“ภูมิธรรม” โวยเอ็มโอยู 44 ถูกปลุกปั่นไปไกล แทบจะออกนอกอวกาศอยู่แล้ว ไม่กังวลใจกับคำถามที่ว่าในปี 2568 สถานการณ์การเมืองจะวุ่นวายและโดนรัฐประหาร มั่นใจรัฐบาลจะอยู่ครบ 4 ปี ด้าน "อนุทิน" ยันรัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไรผิด ชั้น 14 ไม่กระทบ ดูจากคนใน ครม.และแกนนำทางการเมืองแล้วไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องพวกนี้ แค่ร้อนเพราะสื่อตีข่าว
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเอ็มโอยู 44 ว่า ยังยึดหลักเดิม เพราะควรใช้ความอดทนอดกลั้นและความเข้าใจ เพราะเอ็มโอยู 44 ซึ่งรัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากรัฐบาลในอดีตที่ทำมาทุกสมัย แต่ขณะนี้เรื่องถูกปลุกขึ้นมาโดยอะไรไม่รู้ ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต พอเราพยายามอธิบาย แต่กลายเป็นเรื่องเกิดขึ้นแล้วและพยายามแก้ตัว เรื่องนี้กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ รู้ดีที่สุด ไม่มีใครรู้กฎหมายระหว่างประเทศและดินแดนเท่ากับกรมนี้ ซึ่งมีนักกฎหมายเป็นผู้เชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ถึงให้กรมนี้มาทำเรื่องชี้แจง แต่กลับมีการแตกประเด็น เช่น เกาะกูดอาจถูกยึด แต่จากที่ตนไปลงพื้นที่มา ชาวบ้านมีความสุขดี ไม่มีปัญหาอะไร และไม่เคยมีใครมาอ้างสิทธิ์ว่าเกาะกูดเป็นของใคร ขณะเดียวกันยังไปเยี่ยมกองทัพเรือที่ดูแลเกาะกูด ซึ่งยังคงตั้งมั่นอยู่ในพื้นที่และดำเนินการดูแล
“สำหรับเรื่องนี้เป็นสัญญาอะไรที่ยังไม่ตกลงกัน ก็ให้ทั้งสองฝ่ายมาเจรจา โดยมีเงื่อนไขสำคัญ ต้องให้ประชาชนและรัฐสภาทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน และต้องอิงหลักกฎหมายทั่วไป จากนั้นต้องสรุปว่าสิ่งไหนที่เห็นต่างและสิ่งไหนที่เห็นพ้องต้องกัน ย้ำว่าเรื่องยังไม่เกิด เป็นเพียงสนธิสัญญาเจรจาโดยสันติ แต่กลับมีการนำเรื่องนี้ไปปลุกปั่นกันไปไกล แทบจะออกนอกอวกาศอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่ประเด็น”
รองนายกฯ กล่าวว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีความล่าช้าไปมาก ซึ่งการจ่ายเงินสด 100% ความจริงไม่ใช่วิธีที่เราอยากกระทำ แต่ต้องการอาศัยการจ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ประชาชนทั้งหมดได้ร่วมกันกระตุ้น และสิ่งสำคัญของเรื่องนี้คืออยากให้ทุกคนมีประสบการณ์และเตรียมจะก้าวเข้าสู่ระบบสังคมเศรษฐกิจดิจิทัล เพราะปัจจุบันต่างประเทศไม่ได้ถือเงินสดแล้ว จึงต้องหาประสบการณ์และมีการเรียนรู้ ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่เพราะต้องการแจกเงิน แต่ต้องการเพิ่มกำลังซื้อให้มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศ เพราะขณะนี้กำลังซื้อกำลังขาดแคลน ซึ่งจะกระทบต่อหลายภาคส่วน ดังนั้น ไม่กังวลใจกับคำถามที่ว่า ในปี 2568 สถานการณ์การเมืองจะวุ่นวายและโดนรัฐประหาร โดยรัฐบาลจะอยู่ครบ 4 ปี และทุกปัญหาเราสามารถจัดการได้ด้วยความเข้าใจและความอดทน
ผู้สื่อข่าวถามถึงคดีความต่างๆ ที่โดนร้องเรียนอยู่ในขณะนี้ ปลายทางจะสิ้นสุดในปี 2568 จะทำให้รัฐบาลนี้อายุสั้นหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า ยังไม่ทันทำอะไรเลย คิดว่ารัฐบาลนี้ผิดแล้วหรือ สิ่งที่ร้องเรียนมาไม่มีความผิดก็เยอะ ตนมองว่าอย่าด่วนตัดสินใจและไปประเมินบนฐานที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ต้องให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไป และถึงแม้ว่าจะผิดหรือไม่นั้นก็มีทางทางออก
เขาบอกว่า สมมุติหากมีกระบวนการที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เผชิญ กลไกของรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยก็ยังทำงานได้ ซึ่งในส่วนของพรรคเพื่อไทยยังมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อคนที่ 3 ถ้าหากเราโชคร้ายและเกิดกระบวนที่มีปัญหา แต่หากมองว่าคนที่ 3 ไม่เหมาะสม พรรคการเมืองต่อไป คนที่ 1-2 ก็ยังทำหน้าที่ต่อไปได้ ทั้งนี้ กระบวนการประชาธิปไตยเราไม่ใช่เจ้าของสิทธิ เราเป็นเพียงเจ้าของสิทธิเพียงคน 3 คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งหากความร่วมมือในการแก้ปัญหายังไม่มีความขัดแย้งก็สามารถเดินต่อได้ เพราะประชาธิปไตยไม่ได้ผูกขาดไว้ที่ใคร
เป็นตัวแทนที่มาตามระบบ
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าจะไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง ทั้งการยุบสภาหรือการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ ชี้แจงว่า พูดตามกลไกและตามระบบ ซึ่งอยากเห็นทั้ง 2 อย่างนี้ทำหน้าที่ แต่เวลามีปัจจัยหรือเงื่อนไขที่แทรกซ้อนอื่นๆ ไม่ใช่การเกิดตามระบบ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเรา ตนเป็นตัวแทนที่มาตามระบบ หากไม่เชื่อมั่นในระบบแล้วจะไปเชื่อมั่นในอะไร ไปเชื่อมั่นในแนวทางอื่นซึ่งไม่ใช่แนวทางที่ดีในระบอบประชาธิปไตย ฉะนั้นต้องถือว่าเชื่อมั่น แต่จะถูกหรือผิดต้องดูตามความเป็นจริง หากเราเดินตามจุดหมายนี้อย่างชัดเจน และประชาชนมีความเข้าใจได้มากขึ้น
"ผมเสนอว่าประชาธิปไตยไม่ควรสะดุด ขาดตอน ควรให้มีพัฒนาการไป แม้ว่าจะผ่านมือใครหรือจะเปลี่ยนอะไรก็ทำ และประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้วล้วนมีพัฒนาการทั้งนั้น พัฒนาที่เกิดขึ้นคือเรียนรู้ของคนในระบอบประชาธิปไตย ดีกว่ามาตัดตอนแล้วหาทางลัด ซึ่งผมไม่เห็นด้วย"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยมาจนถึงพรรคเพื่อไทย มักจะโดนในลักษณะนี้ จะมีวิธีการป้องกันอย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องเคารพและเชื่อมั่นในสิ่งที่เป็นอยู่ ทำความเข้าใจกับคนในสังคมให้เข้าใจกลไกที่ทำหน้าที่ ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดความเลวร้ายที่เกิดขึ้นและสร้างความเสียหาย ส่วนจะทำได้มากแค่ไหน อยู่ที่กระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยภายในประเทศ
ถามถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเดินคู่ขนานช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงเลือกตั้ง มองในอนาคตอย่างไรบ้าง รองนายกฯ อ้างว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่านายทักษิณมีความห่วงใย มีใจเชียร์ให้กับพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จ การที่เคยเป็นบุคคลก่อตั้งพรรคไทยรักไทยและพัฒนาการมาเป็นพรรคเพื่อไทย ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าความสัมพันธ์ของคนในองค์กรรู้สึกดีต่อกัน หรือแม้กระทั่งประชาชนที่อยู่ข้างนอกยังชื่นชมในวิธีการจัดการปัญหาของนายทักษิณไม่น้อย
ฉะนั้น ถ้ากฎหมายเปิดให้มามีบทบาทหรือช่วยเหลือพรรคได้ ก็ถือว่าเป็นไปตามกระบวนการ แต่ถ้ากฎหมายไม่เปิดโอกาส ก็ไม่สามารถมาร่วมได้ วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่พรรคเพื่อไทย แต่พรรคประชาชนก็ยังมีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย จึงอยากกราบเรียนว่า การเข้ามาของนายทักษิณ สามารถเข้ามาช่วยได้ในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่งตามกรอบกฎหมายที่อนุญาต อย่างไรก็ดี การที่นายทักษิณเข้ามาช่วยมีทั้งด้านบวก คนที่ศรัทธาเห็นชอบนิยมก็พร้อมที่จะสนับสนุนในสิ่งที่เขาสนับสนุนด้วย แต่ด้านลบ หากไม่ชอบ ก็จะมีการคัดค้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว อย่าไปมองเกินไปว่าจะเกิดความไม่ดีไม่งามเกินไป
ต้องการให้ประเทศเดินหน้า
นายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ทางการเมือง ที่หลายคนถามรัฐบาลจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ ว่าหากดูจากปรากฏการณ์ยกมือโหวตสวนของพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นรัฐบาลผสม ไม่ใช่รัฐบาลที่มีความเห็นเหมือนกัน แต่มีจุดหมายร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลผสมร่วมกัน 6 พรรคการเมือง ซึ่งการมาร่วมกันเพราะมีวัตถุประสงค์คือต้องการให้ประเทศเดินหน้า เพราะเห็นปัญหามานานกว่า 10 ปี ซึ่งในความจำเป็นและความเห็นพ้องต้องกัน จึงพยายามร่วมกันให้มากที่สุด
"การเป็นรัฐบาลหลายพรรคพยายาม ผมเปิดมุมมองให้ผู้สื่อข่าวที่เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งผมพยายามอธิบายให้เข้าใจ และสิ่งที่ผมอยากเห็นคือความสอดคล้องในการทำงานร่วมกันมากที่สุด เพราะประเทศบอบช้ำมาเป็นเวลานานนับสิบปี จึงต้องการความเชื่อมั่น โอกาส และกำลังใจในการทำงานร่วมกันถึงที่สุด สร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศและประชาชน รัฐบาลมีหน้าที่คิดและผลักดัน ซึ่งผมคิดว่าจะเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือกันทุกฝ่าย เพื่อให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าอย่างดี และผมอยากคุยแลกเปลี่ยนบอกความในใจ ไม่ว่าจะเห็นเหมือนหรือเห็นต่างก็ว่ากันไป"
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย ที่ตอบโต้กันไปมา นายภูมิธรรมตอบว่า เรื่องนี้ตนไม่กังวล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการโหวตสวนของพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ เห็นเหมือนกันหมดก็แปลว่าเป็นพรรคเดียวกัน แต่เพราะคนละพรรคจึงมีความเห็นที่ต่างกัน ซึ่งการเห็นต่างแต่ร่วมกันได้แสดงว่าต้องมีจุดร่วม ซึ่งทุกคนอยากเห็นประเทศเดินหน้า หรือแม้กระทั่งสีต่างๆ ก็ยังพอกลมกลืนกันได้ ดังนั้น เรื่องนี้ตนคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณีสถานการณ์การเมืองในปี 2568 จะมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้หรือไม่ ว่ารัฐบาลชุดนี้มีเสถียรภาพสูง เพราะในรอบหลายปีที่ผ่านมาไม่ค่อยมีรัฐบาลที่มีเสียงในสภาเกินกึ่งหนึ่งเทียบเท่ากับรัฐบาลนี้ ดังนั้น เมื่อเสถียรภาพในเชิงการเมืองจึงมีสูงอย่างแน่นอน ยังไม่เห็นปัจจัยอะไรที่จะทำให้รัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้ เพราะนายกรัฐมนตรีสามารถแสดงภาวะความเป็นผู้นำได้ชัดเจน สามารถนำพารัฐบาลได้ ความร่วมมือระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็เป็นไปได้ด้วยดี ปัญหาปลีกย่อยก็เป็นเรื่องปกติ แต่ต้องมาหาวิธีแก้ไข ไม่มีเรื่องใดที่ขัดแย้งกันจนหาทางกลับไม่ได้
ภูมิใจไทยแค่แสดงจุดยืน
เมื่อถามถึงปัจจัยภายนอก ทั้งเรื่องชั้น 14 และม็อบทั้งของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายจตุพร พรหมพันธุ์ จะมีผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ เขาตอบว่า เรื่องนี้มีคำชี้แจงของฝ่ายที่ถูกพาดพิงออกมาแล้ว อ้างอิงไปตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญและระเบียบต่างๆ ส่วนใหญ่มีเหตุและผล แต่หากยังเป็นที่กังขา ไม่น่าไว้วางใจ ก็ยังมีสภาที่เป็นเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งแต่ละคนก็ต้องไปชี้แจง
ถามว่า จากภาพที่นายอนุทินไปตีกอล์ฟกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อไปนี้พรรคภูมิใจไทยจะขวางพรรคเพื่อไทยอีกหรือไม่ นายอนุทินยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ขวาง ภูมิใจไทย แค่แสดงจุดยืนและความเห็นในเรื่องที่พรรคเชื่อถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกันพรรค เคารพเสียงส่วนใหญ่ เราได้แสดงเจตนารมณ์ของเราไปแล้ว แต่เมื่อต้องใช้มติจากสภาแล้วมติออกมาไปอีกทางหนึ่ง ภูมิใจไทยก็เคารพเสียงข้างมาก ก็ถือว่าจบไป เช่น ร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่เราแพ้โหวตเรื่องล็อก 2 ชั้น เราก็จบ
ซักว่ามีการวิเคราะห์ว่ารัฐบาลชุดนี้มารวมกันเพราะไฟต์บังคับ นายอนุทินชี้ว่า เป็นการบังคับที่ทำให้รัฐบาลต้องทำงานอย่างหนักเพื่อประชาชน ไม่ใช่การบังคับให้มาร่วมกัน
ส่วนคำถามที่ว่า รัฐบาลนี้ขาดพรรคภูมิใจไทยได้หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่มีใครในโลกนี้ที่ขาดไม่ได้ เมื่อถึงเวลาต้องขาดก็ขาดกันได้ทั้งนั้น "nothing is indispensable"
ถามว่า รัฐบาลชุดนี้จะอยู่จนครบวาระและทำงานต่อในรัฐบาลหน้าด้วยหรือไม่ รมว.มหาดไทยตอบว่า ต้องแยกให้ถูก คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เข้ามาบริหารประเทศ ในรัฐบาลผสม 5-6 พรรค การนำที่ชัดเจนคือนายกรัฐมนตรี ใครบอกว่าตัวเองเป็นหัวหน้าพรรค จะไม่ฟังนายกรัฐมนตรี ก็มาร่วม ครม.ไม่ได้ ส่วนในสภาเป็นการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ทุกคนมีเอกสิทธิ์ในการแสดงออก
"รัฐบาลจะอยู่ได้หรือไม่ได้ก็ไม่เกี่ยวกับสภา ถ้านโยบายไหนเป็นของ ครม. ทำร่วมรัฐบาลทุกพรรคก็ต้องให้การสนับสนุน ซึ่งเราก็ทำเช่นนั้นมาโดยตลอด แต่ในเรื่องของสภา การแก้ไขรัฐธรรมนูญ บางพรรคบอกควรแก้ บางพรรคบอกไม่ควรแก้มาตรานี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภา จะเอามาควบรวมไม่ได้"
เมื่อถามว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทยมีประเด็นร้อนหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องชั้น 14 จะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ หรือเป็นชนวนเหตุให้มีอำนาจอื่นเช่นรัฐประหารเข้ามาแทรกหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ดูจากคนในคณะรัฐมนตรีและแกนนำทางการเมือง ก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นการจะร้อนหรือไม่ร้อน อยู่ที่การกระพือข่าวของโซเชียลและสื่อมวลชน ไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิด แต่คนที่ทำงานอยู่ตอนนี้ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ทำให้ถูกทำนองคลองธรรม ตามระเบียบ ไม่ก่อให้เกิดความไม่สงบ มันก็จะอนุมานได้ว่าไม่ควรเกิดสิ่งที่อยู่นอกระบบ แต่ถ้าวันๆ เอาแต่หาเรื่องทะเลาะกัน ขัดขวางทุกเรื่อง พูดจาดูหมิ่นดูแคลน กระแทกแดกดันกัน ก็จะเพิ่มโอกาส ให้อำนาจนอกระบบเข้ามาได้
รัฐบาลทำอะไรผิดหรือยัง
ซักว่า ม็อบที่ต่อต้านนายทักษิณ จะส่งผลกระทบกับต่อรัฐบาลหรือไม่ รมว.มหาดไทยถามกลับว่า รัฐบาลทำอะไรผิดหรือยัง ตนยังไม่เห็น ตอนนี้พยายามผลักดันนโยบายที่เคยสัญญาไว้กับประชาชนทุกโครงการ ในรัฐบาลยังไม่มีใครเคยมาพูดเรื่องเหล่านี้ หรือปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกันดีแม้แต่ครั้งเดียว พูดแต่เรื่องการคลายความเดือดร้อนและการแก้ปัญหาให้ประชาชน
เมื่อถามว่า แสดงว่าม็อบต่อต้านนายทักษิณไม่มีผลต่อรัฐบาลเลยใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องกับใครทั้งสิ้น การจะเรียกร้องอะไรมีช่องทางให้เรียบร้อย ซึ่งเรื่องชั้น 14 ก็มีคนไปร้องเรียน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว และน่าจะมีการอภิปรายในสภาทั้งแบบลงมติและไม่ลงมติ คนที่เกี่ยวข้องต้องไปชี้แจง ไม่เว้นแม้แต่กระทรวงมหาดไทย เช่น เรื่องเขากระโดง ก็ต้องไปชี้แจง ไม่มีใครโอดครวญ
รมว.มหาดไทยยังกล่าวถึงข้อพิพาทเรื่องพื้นที่เขากระโดง หลังนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และกรมที่ดินลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. โดยระบุว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก้าวล่วงสิทธิของชาวบ้าน เพราะอยู่มาก่อน การรถไฟฯ ขณะที่ รฟท.ก็ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่าที่ดินดังกล่าว 5,000 กว่าไร่เป็นกรรมสิทธิ์ของรถไฟ ว่า ได้ติดตามเหตุการณ์ดังกล่าว และได้อ่านแถลงการณ์ดังกล่าวของ รฟท.แล้ว จึงได้โทร.ไปสอบถามอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งท่านยืนยันว่าไม่ใช่แบบที่ รฟท.อ้าง และได้อธิบายไปหลายครั้งแล้ว รวมถึงที่ผ่านมาก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฎีกาและศาลปกครองครบถ้วนจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ดังนั้นจึงต้องรอคำพิพากษาของศาลปกครอง หลังกรมที่ดินรายงานข้อสรุปของคณะกรรมการตามมาตรา 61 ที่ไม่เพิกถอนที่ดินของชาวบ้าน ว่าศาลปกครองจะมีความเห็นอย่างไร
นายอนุทินกล่าวว่า จากนั้นตนได้ถามอธิบดีกรมที่ดินว่า หากตัวเองไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และไม่มีเครือข่ายอยู่ในกระทรวงมหาดไทย ผลของคณะกรรมการตามมาตรา 61 อธิบดีกรมที่ดินจะวินิจฉัยออกมาเช่นนี้หรือไม่ ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินยืนยันว่าผลก็จะเป็นเช่นนี้ พร้อมยอมรับว่า กรณีตัวเองมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มันทำให้งานของอธิบดีกรมที่ดินลำบากขึ้นด้วย ต้องมานั่งแบกเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะทำให้อยู่ในความสนใจของประชาชน
เขาบอกว่า ในเมื่อเรื่องเขากระโดง แต่ละฝ่ายทั้งกรมที่ดินและการรถไฟฯ ก็มีจุดยืนของตัวเองแตกต่างกัน รวมถึงประชาชนบนเขากระโดงก็มีสิทธิในการปกป้องความชอบธรรมของตัวเอง ในเมื่อ 3 จุดนี้ไม่ตรงกัน และขณะนี้เรื่องขึ้นอยู่ในชั้นศาลแล้ว ก็ควรรอให้ศาลตัดสิน ทั้งนี้ ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการว่าให้กรมที่ดินห้ามทำอะไร เข้าข้างฝ่ายใด หรือให้การช่วยเหลือเกื้อกูลใครโดยเด็ดขาด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘จตุพร’ อ่านเกม ดีลลับหมดอายุ เม.ย.ปิดฉาก ‘ทักษิณ’ I อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
‘จตุพร’ อ่านเกม ดีลลับหมดอายุ เม.ย.ปิดฉาก ‘ทักษิณ’ อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568
เปิด 4 ทางเลือก! ความเป็นไปได้ หลังสภาล่ม-ร่างแก้ไขรธน.จะเดินหน้าอย่างไร?
การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรงที่สุดของรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมสองฉบับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แต่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกิด “ล่ม” ขึ้นอีกครั้งเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ
ขีดเส้น15ปีล่าตัว‘หมอบุญ’
อัยการคดีพิเศษยื่นฟ้องลูก-เมียหมอบุญ กับพวกรวม 13 คน ผิดเเชร์ลูกโซ่-ฉ้อโกง
ล่มอีก!รื้อรธน.ค้าง พท.รับจงใจหวังรักษาญัตติ/ปชน.ชงยุบสภาให้ปชช.ตัดสิน
สภาล่มซ้ำสอง! แก้ รธน.ไม่ถึงฝั่ง "ชลน่าน" ชิงนับองค์ประชุม "สส.-สว." มาแค่ 175 คน
อนุทินฉุนซัดหน้าตัวเมีย คุ้ยสนามกอล์ฟปากช่อง
“เสี่ยหนู” เดือดซัดหน้าตัวเมีย การเมือง 500 ล้านเปอร์เซ็นต์คุ้ยสนามกอล์ฟครอบครัวที่ปากช่อง
‘อิ๊งค์’ปลื้มซีลชายแดน
นายกฯ นั่งหัวโต๊ะถกฝ่ายมั่นคง-ผู้นำเหล่าทัพ ขอบคุณร่วมแก้ปัญหาทุกมิติ