กสม.ประณาม โจรใต้โหดร้าย ฆ่าเด็ก-ผู้พิการ

กรรมการสิทธิฯ ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำอันโหดร้ายของโจรใต้ ที่จงใจฆ่าเด็ก ผู้หญิง คนชรา และผู้พิการ เรียกร้องให้ผู้ไม่หวังดียุติปฏิบัติการอันโหดร้าย ป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม และขัดต่อหลักการอันดีของทุกศาสนา ผบ.ทบ.สั่ง กอ.รมน.ภาค 4 คุมเข้มความปลอดภัย ขณะที่ "ช่อ-พรรณิการ์" อยู่ยะลา ทำงานอย่างหนักเพื่อเสนอรายงานให้รัฐบาล

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ระบุว่า ตามที่ปรากฏเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ทั้งกรณีที่คนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงเข้าไปบริเวณบ้านหลังหนึ่งในอำเภอตากใบ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3  คน ซึ่งรวมถึงชายชรา และเด็กหญิงอายุ 9 ขวบ  และกรณีที่คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ประกบยิงรถจักรยานยนต์ของหญิงชราตาบอดและบุตรชายในพื้นที่อำเภอจะแนะขณะกำลังกลับจากโรงพยาบาล เป็นเหตุให้หญิงชราตาบอดเสียชีวิตกลางถนน และบุตรชายซึ่งพิการได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น

กสม.ขอประณามการกระทำอันโหดร้ายและอุกอาจของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ที่จงใจฆ่าและทำร้ายประชาชนที่มีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา และผู้พิการ  ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่อาจต่อสู้และคุ้มครองตนเองได้ และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวและญาติมิตรของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

กสม.ขอเน้นย้ำว่า การใช้ความรุนแรงจนเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และเรียกร้องให้ผู้ไม่หวังดียุติปฏิบัติการอันโหดร้าย ป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม และขัดต่อหลักการอันดีของทุกศาสนา โดยขอให้ทุกฝ่ายร่วมกันประณามและส่งเสียงที่แสดงถึงการไม่ยอมรับพฤติกรรมที่โหดร้ายและการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ กสม.ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสืบสวนสอบสวนนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว เพิ่มมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยและสวัสดิภาพให้แก่ประชาชน รวมทั้งเยียวยาความเสียหายอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ  พร้อมกล่าวว่า

“ถึงเวลาแล้วที่เราต้องร่วมกันต่อสู้ โดยอาศัยองค์ประกอบต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และกลไกกระบวนการยุติธรรม มาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน”

พร้อมทั้งสั่งการให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ทั้งในเชิงรับและเชิงรุก ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเน้นการสกัดกั้นการก่อเหตุต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ เพิ่มความเข้มงวดของจุดตรวจ และการลาดตระเวนเชิงรุก ควบคู่กับการใช้มาตรการด้านการข่าวในการติดตาม สืบสวน และจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว

ทั้งนี้ กองทัพบกขอความร่วมมือจากประชาชนให้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน  ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและประชาชนผู้บริสุทธิ์ และหากพบเห็นบุคคลต้องสงสัย หรือพฤติกรรมผิดปกติในพื้นที่ สามารถแจ้งเบาะแสได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4  ส่วนหน้า โทร. 1341 หรือแจ้งต่อหน่วยเฉพาะกิจของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ใกล้เคียง

นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา  กล่าวว่า การก่อเหตุต่อคนไทยพุทธ มาจากการที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้เปิดยุทธการในการกวาดล้างปิดล้อมพื้นที่เป้าหมายของกองกำลังติดอาวุธ และแนวร่วมของบีอาร์เอ็น และจับกุมผู้ก่อเหตุได้จำนวนกว่า 10 คน จึงเป็นเหตุให้แกนนำบีอาร์เอ็นสั่งการให้กองกำลังติดอาวุธออกมาตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งการยิงและวางระเบิดอาสารักษาดินแดน  ตชด. และทหาร รวมทั้งชาวไทยพุทธที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอ ซึ่งขณะนี้ยังมีชุมชนไทยพุทธเป็นจำนวนไม่น้อยที่อาจจะเป็นเป้าหมายของการเป็นเหยื่อสถานการณ์ จึงขอให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยกระดับการรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น รวมทั้งการแจ้งเตือนให้ชุมชนไทยพุทธระวังป้องกันตนเอง และไม่เดินทางไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว เพราะอาจจะเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะในเดือน พ.ค.นี้ อาจจะมีการก่อเหตุร้ายเพิ่มขึ้นจากกองกำลังติดอาวุธที่เป็นเยาวชนรุ่นใหม่ที่ได้รับการฝึกมาใหม่ตามหลักสูตรมินิคอมมานโด เพราะทดสอบการปฏิบัติการ

เขาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร  ปกครอง สนธิกำลังในการปิดล้อม ตรวจค้น ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุต่อไป อย่ายอมให้บีอาร์เอ็นเอาผู้บริสุทธิ์เป็นตัวประกัน เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติการจับกุมผู้ก่อเหตุมาลงโทษ  เพราะหากเจ้าหน้าที่รัฐถูกข่มขู่โดยเอาผู้บริสุทธิ์มาเป็นตัวประกันเพื่อเปิดโอกาสให้บีอาร์เอ็นก่อเหตุร้ายรายวัน และหลังก่อเหตุไม่มีการจับกุมมาลงโทษ เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้บีอาร์เอ็นอยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่วิธีการในการดับไฟใต้ที่ถูกต้อง รวมทั้งจะทำให้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นรัฐล้มเหลว เพราะไม่สามารถใช้กฎหมายกับคนที่ทำผิดที่เข้าข่ายเป็นอั้งยี่ซ่องโจรก่อการร้ายที่เป็นภัยต่อความมั่นคง

สว.ผู้นี้กล่าวว่า ในการปิดล้อมจับกุมผู้ก่อเหตุในทุกพื้นที่ ขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเป้าหมายให้ชัดเจน ต้องมีหลักฐานในการดำเนินการตามกฎหมาย และต้องมีแผนในการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้บริสุทธิ์เป้าหมายอ่อนแอ กลุ่มเปราะบางทั้งที่เป็นพุทธและมุสลิมในพื้นที่ รวมทั้งเรียกร้องให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้ฝ่ายปกครอง เพิ่มการปฏิบัติการ ดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนให้มากกว่าที่ผ่านมา

ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และกรรมาธิการวิสามัญสันติภาพชายแดนภาคใต้ฯ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ที่กลับมาปะทุรุนแรงต่อเนื่องในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาว่า วันนี้ตนอยู่ที่จังหวัดยะลา เพื่อมาพูดคุยกับกลุ่มผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงในชายแดนใต้มาถึงตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งเป็นคืนที่เกิดเหตุการณ์กับชาวไทยพุทธที่จังหวัดนราธิวาส 2 เหตุการณ์ในคืนเดียว คือที่อำเภอระแงะและอำเภอตากใบ มีผู้เสียชีวิตถึง 4 ราย เป็นทั้งผู้สูงอายุ เด็ก และผู้หญิง เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดใจอย่างยิ่ง

ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ ในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ไม่ใช่แค่มีจำนวนเหตุมากขึ้น แต่เป้าหมายได้เปลี่ยนไปสู่ soft target หรือเป้าหมายอ่อนที่เป็นพลเรือน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว ที่ผ่านมาความรุนแรงมักจะพุ่งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่รัฐ วันนี้ตนจึงอยู่ที่นี่ด้วยจิตใจที่หดหู่ ขอประณามผู้ก่อเหตุไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด เพราะการก่อความรุนแรง การยั่วยุให้เกิดความรุนแรงต่อกันและกัน ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ในชายแดนภาคใต้ดีขึ้น

               น.ส.พรรณิการ์กล่าวต่อว่า ตนในฐานะกรรมาธิการสันติภาพชายแดนใต้ฯ กำลังทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดทำรายงานเสนอต่อรัฐบาล และขอยืนยันว่าสถานการณ์ความรุนแรงจะบรรเทาเบาบางและคลี่คลายลงได้ก็ด้วยปัจจัยเดียว คือรัฐบาลต้องเร่งผลักดันให้เกิดการเจรจาสันติภาพต่อให้ได้ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ความรุนแรงปะทุขึ้นก็คือการเจรจาที่หยุดชะงักมาเป็นปีแล้ว ไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการนัดต่อ

“สิ่งที่รัฐบาลควรทำก็คือต้องหนักแน่น ไม่หวั่นไหวต่อการพยายามก่อความรุนแรงเพื่อล้มการเจรจา เพราะถ้าไม่เจรจาก็ไม่มีทางออกอื่นใดนอกจากความรุนแรงที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ดังนั้นนอกจากการประณามผู้ก่อเหตุความรุนแรงแล้ว เราต้องเรียกร้องให้รัฐบาลกลับสู่การเจรจาสันติภาพ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ลดความรุนแรง และคืนสันติภาพให้เกิดขึ้นในชายแดนใต้ได้โดยเร็ว” น.ส.พรรณิการ์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

วิสุทธิ์รับสภาพลากๆกันไป

"เลขาฯ พท." ลั่นการเมืองไม่มีทางตัน เชื่อฝ่าย กม.ช่วย "นายกฯ อิ๊งค์" ได้แน่ "ปธ.วิปรัฐบาล" รับเสียงปริ่มน้ำแต่ต้องลากกันไปต่อ