ฝ่ายค้านอาจล้มรัฐบาลไม่ได้ในทันที แต่จะ ‘ปลูกต้นไม้แห่งความไม่ไว้วางใจ’ ในใจประชาชน

นักวิชาการธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ศึกซักฟอก“ฝ่ายค้าน” อาจปิดเกมรัฐบาลในสภาไม่ได้ในทันที แต่จะปลูกต้นไม้แห่งความไม่ไว้วางใจขึ้นในใจประชาชน หวังผลในระยะยาว ขณะที่ “อิ๊งค์” ต้องใช้โอกาสนี้พิสูจน์ภาวะผู้นำ ระบุนักการเมืองที่ดีต้องเข้าใจงาน ตอบคำถามได้ทันที ไม่มัวแต่รอรายงาน

22 มีนาคม 2568 - รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว อาจารย์ประจำสาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ความคาดหวังทางการเมืองต่อการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในปัจจุบันแตกต่างไปจากอดีตที่สามารถสร้างแรงกดดันรัฐบาลได้ สามารถปิดเกมกันในสภา หรือรัฐมนตรีบางรายถึงกับชิงลาออกไปก่อนเพราะไม่อยากถูกอภิปรายหรือถูกเปิดเผยข้อมูลกลางสภาในขณะที่ประชาชนทั่วทั้งประเทศรับชมอยู่ ทว่าในปัจจุบันทุกคนทราบดีว่าคงไม่สามารถล้มรัฐบาลผ่านการโหวตลงคะแนนเสียงได้

ฉะนั้นในการอภิปรายที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 24-25 มี.ค.นี้ ฝ่ายค้านย่อมทราบดีว่าตัวเองมีคะแนนเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) น้อยกว่ารัฐบาล จึงอาจจะไม่หวังผลให้รัฐบาลชุดนี้สิ้นสุดลงในทันทีที่จบการอภิปราย แต่หวังให้ผลพวงจากการอภิปราย การชี้ให้เห็นข้อบกพร่องและข้อผิดพลาด ถูกนำขยายต่อในเวลาถัดไปเพื่อสร้างแรงกดดันเป็นระยะๆ เปรียบได้กับการปลูกต้นไม้แห่งความไม่ไว้วางใจลงไปในใจประชาชน ซึ่งถือเป็นการหวังผลทางการเมืองในระยะยาว

“การอภิปรายไม่ไว้วางใจในปัจจุบันก็เหมือนการสอบย่อยโดยมีประชาชนเป็นผู้ให้คะแนน เนื้อหาข้อมูลที่ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลนำเสนอจะถูกนำไปประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งใหญ่ในครั้งต่อไป” รศ.ดร.อรรถสิทธิ์กล่าว

รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า การที่ฝ่ายค้านล็อกเป้าอภิปราย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไว้เพียงคนเดียว ส่วนตัวมองว่าเป็นได้ทั้งวิกฤตและโอกาสครั้งสำคัญของ น.ส.แพทองธาร เพราะจะเป็นเวทีในการแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความสามารถ ศักยภาพ และการทำงานว่า น.ส.แพทองธาร ทำงานจริงหรือไม่และมีความเข้าใจในงานมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะแสดงออกผ่านการตอบคำถาม ดังนั้นหากทำได้ดีตอบได้กระจ่างก็จะลบคำปรามาสหรือข้อครหาเรื่องภาวะผู้นำลงไปได้ แต่หากทำได้ไม่ดีก็จะเป็นไปในทางตรงกันข้าม

“ในฐานะนักวิชาการ สิ่งที่อยากเห็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้คือไหวพริบปฏิภาณ การโต้ตอบที่รวดเร็วทันควันของนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล โดยทั้งหมดต้องอิงอยู่บนฐานข้อมูลและข้อเท็จจริง เพราะสิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติพื้นฐานของนักการเมือง คนที่มีปฏิภาณไหวพริบดี-ตอบโต้ได้ดีในทันทีคือคนที่สอบผ่าน เมื่อโดนถามเขาจะตอบโต้ได้เลยรึเปล่า หรือจะบอกว่าต้องรอข้อมูลก่อน หรือฝ่ายค้าน หากรัฐบาลแจงมาว่าสิ่งที่กล่าวหามีข้อมูลไม่ถูกต้อง ฝ่ายค้านสามารถโต้กลับได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความใส่ใจว่าเราทำงานจริง ถ้าทำงานจริงข้อมูลจะอยู่ในหัวโดยไม่ต้องรอรายงาน”รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า อีกหนึ่งความน่าสนใจของศึกซักฟอกในครั้งนี้คือการกลับเข้ามามีบทบาทในสภาอีกครั้งของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่จะเป็นหนึ่งในผู้อภิปรายของฝ่ายค้านภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้พรรคพลังประชารัฐดูเหมือนจะจางหายไปจากความสนใจของสื่อและประชาชน จึงต้องจับตาดูว่า พล.อ.ประวิตร จะช่วยปลุกกระแสให้กับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่

สำหรับช่วงเวลาในการการอภิปรายไม่ไว้วางใจระหว่างวันที่ 24 – 25 มี.ค. นี้ มีการกำหนดระยะเวลาการอภิปรายในวันแรกไว้ที่ 08.00 - 05.30 น. ส่วนตัวมองว่า ไม่มีความเหมาะสม เป็นการจัดสรรเวลาที่ยึดเอาความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองมากเกินไป โดยไม่คำนึงถึงประชาชนที่เฝ้ารอและติดตามการถ่ายทอดสดแบบเรียลไทม์

“อภิปรายกันตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึงตี 5 ครึ่ง แล้วเริ่มอภิปรายกันอีกครั้งตอน 8 โมงเช้าของอีกวัน คำถามก็คือแล้วจะให้ใครดู มันเหมือนกับการทำให้มันจบๆ ไป ไม่ได้คิดคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน อย่าไปบอกว่ามันสามารถดูย้อนหลังผ่านยูทูป หรือคลิปติ๊กต็อกได้ เพราะทุกคนอยากดูผล ณ เวลานั้น เกิดความรู้สึกเซอร์ไพรส์ต่อข้อมูล ณ เวลานั้น แต่ก็เป็นไปได้ว่าบริบทการเมืองอาจเปลี่ยนไป” นักวิชาการธรรมศาสตร์กล่าว

เมื่อถามถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือการสั่นสะเทือนความเป็นปึกแผ่นภายในพรรคร่วมรัฐบาลหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะยังคงผนึกกำลังกันแน่น เพราะตามหลักการคงไม่มีใครอยากจะกลับมาเป็นฝ่ายค้าน หรือเกิดการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ในเร็ววันนี้

“คิดว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับ ครม. ซึ่งเป็นสไตล์การทำงานของพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ที่น่าสนใจคือจะปรับแบบไหน ถ้าปรับบุคคลภายใต้โควตากระทรวงของพรรคเดิมก็ถือเป็นเรื่องปกติแต่ถ้ามีการสับเปลี่ยนโควตาของพรรคมีการแลกเปลี่ยนกระทรวงระหว่างกันอันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ที่สุดแล้วด้วยความเป็นปึกแผ่นของพรรคร่วมในขณะนี้ เชื่อว่าจะสามารถหาทางเจรจากันได้ในท้ายที่สุด” รศ.ดร.อรรถสิทธิ์ กล่าว

ถามอีกว่า พรรคประชาชนได้เน้นย้ำว่ามีหลักฐานในการมัดตัวรัฐบาลว่าจะดิ้นไม่หลุด และพร้อมจะดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดแตกหักระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนหรือไม่

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ทุกพรรคการเมืองย่อมต้องการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง และต้องการเข้าไปเป็นที่หนึ่งในใจคน ฝ่ายค้านจึงต้องแสดงบทบาทให้ประชาชนเห็นว่าเขาคือตัวเลือกที่ดีกว่าในการเป็นรัฐบาล และเหมาะสมจะเป็นพรรคอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร หากพรรคประชาชนพ่ายแพ้ ไม่ได้เป็นพรรคอันดับหนึ่ง หรือชนะ แต่ไม่ขาด ก็จำเป็นต้องหาพรรคร่วม เมื่อถึงวันนั้นอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ เราจึงไม่สามารถพูดได้ว่า เพราะเหตุการณ์วันนี้ จะทำให้ทั้ง 2 พรรค ไม่สามารถจับมือกันได้อีกเลย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลหนุนยกระดับ ‘แตงโมเกาะสุกร’ สินค้า GI ตรัง สร้างรายได้ชุมชน 27 ล้านต่อปี

รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนสนับสนุนสินค้า GI ของประเทศไทย ซึ่งเป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่นอันทรงคุณค่า การเลือกซื้อสินค้า GI เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

‘ทักษิณ’ มั่นใจ กม.กาสิโน ผ่านฉลุย ฟุ้งเสียงรัฐบาลพอผลักดัน บอกพวกต้านระวังติดเตียง

เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เดิมพรรคประชาชนเชียร์เต็มที่ แต่เมื่อเป็นฝ่ายค้าน ตนก็ไม่แน่ใจว่าจะเชียร์หรือไม่เชียร์ แม้จะเชียร์หรือไม่เชียร์ แต่เสียงรัฐบาลก็พออยู่

ส้มส่งสัญญาณแดง 'อยู่ที่เงื่อนไข -สถานการณ์'

ณัฐพงษ์' ย้ำชัดเลือกตั้งสมัยหน้า หาก 'พท.' ยอมรับว่าทำผิดกับ ปชช. ก็อาจจับมือด้วย ออกตัวไม่ขอตั้งเงื่อนไขล่วงหน้า เหตุสถานการณ์เปลี่ยนได้ตลอด

รัฐบาลเปราะบาง ปชช.จับตาอุบัติเหตุการเมือง

ซูเปอร์โพล ชี้ผลสำรวจ ปชช.กังวลปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง รวมทั้งเสถียรภาพรัฐบาลที่มีความเปราะบาง นอกจากนี้ยังห่วงเรื่องความแตกแยกและอุบัติเหตุทางการเมือง

'หัวหน้าเท้ง' รอฟังคดีชั้น 14 มัดนายกฯ ผู้รู้เห็นอาการป่วยพ่อ

“ณัฐพงษ์”  รอฟัง 30 เม.ย.นี้ 'ศาลฎีกา' รับคำร้อง 'คดีชั้น 14' หรือไม่ ก่อนประเมินผลสะเทือนรัฐบาลมากน้อยเพียงใด ย้ำ 'นายกฯ' เป็นผู้รู้เห็นอาการป่วยทั้งหมด