเพิ่มขึ้น 1.36% มูลค่าการซื้อขาย 77,184.13 ล้านบาท.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พปชร.ขับก๊วนธรรมนัส ตัดจบที่ดิน‘หวานใจลุง’
"บิ๊กป้อม" ไฟเขียว พปชร.มีมติขับ 20 สส.ก๊วนธรรมนัสพ้นพรรค "ไพบูลย์" เผยเหตุอุดมการณ์ไม่ตรงกัน
พ่อนายกฯเคลียร์MOUสยบม็อบ
อิ๊งค์พร้อม! จัดชุดใหญ่แถลงผลงานรัฐบาล ลั่นรอจังหวะไปตอบกระทู้
รบ.อิ๊งค์ไม่มีปฏิวัติ! ทักษิณชิ่งสั่งยึดกองทัพ เหน็บอนุทินชิงหล่อเกิน
"ทักษิณ" โบ้ยไม่รู้ "หัวเขียง" ชงแก้ร่าง กม.จัดระเบียบกลาโหม
ศาลรับคำร้อง ให้สว.สมชาย หยุดทำหน้าที่
ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “สมชาย เล่งหลัก” หยุดปฏิบัติหน้าที่ สว.
คิกออฟแพ็กเกจแก้หนี้ ลุ้นบอร์ดขึ้นค่าแรง400
นายกฯ เผยข่าวดี ครม.คลอดชุดใหญ่แก้หนี้ครัวเรือน "คลัง-แบงก์ชาติ"
เร่งตั้ง‘สสร.’ให้ทันปี70
รัฐสภาจัดงานวันรัฐธรรมนูญคึกคัก แต่พรรคประชาชนเมินเข้าร่วม