นักกฎหมายมหาชน อ่านเกมการเมือง ปม กลเกมต่อรองอำนาจ ปม “สว.สีน้ำเงิน” ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง ” บิ๊กอ้วน ภูมิธรรม-ทวี สอดส่อง“ ใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษดีเป็นเครื่องมือ โอกาสตกเก้าอี้สูง
16 เมษายน 2568 - กรณีศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเอกฉันท์รับคำร้องของประธานวุฒิสภา ที่ขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ส่วนคำขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น มีมติเอกฉันท์ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน กล่าวว่า ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องปม สว.สีน้ำเงิน วินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงกลาโหม ผู้ถูกร้องที่ 1 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.กระทรวงยุติธรรม ผู้ถร้องที่ 2 สิ้นสุดลงหรือไม่? คดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ตนให้ความรู้ทางด้านกฎหมายมหาชน ไม่ได้เป็นการชี้นำศาล หรือไม่ไปละเมิดอำนาจศาล แต่เป็นการให้ความรู้เชิงวิชาการ ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดเนื้อหาในสำนวน เพราะเป็นประเด็นที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ อยากรู้ถึงแนวคำวินิจฉัยและผลแห่งคดีนี้ เป็นอย่างไร เพื่อให้สังคมรับทราบอีกแง่มุมหนึ่ง อันเป็นประโยชน์สาธารณะ
ตนเคยให้สัมภาษณ์สื่อหลายครั้ง ในประเด็นที่ คณะกรรมการคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตั้งแท่น จะเล่นงาน กลุ่ม สว. จำนวน 138 คน เป็นกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน เพื่อใช้อำนาจต่อรองในเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการต่อรองอำนาจ และทำลายความชอบธรรม กลุ่ม สว.สีน้ำเงิน กลุ่มนี้ ที่เชื่อมโยงในทางพฤตินัยกับพรรคภูมิใจไทย ที่เปลี่ยนโลโก้พรรคเอาสีแดงออก เหลือเพียงสีน้ำเงินล้วน ที่กลุ่มนี้ ขัดขวางนโยบายพรรคเพื่อไทยในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญและ แก้ไข พรบ.ประชามติ
ซึ่งเห็นได้ชัด ปัญหาการสอย สว.ย้อนหลัง แล้วอ้างว่า พบโพยฮั้ว มีผู้กระทำผิดจำนวนมาก มีข้อพิรุธจำนวนมาก แต่การเล่นใหญ่ จะมีผลกระทบตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะอำนาจในการตรวจสอบ การเลือก สว.ทุจริตหรือไม่ ตาม พรป.สว.เป็นอำนาจเฉพาะของ กกต. เป็นไปตามข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 224 และ พรป.สว.
ทั้งความปรากฏแก่ กกต. กรณีพนักงานสอบสวนหรือหน่วยงานรัฐรับเรื่องไว้ จะต้องรายงานให้ กกต.ทราบ ตามมาตรา 49 แห่ง พรป.กกต.
สว.สีน้ำเงิน กลุ่มนี้ รวม 92 คน ใช้ช่องทางรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง เป็นการใช้ช่องทางลัดนำคดีผ่านประธานวุฒิสภา สู่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะสงสัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ เป็นช่องทางที่ยื่นผ่านองค์กรตนเองและศาลรัฐธรรมนูญย่อมรับไว้พิจารณาและตรวจสอบ แม้ไม่สั่งให้รัฐมนตรีทั้งสองหยุดปฎิบัติหน้าที่ก็ตาม
หากพิจารณาข้อกล่าวหาที่ประธานวุฒิสภาเสนอต่อศาลในฐานะผู้ร้อง ระบุรายละเอียดเนื้อหาที่เผยแพร่ผ่านสื่อ ว่า”…นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงกลาโหม ผู้ถูกร้องที่ 1ในฐานะประธานกรรมการคดีพิเศษ และพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รมว.กระทรวงยุติธรรม ผู้ถูกร้องที่ 2 ในฐานะรองประธานกรรมการคดีพิเศษ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ เสนอเรื่องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2567 ต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ เพื่อมีมตีให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไข เพิ่มเติม มาตรา 21 วรรคหนึ่ง เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่ และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่…“
สิ่งที่ผู้ถูกร้องทั้งสองจะต่อสู้คดีเพียงว่า ตาม ตนทั้งสองใช้อำนาจคณะกรรมการบอร์ด ไม่ใช้สถานะความเป็นรัฐมนตรี คงไม่ได้ เพราะสวมหมวก 2 ใบ ตาม พรบ.สอบสวนคดีพิเศษให้อำนาจคณะกรรมการพิเศษในมาตรา 21 นั้น โดยใช้กฎหมายคนละฉบับกับ กกต.คงฟังไม่ขึ้น เพราะคดีทุจริตการเลือก สว.เป็นอำนาจหน้าที่เฉพาะของ กกต.โดยตรง ตามรัฐธรรมนูญ พรป.กกต.และ พรป.สว. ส่วนจะอ้างว่ามีอำนาจรับเฉพาะข้อหาฟอกเงิน ตาม ท้าย พรบ.สอบสวนคดีพิเศษประกอบกับระเบียบภายในกำหนด จำนวนเงินที่ฟอกฯ 300 ล้านขึ้นไป นั้น
ในเมื่อข้อหาหลัก ข้อหาจูงใจให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันมิอาจคำนวนเป็นเงินได้ตามมาตรา 77 หนึ่ง (1) แห่ง พรป.สว.เป็นข้อหาหลัก ที่ กกต.ไต่สวนให้ได้ความก่อน เพราะหากมีความผิดถึงจะเป็นความผิดฐานฟอกเงินตามมาตรา 77 วรรคสอง แห่ง พรป.สว.คำถามว่า ท่านทั้งสองจะแก้ตัวอย่างไร เพราะเป็นอำนาจของ กกต.โดยตรง
โดยศาลรัฐธรรมนูญ ได้เคยวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐาน ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 15/2563
คำว่า "ก้าวก่าย" หมายถึง ล่วงล้ำเข้าไปยุ่งเกี่ยวหน้าที่ผู้อื่น เหลื่อมล้ำไม่เป็นระเบียบ เช่น งานก้าวก่ายกัน
ส่วนคำว่า"แทรกแชง" หมายถึง แทรกเข้าไปเกี่ยวข้องในกิจการของผู้อื่น
ในปมคดีของนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.พรรคพลังประชารัฐและนางสาวศรีนวล บุญลือ อดีต สส.พรรคภูมิใจไทย
สอดคล้องกับเทียบเคียงกับว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 10/2563 ไว้เป็นบรรทัดฐานไว้
สส.สว.หรือรัฐมนตรี จะใช้อำนาจแทรกแซง ก้าวก่าย ครอบงำ หรือ เจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานรัฐ เป็นเครื่องมือให้ฝ่ายการเมือง รัฐธรรมนูญ 2560 ต้องห้ามเอาไว้
ส่วนจะเป็นการก้าวก่าย แทรกแซง หรือครอบงำ ใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษที่ตนกำกับควบคุมอยู่ในฐานะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ล้วนต้องใช้พยานหลักฐานอื่นประกอบการพิจารณา
หัวใจหลัก กฎหมายมหาชน คือ “อำนาจ” ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ ย่อมไม่สามารถกระทำได้ หมายความว่า การกระทำใดของรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่สร้างนิติสัมพันธ์กับปัจเจกชน จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อกฎหมายได้ให้อำนาจรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้ารัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำโดยไม่มีอำนาจ การกระทำนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ก่อให้เกิดการผูกพันตามกฎหมาย แตกต่างจากกฎหมายเอกชน ตามหลักความเท่าเทียมที่ว่า ”ถ้าไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ย่อมสามารถกระทำได้“ ตรงข้ามกัน
หากพิจารณาเนื้อหาที่ผู้ร้องเสนต่อศาลรัฐธรรมนูญ พฤติการณ์แห่งคดี ระบุว่า เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำ หน้าที่ และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือ แทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นหน้าที่ของฝ่ายผู้ร้องจะต้องพิสูจน์ว่ากระทำตามคำร้อง ส่วนฝ่ายผู้ถูกร้องจะนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์หักล้าง
แต่พยานหลักฐานที่ชี้ขาดว่า รมว.ทั้งสอง จะตกเก้าอี้หรือไม่? ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ เป็นการแก้เกมของกลุ่ม สว.สีน้ำเงินที่เดินถูกจังหวะ ถูกเวลา และถูกทาง ในการไต่สวน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเรียกหน่วยงานที่มีส่วนได้เสียมาให้ถ้อยคำ ทั้งดีเอสไอและ กกต. แต่ ดีเอสไอย่อมปกป้องนายของตนเองว่า ปฏิบัติตามมาตรา 21 แห่ง พรบ.สอบสวนคดีพิเศษ และผู้ถูกร้องทั้งสอง ใช้อำนาจในฐานประธานและรองประธานบอร์ดโดยตำแหน่ง เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย แต่จุดตาย ตรงรายงานการประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษทั้งสองครั้ง ที่เร่งรัดเวลา กระชับอำนาจ อย่างผิดสังเกต
แต่ระบบไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญไม่ฟังความฝ่ายเดียว ยังต้องฟัง กกต. กฤษฎีกาและนักวิชาการที่เป็นกลางทางการเมือง ประกอบการพิจารณาในการให้ถ้อยคำ ซึ่งเกมตัดเชือก คือ กกต. กฤษฎีกา และนักวิชาการที่มีความเป็นกลางทางการเมืองที่มีน้ำหนักที่จะเชือดตกเก้าอี้ หรือยกคำร้อง เป็นตัวแปรสำคัญ
หากพิจารณาแนวโน้มพยานบุคคลปาก กกต. อ้างอิง รัฐธรรมนูญมาตรา 224 วรรคหนึ่ง (1) (2) มาตรา 49 พรป.กกต.และบทนิยาม พรป.สว.มาสนับสนุน คดีทุจริต สว.ตาม พรป.สว.เป็นอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด เป็นอำนาจเด็ดขาดของ กกต.อีกทั้ง กกต.เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นกรมหนึ่ง ในกระทรวงยุติธรรม เกิดขึ้น พรบ.สอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ใช้กฎหมายคนละฉบับกัน เมื่อความปรากฎมีการกระทำผิดเกิดขึ้น พนักงานสอบสวนหรือหน่วยงานรัฐ“รับเรื่อง”จะต้องรายงานให้ กกต.ทราบ ตามมาตรา 49 พรป.กกต.มาเป็นตัวเพิ่มน้ำหนัก มีน้ำหนักในการชี้ขาดว่า ผู้ถูกร้องทั้งสองรายใช้อำนาจรัฐมนตรีแทรกแซงหรือไม่ เพราะหากไม่มีกฎหมาย ให้อำนาจและไม่ใช่หน้าที่ของตน ย่อมไม่อาจเข้าไปแทรกแซง ใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือเพื่อบีบให้กลุ่ม สว.สีน้ำเงินกระทำตาม หรือข่มขู่คุกคาม เพื่อล้มล้าง สว.สีน้ำเงิน โดยเฉพาะข้อความในเอกสารลับที่ว่า เป็นกลุ่มขบวนการให้ได้มาซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ ข้อหา สมคบกันฟอกเงิน อั๊งยี่ และทุจริตการเลือก สว.ตาม พรป.สว ซึ่งเป็นการเล่นใหญ่ ตั้งข้อหารุนแรง หาก กกต.ยืนยันชัดแจ้งว่า อำนาจในการตรวจสอบคดีทุจริตเลือก สว.เป็นอำนาจของ กกต. แม้แต่ละองค์กรจะใช้กฎหมายคนละฉบับ แต่ต้องรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของ กกต.ทั้งในมาตรา 77 วรรคสอง แห่ง พรป.สว.บัญญัติให้ เมื่อพบการกระทำตามมาตรา 77 วรรคหนึ่ง(1)เป็นหน้าที่ของ กกต.ส่งให้ ปปง.ดำเนินคดีฐานฟอกเงิน ไม่ใช่กรมสอบสวนคดีพิเศษ และในมาตรา 49 แห่ง พรป.กกต.ไม่ได้มอบอำนาจ หรือไม่ได้ยินยอมให้หน่วยงานอื่น สืบสวน หรือไต่สวนแทนได้ ดังจะเห็นได้จาก กกต.ตั้ง จนท.ดีเอสไอระดับรองอธิบดีฯ ร่วมสอบในคดีที่ กกต.ไต่สวน
กฤษฎีกา เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล เป็นเป็นคณะกรรมการคดีพิเศษในกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยตำแหน่ง โดยข้อเท็จจริงพบว่า ในการประชุมบอร์ดครั้งแรก ตัวเลขาธิการกฤษฎีกา ได้เข้าร่วมประชุมและคัดค้านในที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ว่าไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่เป็นอำนาจ กกต. ภายหลังมอบให้ตัวแทนเข้าร่วมประชุมแทน ตรงนี้จะเป็นปัญหาแก่ผู้ถูกร้องทั้งสอง ถามว่า ผู้ถูกร้องทั้งสองจะแก้ตัวอย่างไร ยิ่งแก้เหมือนวัวพันหลัก มัดตัวเอง
การใช้สถานะความเป็นรัฐมนตรีก็ดี การใช้อำนาจของประธานบอร์ดหรือรองประธานบอร์ดคดีพิเศษ อีกสถานะหนึ่งก็ดี เป็นการสวมหมวกสองใบ ย่อมมีธงอยู่ในใจ จะเห็นได้จากมติ 11 เสียงจากผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดรับเฉพาะข้อหาฟอกเงิน ซึ่งบัญญัติท้าย พรบ.สอบสวนคดีพิเศษ (16) อยู่แล้ว แม้จะอ้างว่า เงินพัวพุันทุจริตสมคบกันฟอกเงินมูลค่าเกิน 300 ล้าน เพื่อให้อยู่ในอำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ล้วนเป็นการอุปมาและคาดคะเน โดยไร้หลักฐานเส้นการเงิน ตรงนี้ ฝ่ายผู้ร้องสามารถใช้อำนาจศาลเรียกพยานเอกสารเส้นเงิน ไปแสดงต่อศาลได้ เพื่อมัดคาศาล ศรีธนญชัยก็ดิ้นไม่หลุด
ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญ เคย วินิจฉัย ไว้เป็นบรรทัดฐาน ตามคำวินิจฉัยที่ 21/2567 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 167 (1) ประกอบมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (5) เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)
เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง หากศาลรัฐธรรมนูญเรียกรายงานการประชุมบอร์ดคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ รับฟังถ้อยคำพยานปากความเห็นจาก กกต. ความเห็นกฤษฎีกา ที่ปรึกษาของรัฐบาลและความเห็นนักวิชาการที่เป็นกลางทางการเมืองประกอบพฤติการณ์ประกอบการกระทำ ส่งผลให้การเมืองไทยร้อนแรงและจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ว่ารัฐมนตรีจะใช้อำนาจตามกฎหมายจะใช้อำนาจแทรกแซง ก้าวก่าย ครอบงำในหน่วยงานที่ตนเองกำกับไม่ได้ ซึ่งแนวโน้มน้ำหนักทางคดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ กลุ่ม สว.สีน้ำเงินได้เปรียบทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎกมาย เพราะศาลใช้ระบบไต่สวน มิใช่ระบบกล่าวหา ศาลมีหน้าที่ค้นหาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ไม่อยู่ภายใต้จำกัดข้อเท็จจริงและกรอบเวลา ดังนั้น รูปคดีคดีนี้ โอกาสที่ผู้ถูกร้องทั้งสองมีโอกาสตกเก้าอี้สูง ไม่ต่างจากนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลวางแนวคำวินิจฉัยลักษณะกว้างเอาไว้กรณี กรณีไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (5) เป็นบรรทัดฐาน ที่รัฐมนตรีรับงานจากนายใหญ่ ให้ สว.สีน้ำเงิน ที่ถูกกล่าวหาบางส่วน เปลี่ยนใจย้ายค่าย ย้ายโปร กันไว้เป็นพยานและใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ โดยไม่ยึดหลักกฎหมายและไม่ยึดความถูกต้อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ภูมิธรรม' พร้อมคุมดีเอสไอแทน 'ทวี' ปัดแดงเพลี่ยงพล้ำน้ำเงิน
'ภูมิธรรม' พร้อมคุมดีเอสไอ หากนายกฯ มอบหมายแทน 'ทวี' ปัดแดงเพลี่ยงพล้ำน้ำเงิน 'คดีฮั้ว สว.' เผยยังส่งดอกไม้ไปเยี่ยม 'อนุทิน' อยู่เลย
ข้องใจ 'นายกฯอิ๊งค์' รู้หลักบริหารประเทศแค่ไหน?
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อุ๊งอิ๊ง รู้หลักบริหารประเทศแค่ไหน?
'ดีเอสไอ' ยันสรุปสำนวนคดี 'นอมินี-ฮั้วประมูล-มาตรฐานอุตฯ' สร้างตึกสตง. สิ้น พ.ค.นี้
พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะโฆษกดีเอสไอ เป็นประธานในที่ประชุม เปิดเผยก่อนการประชุมว่า สำหรับการประชุมวันนี้ คือ การประชุมครั้งที่ 6/2568 ตั้งแต่เรามีการรับคดีมา ก็จะเป็นเรื่องของการติดตามความคืบหน้าประเด็นที่ได้มีการสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนอมินี
'ทวี' ยิ้มรับหยุดปฏิบัติหน้าที่ ปัดล้วงลูกคดีฮั้วเลือกสว.
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการะทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระท
'ชูศักดิ์' เผยเป็นอำนาจนายกฯตั้งคนคุมดีเอสไอ แทน 'ทวี'
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่กำกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ใครจะกำกับดูแลแทน ว่า ปกติดีเอสไอขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแล ซึ่งหลังจากนี้ต้องดูว่านายกรัฐมนตรี
ไม่ใช่หน้าที่ผม 'วันนอร์' ปัดตอบปม 'ทวี'
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ เฉพาะส่วนที่กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า “ไม่ใช่หน้าที่ผม เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร”