ย้ำ1ก.พ.คนละครึ่ง สังศิตวัดใจ‘กาสิโน’

คนละครึ่ง

ธนกรบอก “ลุงตู่” ห่วงใยประชาชน เร่งคนละครึ่งเฟส 4 ให้เร็วขึ้น  เตือน 1 ก.พ. ขาประจำอย่าลืมยืนยันสิทธิ   ส่วนรายใหม่ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 10 ก.พ. “อนุพงษ์” กำชับผู้ว่าฯ ใช้กฎหมายกักตุนโภคภัณฑ์เต็มสูบ สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจคนส่วนใหญ่ไม่มั่นใจรัฐแก้ของแพง  “สังศิต” ชงหารายได้ผุดกาสิโนตามแบบสิงคโปร์

เมื่อวันที่ 30 ม.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มทุกสาขาอาชีพ สั่งเร่งบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพของประชาชนจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 กรอบวงเงิน 34,800 ล้านบาท จำนวน 29 ล้านสิทธิ์ โดยสนับสนุนวงเงินไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน และไม่เกิน 1,200 บาทต่อคน

นายธนกรระบุว่า กระทรวงการคลังได้เร่งให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งเฟส 4 ได้เร็วขึ้น เริ่มวันที่ 1 ก.พ. โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.ประชาชนที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 (กลุ่มเดิม) 27.98 ล้านสิทธิ์ กลุ่มนี้สามารถกดยืนยันสิทธิในแอปเป๋าตังได้เลยในวันที่ 1 ก.พ. เวลา 06.00 น.เป็นต้นไป และต้องเริ่มใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ภายในวันที่ 28 ก.พ. เวลา 22.59 น. หากพ้นกำหนดจะถูกตัดสิทธิ์ โดยสิทธิ์ที่เหลืออาจนำมาพิจารณาเปิดให้ลงทะเบียนอีกครั้ง และ 2.ผู้ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการ เพิ่มให้อีกกว่า 1 ล้านสิทธิ์ เพื่อให้ครบ 29 ล้านสิทธิ์ โดยกลุ่มใหม่นี้สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. และสามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ.ถึง 30 เม.ย. ซึ่งสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com

"นายกฯ ได้เร่งรัดโครงการคนละครึ่งเฟส 4 ให้เร็วขึ้น จากเดิมที่ได้กำหนดช่วงเดือนมีนาคม แต่ท่านนายกฯ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อน ทุกฝ่ายจึงได้ช่วยกันทำให้โครงการสามารถใช้ได้เร็วขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.นี้ และท่านนายกฯ ยังได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบระบบให้พร้อมใช้การ ช่วยลดภาระประชาชนได้ทันที" นายธนกรกล่าว

ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ ระบุว่า ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ ออกประกาศกำหนดให้เนื้อสุกร หรือโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น ไข่ไก่ น้ำมันพืช ยารักษาโรค เวชภัณฑ์เกี่ยวกับการรักษาโรค ฯลฯ ซึ่งมีปัญหาการกักตุนหรือเกิดภาวการณ์ขาดแคลนโภคภัณฑ์ในท้องตลาดอย่างผิดปกติ เป็นโภคภัณฑ์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประสงค์จะสำรวจตามกฎหมายว่าด้วยการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ในเขตท้องที่จังหวัดนั้นๆ และบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยการสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์โดยเคร่งครัด

วันเดียวกัน สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,383 คน ถึงสินค้าที่จำเป็นที่ประชาชนพบเห็นหรือซื้อแพงกว่าปกติมีอะไรบ้าง พบว่า

92.75% เนื้อหมู, 72.44% ข้าวแกงกับข้าวถุง อาหารตามสั่ง, 71.79% ไข่ไก่ ไข่เป็ด, 57.07% น้ำมันพืช และ

56.13% เนื้อไก่ และเมื่อถามถึงสาเหตุใดที่ทำให้สินค้าแพง พบว่า 65.02% โรคระบาดในสัตว์, 64.22% มีการกักตุนและปั่นราคาสินค้า, 63.13% พ่อค้า นายทุน ฉวยโอกาสขึ้นราคา                 

และเมื่อถามว่าประชาชนเองแก้ปัญหาสินค้าแพงอย่างไร พบว่า 77.20% ควบคุมการใช้จ่าย/ประหยัด/ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น, 66.67% ใช้สินค้าชนิดนั้นลดลง/ใช้ให้น้อยลง/ลดปริมาณการใช้,  57.37% เปลี่ยนไปกินอย่างอื่นแทนที่ยังไม่ขึ้นราคา ถามต่อว่าประชาชนอยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาสินค้าแพงอย่างไร พบว่า

58.99% พูดความจริง ไม่ปิดบังข้อมูล,  58.27% ตรึงราคา ควบคุมราคาสินค้า  และ 52.15% ลดภาษีน้ำมัน                       “ประชาชนคิดว่าใครหรือหน่วยงานใด ควรเข้ามาแก้ปัญหาสินค้าแพง พบว่า 79.60% กระทรวงพาณิชย์, 57.88% กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ 55.82% นายกฯ และเมื่อถามว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาสินค้าแพงของรัฐบาลในระดับใด 47.27% ไม่ค่อยเชื่อมั่น, 35.42% ไม่เชื่อมั่น,  15.27% ค่อนข้างเชื่อมั่น และ 2.04% เชื่อมั่นมาก” สวนดุสิตโพลเผย และถามว่าภาพรวมประชาชนสามารถแบกรับภาระราคาสินค้าแพงไปได้อีกเท่าใด พบว่า  34.93% ไม่เกิน 3 เดือน, 28.53% ไม่เกิน 6 เดือน, 18.56% ไม่เกิน 1 เดือน และ 17.98% มากกว่า 6 เดือน

วันเดียวกัน นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ได้รับเชิญจาก กมธ.วิสามัญศึกษาเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) และกาสิโน สภาผู้แทนราษฎร ให้ไปแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนความคิด โดยรูปแบบและการลงทุนในเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์นั้น สิงคโปร์โมเดลน่าจะเป็นโมเดลที่ดีที่สุดในโลกในขณะนี้ เนื่องจากกาสิโนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถานบันเทิงแบบครบวงจรทั่วทั้งโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย เป็นต้น ต่างมุ่งจูงใจให้นักเล่นการพนันเข้าไปเล่นการพนันในกาสิโน แต่สำหรับสิงคโปร์แล้ว กลับไม่จูงใจและไม่แข่งขันที่จะดึงนักการพนันเข้าประเทศ แต่มุ่งไปที่กลุ่มไมซ์ ซึ่งได้แก่กลุ่มวิชาชีพต่างๆ และผู้ประกอบการทางด้านธุรกิจเป็นหลัก ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ใช่นักการพนันโดยตรง ดังนั้นกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้าไปเล่นกาสิโนในประเทศสิงคโปร์จึงไม่ใช่นักการพนัน หรือมีจุดมุ่งหมายจะไปกาสิโน เพราะต้องการเล่นการพนัน นี่เป็นการหากลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่ไม่ต้องไปแข่งขันกับประเทศต่างๆ ที่มีกาสิโนอยู่แล้ว

“สิงคโปร์โมเดลเปิดให้มีกาสิโนสองแห่งแข่งขันกัน ที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นในการประมูลให้สัมปทานแก่สถานกาสิโน นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่สุดที่มีบรรษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกเข้าแข่งขันกันอย่างโปร่งใส นอกจากนี้คือการมีกฎหมายที่ให้อำนาจแก่รัฐบาลค่อนข้างสูงมากที่จะให้ใบอนุญาตหรือสามารถถอนคำสั่งหรือยกเลิกใบอนุญาตเมื่อไหร่ก็ได้ หากรัฐบาลพบว่ามีการกระทำของผู้ประกอบการหรือพนักงานที่ไม่สุจริต นอกจากนี้ กฎหมายของสิงคโปร์มีการควบคุมการเล่นการพนันและนักการพนันมากกว่ากฎหมายทุกแห่งในโลก”

ประธาน กมธ.แก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ กล่าวอีกว่ารัฐบาลควรชี้แจงกับประชาชนให้เห็นอย่างชัดเจนว่านโยบายการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโนมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อมุ่งหารายได้ให้แก่รัฐบาลและประชาชนมากยิ่งขึ้น การใช้พื้นที่สำหรับกาสิโนจะอยู่ในราว 3-5%ของพื้นที่ทั้งหมดในสถานบันเทิงครบวงจร พื้นที่ที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นห้องประชุมและสถานที่จัดแสดงสินค้านานาชาติ มีโรงแรมทันสมัย เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและสันทนาการของนักท่องเที่ยวและครอบครัว เป็นสถานบันเทิง ภัตตาคาร ร้านค้า แหล่งช็อปปิ้งและสนามแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ เป็นต้น สถานกาสิโนของสิงคโปร์จะแยกขาดออกจากพื้นที่สถานบันเทิงส่วนที่เหลือทั้งหมด

"ในสถานการณ์ปกติของไทย หากมีการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ผมคาดว่ารัฐบาลน่าจะมีรายได้จากธุรกิจนี้อย่างน้อยปีละ 1,000,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานอย่างน้อย 300,000 คนสำหรับเรื่องการเก็บภาษีผู้ที่ได้รับสัมปทานสถานบันเทิงครบวงจรในประเทศ ที่มีการให้สัมปทานแก่ผู้ประกอบการเพียงรายเดียว รัฐบาลจะเก็บภาษีสูงกว่าประเทศที่ให้สถานบันเทิงครบวงจรที่มีการแข่งขันของธุรกิจมากกว่า 2 รายขึ้นไป” นายสังศิตระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง