สำหรับเนื้อหาสำคัญของจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวระบุว่า พวกเราในฐานะอดีตพนักงาน ธปท. ขอเรียนยืนยันว่า คณะกรรมการ ธปท. มีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางกรอบและกำหนดนโยบายของ ธปท. โดย ธปท.ถือเป็นหน่วยงานของรัฐในรูปแบบองค์กรที่ต้องปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง เพื่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การเงินที่มีเสถียรภาพต่อเนื่องในระยะยาว และมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนและทั่วถึง แม้ว่าคณะกรรมการ ธปท.จะไม่มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายการเงินและนโยบายรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินโดยตรง แต่ พ.ร.บ.ธปท.ได้ระบุอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ให้พิจารณาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน คณะกรรมการระบบการชำระเงิน และแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงในตำแหน่งตั้งแต่ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ ขึ้นไป และที่สำคัญคือ มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์และกำกับดูแลการบริหารจัดการสินทรัพย์ในทุนสำรองระหว่างประเทศ
“บทบาทหน้าที่ของประธานและกรรมการ ธปท.ข้างต้น บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งต้องไม่เพียงแต่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด แต่ต้องปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณขั้นสูงสุดที่เป็นข้อบังคับ ธปท. ว่าด้วยจรรยาบรรณในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของกรรมการในคณะกรรมการ ธปท. พ.ศ.2553 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อ 4.5 ที่ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ข้อ 4.7 พึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม เป็นกลางทางการเมือง และไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม และ ข้อ 4.11 พึงเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำรงตน รักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของ ธปท.”
จดหมายเปิดผนึกระบุอีกว่า ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสรรหาฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ใช้วิจารณญาณพิจารณาด้วยความรอบคอบ รอบด้าน และโปร่งใส อย่างเป็นอิสระ ในการสรรหาประธาน ธปท. และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการ ธปท. เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีประวัติและพฤติกรรมที่ปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณที่ระบุไว้ เป็นที่ประจักษ์ในสังคมและไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 80 ปีของการก่อตั้ง ธปท. คณะกรรมการธนาคาร ผู้บริหาร และพนักงาน ต้องใช้ความพยายาม และความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างสูง เพื่อรักษาอธิปไตยและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินของไทยไว้ โดยป้องกันไม่ให้มีการแทรกแซงทางการเมือง
จดหมายเปิดผนึกยังระบุทิ้งท้ายว่า ผู้ว่าการเล้ง ศรีสมวงศ์ ผู้ว่าการคนแรกที่ทำงานเต็มเวลาที่ ธปท. ได้กล่าวในการเข้าร่วมประชุมกรรมการธนาคารเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2490 ว่า “ในฐานะที่ ธปท. เป็นนายธนาคารกลาง ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและจะดำเนินการอย่างอิสระ ตลอดจนทำหน้าที่ในการเหนี่ยวรั้งรัฐบาลในกิจการที่ธนาคารเห็นว่าจะเกิดความเสียหายแก่ประเทศเป็นส่วนรวม”
นายอุตตม สาวนายน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เรื่องนี้การเมืองไม่ควรที่จะเข้าไปก้าวก่าย แต่ไม่ได้หมายความว่า ธปท.ทำงานด้วยตัวเอง รัฐบาลต้องทำงานกับ ธปท.อยู่แล้ว หน้าที่มีอยู่แล้ว แต่จากประสบการณ์คิดว่าต้องประสานงานกัน โดยเฉพาะในภาวะที่ประเทศไทยอยู่ในจุดพลิกผัน จะฟื้นได้จริงหรือไม่ ต้องอาศัยทุกหน่วยงาน และไม่ไปเสียเวลากับเรื่องอื่น ที่จะไปหักล้างความร่วมมือกัน
เมื่อถามว่า ชื่อของนายกิตติรัตน์ ที่ออกมาดูแล้วเป็นอย่างไรบ้าง นายอุตตมกล่าวว่า ไม่ขอแสดงความคิดเห็น แต่ทราบข่าวว่ามีแคนดิเดตหลายคน ซึ่งเราก็ต้องเชื่อมั่นในคณะกรรมการสรรหาฯ เพราะแต่ละคนก็มีคุณวุฒิ เข้าใจว่าเป็นอดีตของผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงิน ของกระทรวง และของ ธปท. เราต้องให้ความเชื่อมั่นว่าคณะกรรมการเหล่านั้นจะกลั่นกรองให้ดีที่สุดอย่างรอบคอบ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงการออกแถลงการณ์และจดหมายเปิดผนึกว่า เป็นการแสดงออกทางความคิดเห็นที่สามารถทำได้ เพราะอาจจะเกรงหากรัฐบาลมีการใช้กลไกทางการเมืองเข้ามาเป็นแรงกดดัน จะส่งผลทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของ ธปท. ไม่มีความเป็นอิสระอย่างเต็มที่ ดังนั้น กระบวนการในการสรรหาบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าว จึงต้องมีความเป็นอิสระ แต่จะต้องไปดูว่าเป็นอิสระในรูปแบบไหน ถ้าความอิสระมาจากทางการเมือง ก็ต้องไปดูว่าบุคคลที่จะเข้ามาในส่วนนี้ไม่มีเงื่อนไขผิดคุณสมบัติกระบวนการสรรหาก็น่าจะสอดคล้องและเหมาะสม แต่ถ้าไม่ถูกต้องตามเงื่อนไข ก็มีโอกาสสูงที่บุคคลที่มาจากทางการเมืองจะถูกทำให้เป็นโมฆะได้
“ข้อห่วงใยของอดีตผู้ว่าฯ ธปท.และนักเศรษฐศาสตร์ ถือเป็นข้อห่วงใยที่สำคัญ เพราะต่างก็มองว่าเป็นเรื่องของภาพลักษณ์และกระบวนการทำงานของ ธปท. ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นานาชาติยอมรับบทบาทของการเป็นธนาคารกลาง ดังนั้นจึงมองว่าการส่งหนังสือดังกล่าวออกมาจึงเป็นการส่งสัญญาณที่จะแสดงให้รัฐบาลต้องพึงระวังในเรื่องนี้” นายธนวรรธน์กล่าว
นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า ประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจของไทย จะเห็นรัฐบาล โดยกระทรวงการคลังและ ธปท. มีความเห็นไม่สอดคล้องกันหลายครั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย จึงเป็นจุดที่ทำให้เกิดความห่วงใยว่า หากรัฐบาลกดดันหรือสั่งการให้ ธปท.ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการแทรกแซงโดยรัฐ ตรงนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงมากกว่าสำหรับเรื่องการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฮือไล่ปธน.ยุน!วุ่นรมว.กห.ไขก๊อก
พรรคฝ่ายค้านของเกาหลีใต้เคลื่อนไหวถอดถอน "ประธานาธิบดียุน ซ็อกยอล"
ชงรัฐบาลชะลอค่าแรง400
“พาณิชย์” เผยเงินเฟ้อเดือน พ.ย.67 เพิ่มขึ้น 0.95% บวก 8 เดือนติด
เฮ‘ต้มยำกุ้ง’ ขึ้นมรดกโลก ภูมิปัญญาไทย
เฮ! ยูเนสโกรับรอง "ต้มยำกุ้ง" มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ นายกฯ ปลื้มซอฟต์พาวเวอร์ไทย ยกศิลปะปรุงอาหาร
บุญทรงปิดปาก/ขังนอกคุกทันสิ้นปี
"บุญทรง" ปรากฏตัวครั้งแรก ไปรายงานตัวคุมประพฤติตามนัดหมายที่เชียงใหม่
อาสาเชือด‘หวานใจ’ เต่าขอปปช.ลุยคดีเอง/เขากระโดงแค่เกมพท.-ภท.
“กมธ.ที่ดินฯ” เตรียมบุกไร่ภูนับดาว 13 ธ.ค. ตรวจการใช้เอกสารสิทธิ ส.ป.ก.
จงรักภักดีจนชีวิตหาไม่
"ในหลวง" เสด็จฯ ไปในพิธีสวนสนามของทหารรักษาพระองค์