“นายกฯ” โยน “ทรัมป์” ไปคุยกับกัมพูชาให้ทำตามเงื่อนไข 4 ข้อก่อน คุยลงนามสันติภาพ ระบุกรณี “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว” ไม่มีคำว่าเดดไลน์ ยันต้อง “ละมุนละม่อม” ยังเป็นความลับเรื่องการปฏิบัติ ขณะที่ “กองทัพภาคที่ 1” แจ้งเก็บกู้ทุ่นระเบิดวันเดดไลน์ 10 ต.ค. "กองทัพบก" ยึดหลักมนุษยธรรม-กติกาสากล เตรียมใช้กฎหมายควบคู่กฎอัยการศึกผลักดันผู้บุกรุก ด้าน "สีหศักดิ์" คุย “ทูตจีน” หลังเข้าแจงปมส่งอาวุธให้กัมพูชาแค่โครงการความร่วมมือ
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 9 ตุลาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงภารกิจการเดินทางต่างประเทศในเดือนนี้ว่า ได้นัดหมายกันว่าจะไปเยือนที่ประเทศลาวในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ เพราะมีหลายประเด็นที่จะต้องพูดคุยกัน และหลังจากนั้นจะเดินทางไปประชุมสุดยอดอาเซียน (อาเซียนซัมมิต) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นการประชุมที่สำคัญ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีโอกาสได้พบกับผู้นำกัมพูชาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราได้แจ้งเงื่อนไขของเราไปแล้ว 4 ข้อ ที่จะทำให้เกิดการพูดคุยต่อได้ ซึ่งขอให้ทางกัมพูชาได้ปฏิบัติคือ การถอนอาวุธหนัก ให้ฝ่ายไทยไม่รู้สึกว่ามีอันตรายต่อประชาชน รวมถึงการถอนทุ่นระเบิดและเรื่องสแกมเมอร์ รวมถึงการจัดการในพื้นที่ที่คนของกัมพูชาเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
"ไม่มีคำว่าเดดไลน์ เพราะจะต้องปฏิบัติก่อน ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็ต้องดำเนินการ" นายกฯ กล่าวเมื่อถามถึงเส้นตายการผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วในวันที่ 10 ตุลาคมนี้
เมื่อถามว่า ประธานาธิบดีสหรัฐเสนอตัวเป็นประธานการลงนามสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้มีหนังสือมาที่ตน เพื่อแสดงความจำนงในการที่จะเห็นทั้งสองประเทศสามารถเจรจาหาข้อยุติในข้อพิพาท ซึ่งตนจะส่งข้อความกลับไปว่าหากฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม 4 ข้อที่ฝ่ายไทยยื่นเสนอไป ไทยก็พร้อมปฏิบัติตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น เพราะ 4 ข้อนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ที่สำคัญมีความเป็นอันตรายต่อพี่น้องประชาชน
ถามว่าจะทันหรือไม่ เพราะทรัมป์ยื่นข้อตกลงว่าจะให้ไทยลงนามในสิ้นเดือนนี้ นายกฯ กล่าวว่า ต้องไปถามกัมพูชา เราพร้อมปฏิบัติ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แค่โทรศัพท์สั่งให้ปฏิบัติ 4 ข้อ
เมื่อถามถึงข้อกล่าวอ้างของนายกฯ กัมพูชา ที่ระบุการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัพูชา บริเวณบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว มีความล่าช้าเพราะต้องผ่านที่ประชุม GBC ที่มี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ลงนาม นายกฯ กล่าวว่า ไทยไม่ได้ล่าช้า แต่ฝ่ายล่าช้าคือกัมพูชา และไทยเป็นผู้ถูกรุกราน เป็นผู้ถูกกระทำ ฉะนั้นคำว่าล่าช้าไม่มี
ส่วนการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ นายอนุทินกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะต้องบริหารสถานการณ์ตรงนั้น ซึ่งได้มีการหารือกับฝ่ายกองทัพ และกองทัพก็รับไปในเรื่องของการใช้กฎหมาย กฎอัยการศึกในการบริหารสถานการณ์ตรงนั้น ฝ่ายปกครองต้องร่วมกับตำรวจและกรมป่าไม้ โดยเราต้องทำให้ทุกอย่างละมุนละม่อมที่สุด แต่ต้องรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและอธิปไตยของประเทศไทย ส่วนแนวทางของกองทัพจะเป็นอย่างไรนั้น ยังเป็นความลับ
ทั้งนี้ นายอนุทินพร้อมด้วยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเยี่ยมชมกระทรวงการต่างประเทศว่า ได้เขียนหนังสือตอบกลับหนังสือที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ส่งมายังตน ปรารถนาที่อยากจะเห็นสันติภาพเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ คือไทยและกัมพูชา ซึ่งเราก็ตอบเหมือนเดิมว่า เราเชื่อมั่นในสันติภาพ และมีจุดยืนที่ต้องการเห็นกัมพูชาดำเนินการเพื่อให้เกิดสันติภาพและความสงบสุขในอนาคต
ทูตจีนแจงเป็นกลาง
เมื่อถามว่า ส่วนการบริหารความสัมพันธ์ของประเทศมหาอำนาจกับประเทศไทย กรณีเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทยที่แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้กัมพูชารักษาอธิปไตย นายอนุทินกล่าวว่า ทูตจีนที่ประจำอยู่ในประเทศไทยก็ระบุว่าสนับสนุนประเทศไทยเช่นกัน และคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะทั้งไทยและกัมพูชาต่างมีประเทศอื่นที่มีความปรารถนาดี อยากเห็นสถานการณ์ไม่บานปลายหรือรุนแรงมากกว่านี้
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่ข่าวนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ได้เชิญนายจาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มาพบหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ รัฐมนตรีขอบคุณที่จีนมีบทบาทสร้างสรรค์ในความพยายามคลี่คลายสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาพูดคุยหาทางออกร่วมกันอย่างสันติผ่านกลไกทวิภาคี ขณะเดียวกัน ได้แสดงความห่วงกังวลต่อรายงานข่าวว่า จีนได้ส่งอาวุธไปสนับสนุนกัมพูชาก่อนจะเกิดการปะทะไม่นาน ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดให้แก่สาธารณชน
เอกอัครราชทูตฯ ยืนยันท่าทีที่เป็นกลางของจีน และการยึดมั่นในนโยบายการไม่ส่งอาวุธให้คู่ขัดแย้ง ซึ่งจีนปฏิบัติมาโดยตลอด ส่วนเรื่องที่ปรากฏเป็นข่าวคือ ความร่วมมือในการป้องกันประเทศตามปกติที่มีอยู่แล้ว โดยหลังจากการปะทะ จีนก็ไม่เคยสนับสนุนอาวุธให้ฝ่ายกัมพูชาเพื่อโจมตีไทย ทั้งนี้ จีนหวังว่าไทยและกัมพูชาจะแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างสันติผ่านกลไกทวิภาคี โดยจีนพร้อมมีบทบาทที่สร้างสรรค์และสนับสนุนการดำเนินการของอาเซียนในเรื่องนี้
ขณะที่ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก อ้างถึงบันทึกข้อตกลงการประชุมพิเศษของคณะกรรมการชายแดนกัมพูชา-ไทย ครั้งที่ 1 ในวันที่ 10 ก.ย.2025 ที่จังหวัดเกาะกง ราชอาณาจักรกัมพูชา ลงนามโดย พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกฯ รมว.กลาโหมกัมพูชา และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหมไทย ระบุชัดเจนว่า ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุเกิดบริเวณหมู่บ้านภูมิโชคชัย ต.โอไบจวน อ.โอเจริว จ.บันเตียเมียนเตย ราชอาณาจักรกัมพูชา กับบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ประเทศไทย ทั้งสองฝ่ายรับทราบว่าคณะกรรมการชายแดนผสม (JBC) เป็นกลไกในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการวัดและขอบเขตชายแดนร่วมกัน และเห็นด้วยที่จะนําปัญหานี้เป็นวาระสําคัญในการประชุมคณะกรรมการชายแดนครั้งต่อไป (JBC)
ทภ.1 แจ้งเก็บกู้ระเบิด
วันเดียวกัน กองกำลังบูรพา (กกล.บูรพา) กองทัพภาคที่ 1 แต่ทำหนังสือ ด่วนมาก ที่ กห 0482.2/602 กองกำลังบูรพา ตำบลห้วยโจด อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2568 เรื่อง การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ถึงผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารราบที่ 51 โดยอ้างถึง จากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC)ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568
โดยในที่ประชุมทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินมาตรการเพื่อความร่วมมือในทางปฏิบัติ การเดินหน้าการเก็บกู้ระเบิดเพื่อมนุษยธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม และเพื่อการคุ้มครองชีวิตพลเรือน เพื่อให้เป็นการปฏิบัติตามความเห็นชอบจากการประชุมและเกิดความปลอดภัยต่อประชาชนในพื้นที่ กองกำลังบูรพาขอแจ้งว่า จะเข้าดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น และบ้านหนองหญ้าแก้ว ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ในวันที่ 10 ตุลาคม 2568 จึงแจ้งท่านเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด กองกำลังบูรพาหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับความร่วมมือจากท่านเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 1 ชี้แจงว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดดังกล่าว เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่อธิปไตยของฝ่ายไทย ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการรักษาอธิปไตย และความสงบสุขของประชาชนชาวไทย การแจ้งให้ฝ่ายกัมพูชาทราบล่วงหน้าในห้วงวันและเวลาดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด หรือการถูกบิดเบือนข้อมูล อันอาจก่อให้เกิดความไม่เข้าใจระหว่างทั้งสองฝ่าย
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว ที่ยังคงพบปัญหาการรุกล้ำของชุมชนกัมพูชา กระทรวงกลาโหม และสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้มีมติให้กองทัพดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหา ด้วยการบังคับใช้กฎหมายตามขั้นตอน เพื่อผลักดันการรุกล้ำอธิปไตยตามหลักสากล ซึ่งมาตรการในลำดับต่อมา จากมติของคณะผู้บัญชาการทางทหารล่าสุด ได้เห็นชอบให้ใช้กฎหมายปกติ เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้, พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมือง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ควบคู่กับ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 ที่มีผลบังคับใช้ในพื้นที่ชายแดนอยู่แล้วเพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมเหมาะสมกับสถานการณ์
จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด พบว่าปัญหาในพื้นที่มีความละเอียดอ่อนสูง เนื่องจากฝ่ายกัมพูชามุ่งมั่นที่จะใช้วิธีการนำมวลชนมาชุมนุมในลักษณะจัดตั้งมาเพื่อใช้เผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจไทย ทั้งนี้ เพื่อยั่วยุให้ฝ่ายไทยตอบโต้แล้วนำภาพเหตุการณ์ที่ได้ไปบิดเบือนต่อสายตาสังคมโลก
ทั้งนี้ กองทัพบกโดยกองทัพภาคที่ 1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างการเตรียมมาตรการที่เหมาะสมและรัดกุม เพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่อชุมชนที่รุกล้ำในเขตอธิปไตยของไทย ให้เป็นไปตามเป้าหมายภายใต้หลักมนุษยธรรม และกติกาของสากล
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ถามนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ เรื่องการจัดทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และเอ็มโอยู 2544 ระบุว่า การแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีการพูดชัดเจนในที่ประชุมรัฐสภาว่า บัตรใบที่ 4 เรื่องการสอบถามประชาชนเรื่องการยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ สะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ต้องมีกระบวนการให้ข้อมูลรอบด้านกับประชาชน ซึ่งในทางปฏิบัติข้อมูลแบบรอบด้านจริงๆ โดยที่ไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้นั้น เป็นเรื่องยากมาก และอาจจะมีผู้ร้องว่ากระบวนการจัดทำประชามติแบบนี้ ให้ข้อมูลไม่รอบด้าน จึงคิดว่ารัฐบาลควรใช้กลไกตัวแทนของรัฐบาลในสภา ก่อนที่จะส่งให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจตัดสินใจดีหรือไม่
เลิก MOU ต้องมีแผนรองรับ
ด้านนายสีหศักดิ์กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้านายบวรศักดิ์จะมีการประชุมเพื่อดูว่าขั้นตอนและรูปแบบวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับการทำประชามติ ควรทำกันอย่างไร ทั้งนี้ สิ่งที่นายณัฐพงษ์แสดงความคิดเห็น ตนมองว่าเป็นประโยชน์ และเราจะได้นำไปหารือกันในเรื่องรายละเอียดโดยพยายามคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ซึ่งหลังจากที่ประชุมกันแล้วได้ผลสรุปว่าเราจะดำเนินการอย่างไร มีแผนการอย่างไร จะมาชี้แจงต่อที่ประชุมอีกครั้ง ยืนยันว่า การจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทำประชามติว่าจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก ต้องทำด้วยความรอบคอบและต้องมีความชัดเจนว่าหากไม่มีเอ็มโอยูแล้ว เรามีอะไรเป็นทางเลือก เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของประเทศได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหาย ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมีประชามติ โดยไม่มีการเตรียมการหรือแผนรองรับ
นายสีหศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องเยียวยาคิดว่ามีรายละเอียดมาก แต่เราก็ต้องคิดว่าอะไรที่เป็นสิทธิอันชอบธรรม และเกิดจากผลกระทบหากมีการยกเลิกเอ็มโอยู เราต้องมีการเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากสิทธิอันชอบธรรมของเขา ยืนยันว่าเรื่องการต่างประเทศเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของชาติ บางครั้งเราต้องไม่นำมาเป็นประเด็นทางการเมือง และเรื่องนี้ต้องมีการอภิปรายอย่างจริงจัง การที่ตนจะตอบอะไรต้องตอบด้วยความมั่นใจ จึงอยากให้มีการพูดคุยกันถึงรายละเอียดโดยคำนึงถึงประเด็นต่างๆ เหมือนที่นายณัฐพงษ์ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเราจะเดินหน้ากันอย่างไร ตนจะนำไปเสนอในกระบวนการพิจารณาของรัฐบาลแน่นอน
ทางด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประชาชนที่ต้องอพยพระหว่างเกิดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทยอยได้รับเงินเยียวยาแล้ว โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้จัดส่งข้อมูลผู้ประสบภัยให้ธนาคารออมสิน เพื่อดำเนินการโอนเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เป็นไปตามเงื่อนไข ซึ่งการโอนเงินดังกล่าวดำเนินการตามกรอบเวลาที่รัฐบาลกำหนด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
นายสิริพงศ์กล่าวว่า ปภ.โอนเงินผ่าน PromptPay แล้ว 3 ครั้ง โอนสำเร็จจำนวน 247,257 ครัวเรือน ยอดเงินโอนรวม 1,147 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอโอนอีก 5,993 ครัวเรือน และมีครัวเรือนที่ยังไม่ได้รับเงินเนื่องจากไม่ลงทะเบียนพร้อมเพย์หรือบัญชีมีปัญหา จำนวน 6,659 ครัวเรือน (ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2568 เวลา 18.30 น.) และจะโอนเงินช่วยเหลือเยียวยาครั้งที่ 4 วันที่ 9 ตุลาคม 2568 จังหวัดศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ตราด และครั้งที่ 5 วันที่ 10 ตุลาคม 2568 จังหวัดจันทบุรี
นายสิริพงศ์กล่าวว่า ผู้ประสบภัยที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยาใน 7 จังหวัด ปภ.เปิดให้ลงทะเบียนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2568 สำหรับประชาชนที่ลงทะเบียนแล้ว ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา เนื่องจากข้อมูลไม่สมบูรณ์หรือถูกตีกลับ ธนาคารออมสินและ ปภ. จะเร่งตรวจสอบและอัปเดตการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด โดยสามารถตรวจสอบสถานะการรับเงินได้ด้วยตนเองโดยระบุหมายเลขบัตรประชาชนที่เว็บไซต์ http://relief68.disaster.go.th/Dashboard/BoardHelpRegister.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
5วันถวายบังคม ‘พระพันปีหลวง’ กว่า2.4หมื่นราย
บำเพ็ญพระราชกุศลถวาย "สมเด็จพระพันปีหลวง" ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระราชาธิบดี-พระราชินีแห่งเลโซโท
‘สี’ซื้อข้าวไทย5แสนตัน S&Pคงเครดิตประเทศ!
"อนุทิน" เผย "สี จิ้นผิง" กราบบังคมทูล "ในหลวง" จีนซื้อข้าวไทย 5 แสนตัน
ปชน.รีบปัดฮั้วภูมิใจไทย ขู่รื้อรธน.ล่มเจออภิปราย
เคาะที่มา “กมธ.ยกร่าง รธน.ใหม่” ต้องมี 100 คนรับรองก่อนสมัคร เลือกสูตร 20 หยิบ 1
‘จีน’ถวายพระเกียรติยศสูงสุด
“ในหลวง-พระราชินี” เสด็จฯ เยือนปักกิ่งวันที่ 2 รัฐบาลจีนต้อนรับถวายพระเกียรติยศสูงสุด
ปชป.ฟุ้งคนแห่สมัครลงสส.
ปชป.ฟอร์มดี! สมัครล้นหลาม! เผยยอดผู้เสนอตัวลง สส.ทั่วประเทศ 7 วันทะลุ 300 คน
ซุก‘ระเบิดใหม่’อื้อ! ‘ช่องอานม้า’2ลูก แถมปั้นข่าวลวง เท้งโผล่เท้าราน้า
"สื่อมาเลย์" ขออภัยแปลข่าวทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชาผิด

