จ่อกู้2-3หมื่นล. ตรึงน้ำมันแพง หมู-ไก่ลดราคา

"สุพัฒนพงษ์” แจงสภา น้ำมันไทยไม่แพง เทียบ 8 ประเทศอาเซียนอยู่เกือบรั้งท้าย เตรียมกู้อีก 2-3 หมื่นล้านบาทตรึงราคาน้ำมัน โฆษกรัฐบาลโต้ “หญิงหน่อย” อ้างข้อมูลเก็บภาษีสรรพสามิตดีเซล 6 บาทเป็นเท็จ แจงยิบ “หมู-ไก่” ลดราคาแล้ว ขณะที่ฝ่ายค้านเปิดตัวเลขยุค “บิ๊กตู่” กู้แหลก แต่เศรษฐกิจไม่ขับเคลื่อนเท่าที่ควร

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายกิตติกร โลห์สุนทร ส.ส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามสดเรื่องปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ยอมรับว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจ มีความล่อแหลมและอาจนำไปสู่วิกฤตได้ อย่างไรก็ดี สถานการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐบาลได้ตระหนักต่อการแก้ไขปัญหา ทั้งการใช้กองทุนน้ำมันเพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซล โดยปัจจุบันใช้กองทุนไปแล้ว 1.5หมื่นล้านบาท และยังเตรียมที่จะกู้เงินอีก 2-3 หมื่นล้านบาทเพื่อดำเนินการต่อ  เบื้องต้นอยู่ในกระบวนการกู้เงิน และเชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหา สำหรับข้อเสนอลดส่วนผสมน้ำมันชีวภาพนั้น ที่ผ่านมาลดลงแต่ไม่สามารถทำได้พรวดพราด เพราะจะกระทบกับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน  ทั้งนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการใหม่ๆ เพื่อดูแลประชาชน

“ที่มีผู้ระบุว่าประเทศไทยน้ำมันดีเซลราคาสูงถึงลิตรละ 30 บาท ถือว่าแพงที่สุด จากการค้นข้อมูลพบว่าหลายรัฐบาลมีราคาสูงเช่นเดียวกัน และเมื่อเทียบกับ 8 ประเทศในกลุ่มอาเซียน ยกเว้นบรูไนและมาเลเซีย ที่มีแหล่งพลังงานของตนเองและสามารถส่งออกได้ไม่จำกัด พบว่าประเทศไทยราคาขายปลีกหน้าสถานีบริหารอยู่ในอันดับที่ 6-7 ซึ่งเราไม่แพง ส่วนประเทศที่แพงที่สุดคือสิงคโปร์” รมว.พลังงานกล่าว 

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวด้วยว่า สำหรับค่าไฟฟ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) สั่งการให้พิจารณาในระยะสั้น เพื่อลดการนำเข้าแอลเอ็นจีที่มีราคาแพง โดยใช้วิธีผลิตอื่น เช่น ขยายต่ออายุโรงไฟฟ้าถ่านหิน 1 ปี แม้กระทบสิ่งแวดล้อม แต่มีพื้่นที่ไม่มาก  รับซื้อไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มมากขึ้น โดยให้ร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย กล่าวหารัฐบาลนี้ทำให้ราคาน้ำมันแพงกว่าประเทศอื่นๆ เพราะการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลสูงถึงลิตรละเกือบ 6 บาทว่า ไม่เข้าใจว่าคุณหญิงสุดารัตน์ใช้สมองส่วนไหนคิด เพราะเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง สร้างความสับสนให้กับประชาชน ซึ่งข้อเท็จจริงคือรัฐบาลใช้กลไกเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปช่วยเหลือ โดยการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 3.79 บาท

โดยข้อมูลราคาน้ำมันเฉลี่ยในอาเซียน อ้างอิง ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 5 ราคาน้ำมันของประเทศไทย เบนซินขายอยู่ที่ 34.55 บาท/ลิตร ดีเซลขายอยู่ที่  29.94 บาท/ลิตร, สิงคโปร์ เบนซินขายอยู่ที่ 66.89 บาท/ลิตร ดีเซลขายอยู่ที่  56.07 บาท/ลิตร, ลาว เบนซินขายอยู่ที่ 44.67 บาท/ลิตร ดีเซลขายอยู่ที่  34.75 บาท/ลิตร,   ฟิลิปปินส์ เบนซินขายอยู่ที่ 38.95 บาท/ลิตร ดีเซลขายอยู่ที่ 32.02 บาท/ลิตร,   กัมพูชา เบนซินขายอยู่ที่ 38.19 บาท/ลิตร  ดีเซลขายอยู่ที่  30.88 บาท/ลิตร อยากจะขอร้องคุณหญิงสุดารัตน์ให้หยุดพฤติกรรมปั้นหน้าเศร้าเล่าความเท็จไปวันๆ ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนจะเมินหนี อย่าใช้วิธีการเดิมๆ มาดิสเครดิตรัฐบาล ตนเชื่อว่าประชาชนรู้ทันแล้วว่าที่ผ่านมาคุณหญิงสุดารัตน์ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศบ้าง นอกจากการรับใช้อดีตนายกฯ บางคนที่ทุจริตคอร์รัปชัน

นายธนกรกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความยินดีที่ประชาชนพอใจโครงการคนละครึ่งเฟส 4 ที่กระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริงและต่อเนื่อง ตั้งแต่เปิดโครงการเมื่อวันที่ 1 ก.พ.65 มีประชาชนที่กดยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการระยะที่ 4 แล้ว จำนวน 24.67 ล้านราย ข้อมูล ณ วันที่ 8 ก.พ.2565 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 21.17 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 16,334.6 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 8,269.0 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 8,065.6 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสมแบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 6,062.2 ล้านบาท, ร้านธงฟ้า 3,188.6 ล้านบาท,  ร้าน OTOP 783.8 ล้านบาท, ร้านค้าทั่วไป 5,993.9 ล้านบาท, ร้านบริการ 283.3 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 22.8 ล้านบาท

สำหรับราคาเนื้อหมูเริ่มปรับราคาลงมาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว โดยราคาจำหน่ายหมูเนื้อแดง ส่วนสะโพก ไหล่ ไม่รวมหมูเนื้อแดงปรุงแต่ง อยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 164-170 บาท ลดจากสัปดาห์ที่แล้วที่ราคาเฉลี่ยทั้งประเทศ กก.ละ 187 บาท และตอนนี้เฉลี่ยทั้งประเทศ กก.ละ 175 บาท ทั้งนี้ เป็นไปตามการสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ให้กำกับติดตามสถานการณ์ราคาสินค้า แก้ไขปัญหาและดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนและกระทำความผิดตามกฎหมาย ส่วนสินค้าอุปโภค-บริโภคอื่นเริ่มทยอยปรับราคาลงเช่นกัน อาทิ เนื้อไก่ ราคาจำหน่ายในห้าง เนื้อน่องติดสะโพก กก.ละ 65 บาท ส่วนในตลาดสด ราคาแตกต่างกันแต่ละพื้นที่ เฉลี่ยอยู่ที่ กก.ละ 70-75 บาท และคาดว่าแนวโน้มราคาจะยังทรงตัวต่อไป ส่วนน้ำมันพืชปาล์ม ราคาที่สำรวจจากร้านสะดวกซื้ออยู่ที่ขวดลิตรละ 64-65 บาท และในห้าง 61-62 บาท โดยราคามีแนวโน้มลดลงและทรงตัวในระดับนี้ต่อไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ผักสดมีราคาทั้งเพิ่มขึ้นและลดลง ตามแต่ละพื้นที่ โดยมีต้นทุนค่าขนส่งเป็นตัวแปร ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วๆ ไป ราคาทรงตัว ยกเว้นภาคใต้ ที่ราคาอาจจะสูงกว่าภาคอื่นเล็กน้อย เนื่องจากมีต้นทุนในเรื่องค่าขนส่งจากระยะทางที่ไกล

นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การประชุมเพื่อแก้ปัญหาความยากจน เกิดขึ้นในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์นับครั้งไม่ถ้วน แต่เหตุใดตัวเลขผู้ได้รับสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากดูจากตัวเลขผู้ได้รับสิทธิ์ในปี 2560 อยู่ ที่ 7.7ล้านคน เพิ่มจนมาสูงสุดที่ 14.6 ล้านคนในปี 2562 หรือคิดเป็น 22% ของคนทั้งประเทศ หาก พล.อ.ประยุทธ์มีการขยายสิทธิ์ใหม่ในปี 2565 ภายหลังปรับกฎเกณฑ์ตามมติ ครม.ที่ตั้งเป้าผู้เข้าร่วม 20 ล้านคน หรือคิดเป็น 30% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศในทันที ในขณะที่ตัวเลขคนจนไม่ได้ลดลง

ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์เดินหน้ากู้จนหนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นเดือนธ.ค.2564 อยู่ที่ 9.64 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 10 ล้านล้านบาท หรือ 59.57% ของจีดีพี สะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศแบบกู้แหลก แต่สร้างผลขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจได้น้อย ตัวเลขหนี้สวนทางกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โตเฉลี่ยเพียง 1.66% นับแต่รัฐประหารเป็นต้นมาใช้งบประมาณไปกับโครงการประชานิยมรวมเกือบ 2 ล้านล้านบาท อาทิ 1.โครงการประชานิยมในช่วงปี 2557-2561 ซึ่งมี 19 โครงการ ใช้งบประมาณรวม 8.78 แสนล้านบาท 2.โครงการประกันราคาสินค้าเกษตร ตั้งแต่ปี 2562/63-2564/65 ใช้งบประมาณ 2.61แสนล้านบาท 3.โครงการต่างๆ ที่ออกมาในช่วงของการระบาดของโควิด-19 ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคโควิด-19 รวมกว่า 6 โครงการ ปี 2563-2564 ทั้งคนละครึ่ง 4 เฟส, เราชนะ, ม.33 เรารักกัน, ยิ่งใช้ยิ่งได้, บัตรคนจน,เราเที่ยวด้วยกัน ใช้งบประมาณรวมรวมกว่า 1.15 ล้านล้านบาท จากกรอบวงเงินที่กู้ได้ 1.5 ล้านล้านบาท

ทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊ก "ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut-Chan-o-cha" ระบุว่า เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ได้ประชุม คจพ. ได้เน้นย้ำว่าจะต้อง “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือผู้ป่วยติดเตียง ต้องได้รับการดูแลแบบตามติดครัวเรือนและกลุ่มเป้าหมายอย่างใกล้ชิด ด้วย "ทีมพี่เลี้ยง" และ "เมนูแก้จน" ในลักษณะสั่งตัด (Tailor made) ที่สอดคล้องกับปัญหาของแต่ละคน ไม่ใช่แบบเหมาเข่งเหมือนในอดีต เพื่อตัดวงจรการส่งต่อมรดกความยากจนข้ามรุ่น และความจนต้องหมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทยให้ได้โดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของเรา เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" นั้น รัฐบาลให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์มาเป็นอันดับแรก โดยรัฐบาลได้นำระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า มาใช้เป็นฐานข้อมูลหลัก สำหรับคัดกรองชี้เป้าที่แม่นยำ จนได้กลุ่มเป้าหมายผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง ที่เป็นเป้าหมายการพัฒนาคนในปี 2565 จำนวน 1,025,782 คน สำหรับความท้าทายในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนนี้คือ การแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งในอดีตอาจมีข้อจำกัดในเรื่องของฐานข้อมูลที่กระจัดกระจาย ไม่เป็นเอกภาพ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ยัน ร่วมโต๊ะอาหารเที่ยงกับ 'เอกนัฏ'

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันกับนายกรัฐมนตรีและคณะ