ปูดดีลลับถอนกาสิโน แลกฮุนเซนไม่ปล่อย‘คลิปลับ’/เร่งออกหมายแดงล่าก๊กอาน

“จตุพร” จับพิรุธ “ทักษิณ” ถอนกาสิโน-แตกหักฮุน เซน วันเดียวกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แนะคนไทยจับตาท่าทีฮุน เซน ถ้าไม่ฟาดกลับไม่ปล่อยคลิปลับแฉ 7 ชื่อนักการเมืองไทยเพิ่ม  ส่อเข้าเค้าดีลลับถอนบ่อนแลกความเงียบ "แกนนำ คปท." ชี้ "สทร." เข้าข่ายป่วย "บ้าอำนาจ-เพ้อเจ้อ-ลืมว่าเคยโกหก" เทพไทบอกหลงยุคหลงตัวเองขายฝันแก้ตัว "หมอพรทิพย์" รู้สึกสงสารปนสมเพช ดีใจกรรมทำงาน "ตร.ไซเบอร์" สุดขยัน สรุปคดีปล่อยคลิปเสียงสนทนานายกฯ อิ๊งค์ เตรียมส่งสำนวนคลิปเสียงให้อัยการสูงสุดเอาผิด "ฮุน เซน" 14 ก.ค.นี้  "สตช." เร่งประสานตำรวจสากลออกหมายแดงล่าตัว "ก๊ก อาน" มาเฟียใหญ่ปอยเปต

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 นายจตุพร  พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน  เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตั้งข้อพิรุธการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บังเอิญหลายเรื่องเกิดขึ้นในวันเดียวกัน ทั้งถอนร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือบ่อนกาสิโน โชว์วิสัยทัศน์เวทีโอท็อปที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และแสดงความเห็นผ่าทางตันการเมือง ที่เวทีเครือเนชั่นเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น

นายจตุพรกล่าวว่า การปรากฏตัวและเกิดสถานการณ์ในวันเดียวถึง 3 เหตุการณ์ คือ การพูดซอฟต์พาวเวอร์เพื่อยกระดับชื่อ รมว.วัฒนธรรมที่เป็นลูกสาว และการเคลียร์เรื่องราวต่างๆ รวมถึงความน่ากังขาภายใต้การถอนร่าง พ.ร.บ.บ่อนกาสิโน และประกาศตัดความสัมพันธ์พี่-น้องกว่า 30 ปีกับฮุน เซน เพราะทำให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเสียหาย ดูเหมือนทางการเมืองไม่ใช่เรื่องโดยบังเอิญ แต่น่าสงสัยว่าได้จัดวางเตรียมการและจัดฉากที่สมจริงสมจังมากที่สุด

"ถ้าเป็นการเล่นละครแล้ว คงเล่นได้เนียนๆ กันมาก จึงเตือนคนไทยอย่าเพิ่งหลงเชื่อกับมายาภาพการเมืองเช่นนี้ของทักษิณ ให้เฝ้ารอดูอาการอีกสักพักว่าจะเกิดแรงกระแทกตามมาจากฝ่ายฮุน เซน  และกัมพูชาหรือไม่ ถ้าฮุน เซนเงียบ จึงน่าสงสัยว่าการถอนร่างกาสิโนเป็นการแลกเปลี่ยนอะไรหรือไม่ ถ้าฮุน เซน ซัดกลับ แสดงว่าเป็นการตั้งข้อสังเกตเหมือนหลังเหตุการณ์ปี 53 ที่เราไปรบ แต่ทุกคนที่ต่อสู้กันไปอยู่ในห้องเดียวกันที่ฮ่องกง ผมตกใจและคาดไม่ถึงเลยว่าเป็นพวกเดียวกัน แล้วไปรบเสี่ยงตายกันทำไม” นายจตุพรกล่าว

นอกจากนี้ นายจตุพรระบุว่า ถ้าไม่เป็นมายาการเมือง ฮุน เซน ต้องเปิดรายชื่อ 7 นักการเมืองฝากเงินในกัมพูชา และทยอยปล่อยคลิปเสียง  มีกี่คลิป เปิดมาเลยวันละคลิป แต่ถ้าฮุน เซน เงียบกริบ แสดงว่าแลกกับกาสิโน

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี  โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ขาประจำ” ระบุว่า ได้ยินนายทักษิณพูดคำว่าขาประจำบ่อยครั้งมาก เมื่อตัวเองได้มีโอกาสแสดงวิสัยทัศน์ แม้แต่ล่าสุดก็จะพูดถึงขาประจำบนเวที คำคำนี้ถ้าฟังผิวเผินเหมือนกับตนเองทำดี ทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อประชาชน แล้วมีคนกลุ่มหนึ่งไม่ชอบตนเองหรืออิจฉา ก็จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ให้ร้ายเพราะอคติ ตนคิดว่าถ้านายทักษิณทำใจให้กว้าง รับฟังมุมเห็นต่าง นายทักษิณอาจจะหูตาสว่างขึ้น ปรับชุดความคิด สามารถนำความรู้ความสามารถมารับใช้ประเทศชาติได้

นพ.วรงค์กล่าวว่า คนกลุ่มที่รู้ทันคุณก็ออกมาเตือนด้วยความหวังดี ให้คุณปรับปรุงให้คุณมีสำนึก แต่คุณกลับไปเรียกคนกลุ่มนี้ว่าขาประจำเพื่อให้เห็นรูปธรรม ในพฤติกรรมของคุณ 1.การป่วยที่ชั้น 14 จนสังคมตั้งข้อสงสัยว่ามีการใช้อำนาจที่ไม่ชอบ 2.นโยบายกาสิโน ดูแล้วคุณมีส่วนเจ้ากี้เจ้าการ ให้รัฐบาลอุ๊งอิ๊งผลักดันนโยบายนี้เพื่อมอมเมาประชาชน 3.กรณีคลิปเสียงที่ฮุน เซน ปล่อยออกมา มันยิ่งสะท้อนถึงชุดความคิดของอุ๊งอิ๊ง และความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกระหว่างครอบครัวกับประโยชน์ของชาติบ้านเมืองและอธิปไตยของชาติ 4.การกล่าวอ้างถึงเบื้องสูง คุณไม่รู้ตัวเลยหรือว่าคุณชอบอ้างเบื้องสูงบ่อยมาก 5.ความไม่อยู่กับร่องกับรอย พูดดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น

ซัด 'ทักษิณ' หลงยุคขายฝันแก้ตัว

"ที่เขียนครั้งนี้ต้องการเตือนสติคุณโดยไม่มีอคติใดๆ เผื่อคุณจะมีสำนึกทำดีให้กับชาติบ้านเมืองในบั้นปลายชีวิต และเชื่อว่าขาประจำจะหมดไป แถมท้ายอีกนิดครับ ผมคิดว่าลูกสาวคุณไม่ได้เรื่อง ควรกลับไปเลี้ยงลูกได้แล้ว" นพ.วรงค์กล่าว

ส่วนนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กถึงนายทักษิณเช่นกันว่า เห็นท่าว่าจะป่วยหนักกว่าการไปนอนชั้น 14 จริงๆ อาการ 10 โรค ที่เชื่อว่าทักษิณกำลังเป็นอยู่ ได้แก่ โรคบ้าอำนาจ โรคเพ้อเจ้อ โรคโลกหมุนรอบตัวเอง โรคเสือกไม่เข้าเรื่อง โรคเอาดีเข้าตัวชั่วให้คนอื่น โรคนึกว่าตัวเองเก่ง โรคพูดข้างเดียว โรคอัลไซเมอร์ ลืมว่าเคยโกหกอะไร โรคหน้าด้าน และโรคทอแล

"อาการแบบนี้นอนชั้น 14 ก็ไม่หาย แนะให้ไปรับยาที่โรงพยาบาลหน้ากระทรวงสาธารณสุขดีกว่า" แกนนำ คปท.ระบุ

เช่นเดียวกับ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์หัวข้อ “ทักษิณ: หลงยุค หลงตัวเอง ขายฝัน แก้ตัว” ตอนหนึ่งระบุว่า ในเวทีผ่าทางตันประเทศไทย พอที่จะสรุปประเด็นการแสดงวิสัยทัศน์ได้ดังนี้ 1.นายทักษิณยังเป็นคนหลงยุค ยังคิดว่าประเทศไทยยุคนี้เหมือนกับ 20 ปีที่แล้ว สมัยที่นายทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ยังใช้แนวความคิดคิดใหม่ทำใหม่ ตามองดาวเท้าติดดินอยู่ ซึ่งในความเป็นจริงโลกเปลี่ยนไปมาก ยุคนี้เป็นยุคดิจิทัล เป็นยุคโลกโซเชียล นายทักษิณยังจมปลักกับแนวความคิดเดิมๆ อยู่

2.นายทักษิณยังหลงตัวเอง พยายามพูดถึงความสำเร็จและผลงานในอดีต ขุดผลงานในอดีตมาขาย ตั้งแต่เรื่องโอท็อป เรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือการแก้ปัญหาต่างๆ ของรัฐบาลในยุคนายทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาเทียบกับยุคนี้ไม่ได้ พยายามที่จะเอาผลงานในอดีตมากลบเกลื่อน และเรียกความเชื่อมั่นให้รัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

3.นายทักษิณขายฝัน เห็นจากการพูดถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องกำแพงภาษีของโดนัลด์  ทรัมป์ บอกว่าใจเย็นๆ มีทางออก อย่าตกใจ พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจไม่ดีก็ต้องใช้เวลา เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้คุมกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด มีพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค การทำงานก็ต้องบูรณาการ และก็ต้องค่อยๆ คิด ส่วนเรื่องความมั่นคง บอกว่าการแก้ปัญหาชายแดนไม่มีเหตุรุนแรง

4.นายทักษิณพูดแก้ตัว จะเห็นได้จากการพูดแก้ตัว เรื่องกรณีคลิปหลุดของสมเด็จฮุน เซน เรื่องรัฐบาลพรรคเพื่อไทยชุดนี้ได้ สส.มาน้อย ทั้งที่ข้อเท็จจริงได้ยกกระทรวงทางเศรษฐกิจให้กับพรรคร่วมทั้งหมด พรรคเพื่อไทยยึดกระทรวงที่ใช้อำนาจทางการเมืองเป็นหลัก เช่น กระทรวงมหาดไทย พยายามพูดดิสเครดิตพรรคภูมิใจไทย ไม่ยอมรับเงื่อนไขในการแลกกระทรวง พูดถึงเรื่องการฮั้ว สว.พูดถึงลูกชายนักการเมืองไปประกาศว่าพ่อจะเป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนกรกฎาคมนี้ พูดถึงทางออกของรัฐบาลชุดนี้ โดยการข่มขู่ว่าถ้านางสาวแพทองธารไปต่อไม่ได้ จะเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าเจอทางตันก็ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่

กรรมกำลังไล่ล่าคนชั่ว

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีต สว. และอดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ก่อนออกเดินทางขอโพสต์มุมมองต่อสิ่งที่น่าจะใกล้จุดจบ ได้เห็นพิธีกรสื่อช่องหนึ่งอวยมาสักพัก จนมาทำหน้าที่สัมภาษณ์ก็ให้รู้สึกว่าเออหนอเงินทำได้ทุกอย่าง  พอเมื่อวานมีการออกมาสำแดงหน้าจอ ก็ใช้วิธีฟังสรุปแทนเพราะให้รู้สึกสงสารสมเพช และดีใจที่กรรมทำงาน ฟังแล้วคุมใจไว้อย่าโกรธ อย่าแช่งให้เปลืองใจเรา

"นี่คือเรื่องราวของคนที่ทั้งตาและใจไม่เห็นธรรม กอบโกยให้ตัวเอง ทำร้ายแผ่นดินเกิด ทำร้ายลูกตัวเองแต่ก็โทษคนอื่นหมด คนชั่วทั้งหลายดูไว้ กรรมกำลังไล่ล่า ทางออกประเทศไทยชัดเจนคนชั่วกำลังถูกจัดการ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ฟังผ่านๆ ไปถ้าหนักใจ" พญ.คุณหญิงพรทิพย์ระบุ

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการ รมว.การต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “จะจบยังไง” ระบุว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียดจบยังไง มีคนถามกันเยอะมาก คำตอบอยู่ที่คนสองตระกูลที่ผลประโยชน์ขัดกัน ทะเลาะ หักหลังกันระหว่างเครือญาติ น้ำมันตัวเดียว ทำเอาชาติวุ่นวายไปหมด ต่างฝ่ายต่างสาดน้ำมันเข้ากองเพลิง มึงแรงมากูแรงไป ไม่มีลดราวาศอก ไม่มีใครคิดที่จะถอนฟืนออกจากไฟ

นายนันทิวัฒน์กล่าวว่า ล่าสุด สทร.ก็ออกมาฟาดเพื่อนรู้จัก เพราะลูกสาวเพลี่ยงพล้ำ สร้างสตอรี่ก่อนคลิปหลุดเผื่อใช้ในศาล ตรวจจับก๊ก อาน คนสนิทฮุน เซน คดีฟอกเงิน คนสนิทฮุน เซน ในไทยไม่ใช่มีคนเดียว ทุบทั้งทีทุบให้หมด อย่าทิ้งเชื้อไว้ เอาให้สุดๆ ไปเลย วิกฤตนี้พิสูจน์ให้ชาวโลกได้รับรู้ว่า ยามมีภัย คนไทยสามัคคี ไม่แตกแยก ใครมียางรถ ใครมีอะไร เอามาให้ทหารหมด แม้แต่รถเอทีวีราคาแพงก็ให้ได้ คนไทยยืนเคียงข้างทหารพร้อมสนับสนุน

"ขณะที่พรรคการเมือง นักการเมือง สภาต่ำเตี้ย สนใจแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ฝ่ายค้านไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล จะไม่ให้คนไทยสงสัยได้ยังไงว่าพวกเดียวกัน เวทนานักการเมืองไทย มีเหมือนไม่มี เลี้ยงไว้ก็เปลืองข้าวสุก เงียบเป็นเป่าสาก" อดีตรอง ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติระบุ

ตร.สรุปคดีคลิป 'อิ๊งค์-ฮุน เซน'

วันเดียวกัน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (ผบก.สอท.1) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่นายสมคิด เชื้อคง แจ้งความกับตำรวจไซเบอร์เอาผิดสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา กรณีเผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับ น.ส.แพทองธารว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐาน ขณะนี้สามารถสรุปสำนวนได้แล้ว  โดยจะส่งสำนวนให้กับอัยการสูงสุดในวันจันทร์ที่ 14 ก.ค.นี้

"สาเหตุที่ส่งให้กับอัยการสูงสุด เพราะคดีดังกล่าวเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ว่าด้วยการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โดยขั้นตอนหลังจากนี้ จะเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดในการพิจารณาสำนวนว่าจะดำเนินการเอาผิดหรือไม่ ซึ่งหากจะเอาผิด ก็จะมีการออกหมายจับและประสานกับอินเตอร์โพลเพื่อออกหมายแดงต่อไป" ผบก.สอท.1 กล่าว

ขณะที่ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีตำรวจออกหมายจับนายก๊ก อาน เจ้าพ่อบ่อนปอยเปต กัมพูชา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงคนไทยและคนต่างชาติไปทั่วโลกว่า รัฐบาลรับทราบรายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ดำเนินการเข้มข้นในการสืบสวนสอบสวน และจับกลุ่มกลุ่มคอลเซ็นเตอร์และผู้อยู่เบื้องหลังอย่างต่อเนื่อง

นายจิรายุกล่าวว่า ตร.ได้รับนโยบายตามข้อสั่งการของนายกฯ เมื่อ 3 เดือนที่แล้วให้ดำเนินการจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ในขณะเดียวกันยังได้รับรายงานอีกว่า ยังมีอีกหลายกลุ่มที่ยังคงปฏิบัติการหลอกลวงประชาชนในหลากหลายรูปแบบ ทั้งโทรศัพท์มาหลอกลวงในรูปแบบเดิมๆ และการส่งจดหมาย หรือแม้กระทั่งการใช้ SMS หลอกลวงก็ยังพอปรากฏให้เห็นอยู่ ซึ่งรัฐบาลได้ให้นโยบายในการปราบปรามอย่างเข้มข้นต่อไป โดยคาดว่าภายในเดือนนี้จะทลายแหล่งตัวการสำคัญเพิ่มเติมนอกเหนือจากกลุ่มนี้

 “ส่วนนโยบายการตัดน้ำตัดไฟฟ้าและระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ต รัฐบาลยังคงไว้ทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกเพื่อตัดวงจรของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ต่อไป ขณะที่การประสานงานข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ UNOCS และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล  ที่ระบุว่าประเทศกัมพูชาเป็นแหล่งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ระดับโลกนั้น รัฐบาลไทยจะดำเนินการประสานงานกับทุกประเทศเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป” นายจิรายุกล่าว

เร่งออกหมายแดงล่า 'ก๊ก อาน'

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ผอ.ศปอส.ตร.) และหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจ UNODC ต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ แถลงผลการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ว่า ปัจจุบันสถานการณ์การหลอกลวงคนไทยของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ผ่านมายังมีที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา และลาว เพื่อที่จะหลอกคนชาติไทยและชาติต่างๆ ทั่วโลก 

พล.ต.อ.ธัชชัยกล่าวว่า จากมาตรการการตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำมันไปยังแนวชายแดนประเทศเมียนมาที่ติดกับประเทศไทย เพื่อกดดันให้มีการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ที่ปกครองโดยชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนระหว่างประเทศเมียนมาและไทย ทำให้เกิดการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขตเมืองชเวก๊กโกและเคเคพาร์ค ซึ่งพบคน 36 สัญชาติ จำนวน 8,893 ราย แต่ยังพบว่ายังมีกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกจำนวนหนึ่งหลบซ่อนและตั้งอยู่บริเวณทางตอนใต้ของเมืองเมียวดี ซึ่งจะต้องมีมาตรการในการดำเนินการอีกต่อไป

"ในส่วนของกัมพูชา พบว่ามีการขยายตัวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งที่หลอกคนไทยและคนชาติต่างๆ ทั่วโลก พบว่ามีการตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา จำนวน 52 จุด 10 จังหวัด โดยส่วนใหญ่ยังอยู่ในเมืองปอยเปต และมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในเขตชายแดนติดกับทางประเทศเวียดนาม มีแก๊งชาวจีนเป็นผู้บริหารจัดการ ได้รับความคุ้มครองจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ในห้วงที่ผ่านพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการขยายตัวจากประเทศกัมพูชาเช้ามาในประเทศไทยบางส่วน แต่ทางการไทยสามารถดำเนินการกวาดล้างจับกุมได้ โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้มุ่งหลอกคนชาติอื่นไม่ใช่คนไทย อาทิ ออสเตรเลีย เวียดนาม เกาหลี จีน" พล.ต.อ.ธัชชัยกล่าว

ผอ.ศปอส.ตร.กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกำหนดยุทธศาสตร์ ผนึกกำลังประชาคมโลก ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ โดยกำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 5 ด้าน (I 2L AI) 1.การทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอาคาร (Infrastructure) ได้แก่ ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต 2.การตัดเครือข่ายขบวนการนำพา ได้แก่ เพจโฆษณา หางาน เพจจัดหาบัญชีม้าและคริปโตฯ แอปในการติดต่อหายานพาหนะ กลุ่มรถรับจ้าง กลุ่มนำพาข้ามแดน การซีลชายแดน กลุ่มจัดหาบัญชีม้าและคริปโตฯ 3.การบังคับใช้กฎหมายและยึดทรัพย์โดยมุ่งเน้นไปที่เจ้าของอาคารคอลเซ็นเตอร์ ผู้บงการ ผู้บริหารจัดการ ผู้ให้ความคุ้มครอง

4.การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการควบคุมป้องกันไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน หรือใช้ในการหลอกลวง เพื่อลักลอบข้ามผ่านแนวชายแดนไปทำงานที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และ 5.ผนึกกำลังประชาคมโลก ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ โดยนำองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ UNODC, INTERPOL, FBI และประเทศต่างๆ ทั่วโลก มาร่วมปฏิบัติในศูนย์บริหารฉับพลันเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์

"จากปฏิบัติการตรวจค้นเครือข่ายก๊ก อาน เจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจค้นจำนวน 20 จุด 3 จังหวัด กรุงเทพฯ, สมุทรปราการ, ชลบุรี สามารถอายัดเงินสด  27 ล้านบาท รถยนต์หรู และเอกสารสำคัญ ยึดทรัพย์รวมมูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท และจะดำเนินการออกหมายจับผู้มีส่วนร่วมกระบวนการทั้งหมด รวมทั้งให้ตำรวจอินเตอร์โพลออกหมายแดงในการติดตามจับกุมตัว" ผอ.ศปอส.ตร.กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง