เวทีเสวนา ‘การแก้ไขปัญหาชุมชนที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย’ ที่ พอช. (15 กันยายน)
พอช. / การจัดงานรณรงค์เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก ‘World Habitat Day 2023’ ของภาคีเครือข่ายการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจนในประเทศไทยปีนี้ ประเดิมเวทีวิชาการวันแรกที่ พอช. โดยมีการจัดเสวนาหัวข้อ “การขับเคลื่อนนโยบายการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย” โดย พอช.ได้รับมอบหมายตามแผนงานรองรับที่อยู่อาศัย 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) เร่งดำเนินงานในชุมชนริมทางรถไฟ 35 จังหวัด 300 ชุมชน 27,084 ครัวเรือน
คนจน รวมพลังจัดงาน ‘วันที่อยู่อาศัยโลก 2566’
UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’ เริ่มตั้งแต่ปี 2528 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกให้ความสำคัญกับสถานการณ์การอยู่อาศัยและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ตลอดจนตระหนักถึงสิทธิพื้นฐานของการมีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมของประชากรทุกคนบนโลก
ทั้งนี้ที่ผ่านมา ภาคประชาชนและองค์กรพัฒนาเอกชนหรือ NGOs ทั่วโลก จะจัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลกทุกปี เพื่อให้รัฐบาลในประเทศนั้นๆ แก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนจน
ในประเทศไทย เครือข่ายคนจนที่ทำงานด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย เช่น เครือข่ายสลัม 4 ภาค สหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ (สอช.) สหพันธ์ชุมชนแออัดคลองเตย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) เครือข่ายสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ฯลฯ ได้จัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ชุมชนในที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การแก้ไขปัญหาที่ดินชาวเล ที่ดิน ส.ป.ก. ที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ฯลฯ
ในปีนี้วันที่อยู่อาศัยโลกตรงกับวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม UN – HABITAT มีคำขวัญว่า “Resilence urban economies, Cities as drivers of growth and recovery” เศรษฐกิจเมืองที่ยืดหยุ่น มีเมืองเป็นกลไกหลักในการฟื้นฟูและสร้างความเจริญ” โดยองค์กร ภาคีเครือข่ายที่ทำงานแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนในประเทศไทยได้ร่วมกันจัดงานรณรงค์แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยทั่วปะเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน จนถึงเดือนพฤศจิกายนนี้ (ดูรายละเอียดที่ https://web.codi.or.th/index.php/20230915-48239/)
โดยในวันนี้ (15 กันยายน) มีการจัดเวทีวิชาการครั้งแรก เรื่อง “การขับเคลื่อนนโยบายการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยในที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย” ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ถนนนวมินทร์ เชตบางกะปิ กรุงเทพฯ มีผู้ร่วมเสวนาจากการรถไฟแห่งประเทศไทย นักวิชาการ ผู้บริหาร พอช. ผู้แทนชุมชน และหน่วยงานภาคี ดำเนินรายการโดย พิชญาพร โพธิ์สง่า ผู้สื่อข่าวThaiPBS มีผู้เข้าร่วมฟังและแสดงความคิดเห็นจากชาวชุมชนและผู้แทนเครือข่ายที่อยู่อาศัยทั่วประเทศประมาณ 160 คน
ประเดิมเวที ‘การแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดิน รฟท.’
ในช่วงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนโยบายการพัฒนาระบบรางทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2561 เช่น โครงการรถไฟรางคู่ในภาคใต้ รถไฟความเร็วสูงในภาคอีสาน รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ฯลฯ ทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนสองข้างทางรถไฟ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และเครือข่ายสลัม 4 ภาค จึงร่วมกันเจรจาเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย จนคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแก้ปัญหา
โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางรถไฟ ในพื้นที่ 35 จังหวัด 300 ชุมชน จำนวน 27,084 ครัวเรือน ใช้งบประมาณรวม 7,718 ล้านบาทเศษ
โดยรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดทำแผนงานรองรับ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) ส่วน รฟท.จะอนุญาตให้ชุมชนเช่าที่ดิน รฟท. ผ่าน พอช. เพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่
นายวิชชา เหล็กนุช รองผู้ว่าการฝ่ายการจัดการกรรมสิทธิ์ที่ดิน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า มติบอร์ดใหม่ รฟท. มาจากมติเก่าในปี 2543 โดยปีนี้ 17 พฤษภาคม 2566 เราตกลงกับ พอช.และเครือข่ายชุมชนว่า ต่อไปนี้จะไม่มีชุมชนเพิ่มเติมในที่ดินของการรถไฟ บอร์ด รฟท.ต้องการให้สำรวจพื้นที่ทั้งหมด ว่ามีผู้ที่อยู่ในพื้นที่การรถไฟจำนวนเท่าไหร่ ?
ประการต่อมา เรื่องการเช่าที่ดินจาก รฟท. กำหนดว่าระยะ 20 เมตรจากรางรถไฟจะไม่ให้เช่า เพราะเป็นระยะปลอดภัย ถ้ารถไฟตกราง บ้านเรือนจะได้รับผลกระทบ ระยะที่เกินกว่า 40 เมตรขึ้นไปมีแนวนโยบายให้เช่าได้ ระยะ 20 -40 เมตร ระยะที่เป็นที่ท้องช้าง ให้เช่าในระยะยาวไม่ได้ มีการรวบรวมหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หัวหน้าครอบครัว การจัดทำผังที่ดิน เพื่อทำสัญญาเช่าที่ดินให้แล้วเสร็จก่อนปี 2571 โดยอนุญาตให้ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยไม่เกิน 5x20 ตารางเมตร/ต่อครอบครัว
“การรถไฟมีหน้าที่ พันธกิจให้บริการขนส่งทางราง การพัฒนาที่ดินไม่ใช่พันธกิจหลักของการรถไฟ การรถไฟมีหนี้สินสะสม 2 แสนล้านบาท และต้องกู้เงินอีก 1.8 หมื่นล้าน เพราะราคารถไฟไม่แพง ไม่ได้ปรับค่าโดยสารเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำมันสูง ต้นทุนของการรถไฟสูง ทำให้รัฐบาลมีโจทย์ว่าการรถไฟต้องพัฒนาทรัพย์สินเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ที่ดินเป็นเป้าหมายแรกในการพัฒนาเพื่อลดหนี้ของการรถไฟ” ผู้แทน รฟท.บอกถึงภารกิจหลัก
นายวิชชา ผู้แทน รฟท.
ส่วนการแก้ไขปัญหาชุมชนในที่ดิน รฟท.นั้น ที่ผ่านมา รฟท. มีแนวการทำงานแบบบูรณาการ โดยพูดคุยกับ พอช.ทุกสองสัปดาห์ ส่วนนโยบายของรัฐบาลใหม่เรื่องการพัฒนาระบบรางไม่น่าจะหนีจากแนวเดิม เพราะการขนส่งระบบรางเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนประเทศ เมื่อพี่น้องประชาชนที่อยู่ในเส้นทางการพัฒนาได้รับผลกระทบ รัฐบาลจึงมีแนวทางช่วยเหลือดังกล่าว
พอช.จับมือ รฟท.ทำแผนปฏิบัติการลงพื้นที่แก้ปัญหา
นายสยาม นนท์คำจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ พอช. กล่าวว่า โครงการพัฒนาระบบรางรถไฟ ซึ่งทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบนี้ เป็นโครงการที่รัฐอุดหนุนงบประมาณพอๆ กับการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง ทำให้ชาวบ้านมีเงินอย่างน้อย 1แสนบาทเพื่อก่อสร้างบ้าน ซึ่งโครงการนี้จะเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของประชาชนในโครงการอื่นๆ เช่น โครงการโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาในการดำเนการเรื่องที่อยู่อาศัยชุมชนในที่ดิน รฟท. คือ มีเวลาจำกัด พอช. จึงตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมาทำงาน ใช้เวลา 4 เดือนในการเซ็ตระบบ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้ 70 ล้านบาท (ชุมชนเช่าที่ดิน รฟท.ก่อนหน้านี้หลายปี หลายสิบชุมชน ค้างชำระ หรือไม่ได้จ่ายค่าเช่าสะสม) ต้องจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ด้วย
“ พอช.แบ่งการทำงานเป็น 2 ระยะ คือของเดิมที่ติดหนี้ต้องเคลียร์ก่อนเพื่อให้เช่าที่ดินต่อ ส่วนชุมชนใหม่ที่ไม่ได้ติดหนี้จะทำอย่างไรให้เร็วขึ้น ระยะต่อไปได้คุยกับการรถไฟว่า ปี 2567 ต้องทำ action plan ด้วยกัน ชุมชนไหนจะเดินหน้าก่อน เส้นกรุงเทพฯ-ระยอง, กรุงเทพ-นครราชสีมา ต้องทำก่อน บางเส้นชาวบ้านอยากทำเลย เช่น สงขลา” ผู้ช่วย ผอ.พอช. ซึ่งรับผิดชอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนในที่ดิน รฟท. กล่าว
นางทองเชื้อ สลัม 4 ภาค
นางทองเชื้อ วระชุน ผู้แทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าวว่า ชุมชนเราร่วมต่อสู้ สมัยก่อนรัฐพัฒนาไม่ทั่วถึง เราก็มาเช่าบ้านอยู่เป็นสิบปี บ้านหนึ่งหลังซอยเป็น 10 ห้อง มีห้องน้ำห้องเดียว ที่ดินริมรางรถไฟมีคนมาทำสวน เราก็กลับไปรื้อไม้ที่บ้านมาสร้างเอง ต่อน้ำต่อไฟจากบ้านข้างๆ อยู่ไปอยู่มามีคนมาชวนทำบ้านมั่นคง ตอนแรกเราไม่เชื่อ ต่อมาก็ไปชวนคนอื่นๆ มารวมกลุ่มกัน เริ่มคุยกัน และมีแนวคิดว่าเราต้องเช่าที่ดินการรถไฟ มีการเจรจาขอที่ดินการรถไฟในนามสลัม 4 ภาค และได้มติบอร์ด รฟท.ปี 2543 แต่ก็ต้องต่อสู้อีกเยอะ จนได้เช่าที่ดินทำบ้านมั่นคง ตอนนี้เช่ามาตั้งแต่ปี 2550 ผ่อนบ้านหมดแล้ว และได้ขยายไปยังชุมชนใกล้เคียง ย่านบางระมาด ตลิ่งชัน และไม่ใช่พัฒนาแค่บ้าน แต่พัฒนาด้านสังคมด้วย
“อยากฝากการรถไฟ ที่ผ่านมา ที่เช่าไปแล้วไม่ต้องรื้อ เพราะชาวบ้านปลูกบ้านไปแล้ว เวลาจะเช่าที่อยากให้เร็วกว่านี้เพราะแต่ละชุมชนใช้เวลานานมาก 300 ชุมชนทำไม่ทันภายใน 5 ปี บางทีชุมชนชินกับการอยู่ฟรี งบที่อนุมัติเมื่อ 14 มีนาคม (มติ ครม.14 มีนาคม 2566) เป็นการแบ่งเบาภาระของชาวบ้าน” นางทองเชื้อกล่าว
“ที่ดินไม่ใช่สินค้า” คนจนร่วมพัฒนาเมืองได้
นายเชาว์ เกิดอารีย์ ผู้แทนเครือข่ายชุมชนคนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ (ชมฟ.) บอกว่า ชุมชนริมทางรถไฟย่านราชเทวี ทั้ง 4 ชุมชนมีการเตรียมตัว ก่อนหน้านี้ไปเรียกร้องเรื่องที่อยู่อาศัย โดนหมายศาล หมายบังคับคดี ตอนนี้ทำบ้านพักชั่วคราว และไปเช่าที่ริมบึงมักกะสัน ประมาณ 7 ไร่เศษ อยากให้การรถไฟเร่งทำสัญญาเช่าให้พวกเราเร็วๆ สัญญาเช่า 30 ปี เป็นโมเดลแรกที่ผู้ว่าการรถไฟได้ให้โอกาสกับคนในชุมชนว่า จะมีการให้เช่าที่ดินกับคนที่ได้รับผลกระทบ ต่อไปจะมีการกู้เงินจาก พอช.มาทำบ้านมั่นคง อยากให้การรถไฟมองที่ดินเป็นเหมือนภาคประชาชน ไม่ใช่สินค้า ถ้าเป็นสินค้าตกไปอยู่ในมือนายทุน ถ้าคนมาอยู่สามารถพัฒนาเมืองไปร่วมกันได้
“อยากให้การรถไฟเดินหน้าไปกับชุมชนและชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ เพราะจะทำให้ราบรื่น เพราะการมีส่วนร่วม คนในชุมชนก็ช่วยเหลืองานของการรถไฟได้ เพียงแต่ว่าเรายังไม่ได้ปรับ คุยกัน อยากให้การรถไฟมองว่าเราเป็นเพื่อน” แกนนำ ชมฟ. บอก
นายอัภยุทย์ นักพัฒนาอิสระ
นายอัภยุทย์ จันทรพา นักพัฒนาอิสระ บอกว่า เรื่องรถไฟมี 2 ภาค ปี 2543 มี 61 ชุมชนที่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินทำเรื่องที่อยู่อาศัยกับ รฟท. แต่ทั่วประเทศมีมากกว่า 61 ฃุมชน เวลา รฟท.จะแก้ปัญหาจะดูว่าอยู่ใน 61 ชุมชนหรือไม่ ? เพราะ รฟท.จะทำเส้นทางเชื่อม 3 สนามบิน จึงเป็นที่มาของการเสนอส่วนต่อขยายภาค 2 จาก 61 ชุมชนเป็นทั่วประเทศ และ พอช.มาสำรวจพร้อมกันได้ 300 กว่าชุมชน หลักการใหญ่มาจาก 4 ข้อเดิมของมติบอร์ดปี 2543 และมีพี่น้องไม่จ่ายค่าเช่า ทำให้เกิดกระแสไม่จ่าย ทำให้ พอช.ต้องค้างหนี้ รฟท. (รฟท.ให้ พอช.เช่าที่ดิน เพื่อนำมาให้ชุมชนเช่าต่อ) มติบอร์ด รฟท. ให้จ่ายค่าเช่าก่อน แต่ไม่ได้บอกว่าให้จ่ายทั้งหมด ถ้าไม่สามารถเจรจาในทางภาพรวมได้ ก็ให้เจรจาเป็นรายกรณี เพราะมติบอร์ด รฟท.เปิดช่องไว้
นายอัภยุทธ์กล่าวว่า ทำไมต้องเรียกร้องการเช่า ? ก่อนปี 2543 ไฟไม่มี น้ำไม่มี ไม่มีการพัฒนา การรถไฟให้อยู่ ถ้ามีโครงการจึงจะไล่ ชาวบ้านก็พัฒนาไม่ได้ เครือข่ายสลัม 4 ภาคเป็นผู้บุกเบิกให้เกิดการแก้ไขให้ถูกกฎหมาย เพราะการรถไฟมีที่ดินและให้ภาคเอกชนเช่า ชาวบ้านก็รู้สึกว่าถ้าคนรวยกู้ได้ ชาวบ้านก็ควรกู้ได้ ชาวบ้านไม่ได้ปฏิเสธโครงการของการถไฟแต่อยากได้สิทธิ์แบบ 61 ชุมชน
“จะเช่าอย่างไร ? เป็นประเด็นที่มีปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะ 300 ชุมชนให้เวลา 5 ปีทำให้เสร็จ ขนาด 5 ชุมชนคุยกัน 5 ปีแล้วยังไม่ได้ลงนาม ต้องยอมรับว่านโยบายนี้ดี เพราะถ้าจะทำอะไรก็ต้องไล่ชาวบ้านที ชาวบ้านก็ไปประท้วง ก็เกิดปัญหา ถ้ามาสำรวจแล้วทำเป็นโครงการ ก็เป็นวิธีที่แก้ปัญหาโดยสันติ แต่ปัญหาที่พบคือนโยบายมี งบประมาณมีแล้ว แต่กระบวนการในการทำงานยังไม่ค่อยราบรื่น มีแผนแต่ยังไม่ทำตามให้บรรลุเป็นรูปธรรม มีนโยบายแล้ว ชุมชนก็ต้องทำร่วมกัน” นายอัภยุทย์บอก
เขาบอกด้วยว่า ตนเข้าใจการรถไฟ แต่เราขอที่ดินเพียงส่วนเล็กๆ เช่น ที่บางซื่อ กม. 11 มีที่ดินกว่า 2 พันไร่ เราขอไม่ถึง 10 ไร่ เพื่อให้คนจนเมืองมีชีวิตอยู่ในเมือง ถ้าไม่คลี่คลายปัญหาด้วยการแบ่งปันก็จะต้องเผชิญหน้า แถวมักะสันโรงเจ เราทำกลุ่มออมทรัพย์ไว้ ชุมชนอยากจะขอแบ่งปันที่ดิน ทำไมเจ้าสัวได้ไป 150 ไร่ ?
รศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มติบอร์ด รฟท. 13 กันยายน 2543 ก็เป็นมติที่ถูกต้อง ทำให้เปลี่ยนหลายๆ เรื่อง ที่ดิน รฟท. เป็นโครงการที่ทำให้เห็นก่อน เห็นว่าสอดคล้องกับความต้องการของชาวบ้านและเป็นไปได้ คือไม่ต้องให้ชาวบ้านย้ายที่ดิน โครงการโฮปเวลล์ย้ายคนจำนวนมากไปอยู่ที่ฉลองกรุง ลาดกระบัง ประกอบอาชีพไม่ได้ คนจำนวนมากก็กลับมาหาที่บุกเบิกในเมือง การแก้ไขปัญหาต้องแก้แล้วจบ คือชาวบ้านต้องอยู่ในเมือง เพราะอาชีพเขาอยู่ในเมือง
รศ.ดร.บุญเลิศ
โครงการแรกที่ได้เช่าคือปักแก้ว ตรงจตุรทิศ ใกล้คลองจั่น สัญญาเช่าปี 2545 การที่เขาได้อยู่ตรงนั้น ได้ทำงานที่เดิม หลายคนคุณภาพชีวิตดีขึ้น ชาวบ้านทำบ้านได้สวย เป็นภาพที่ดีต่อเมือง คนที่ไม่ปรับปรุงบ้านเพราะเขาไม่มีความมั่นคงในที่ดินและบ้าน ไม่กล้าลงทุน การให้หลักประกันที่มั่นคง เป็นสิ่งที่เขาจะมีแรงจูงใจในการปรับปรุงบ้าน อาชีพคนจนต่างกับพนักงาน ใช้พื้นที่บ้านเป็นสถานที่ทำงาน เขาต้องการพื้นที่แนวราบในการทำงาน
“การไม่ให้เช่า ไม่เป็นประโยชน์ทั้งกับการรถไฟและชุมชน 20 ปีที่ผ่านมา เมื่อไม่ให้เช่า ชาวบ้านก็อยู่แบบนั้น บ้านก็เพิ่มขึ้น การทำงานร่วมกัน การให้เช่าดีกว่า แต่ละพื้นที่รู้ว่าการรถไฟจะทำอะไร ร่วมกันทำ ชาวบ้านก็เข้าใจการรถไฟ เขาไปเช่าตรงขอบก็ได้ ที่ดินไข่แดงตรงกลางชาวบ้านก็เข้าใจ เขาไม่ได้อยากได้ ที่ดินบางแห่งนักลงทุนก็ไม่กล้าลงทุนถ้าต้องมีปัญหายืดเยื้อ ส่วนคนในชุมชนมีทั้งที่อยากเช่าและไม่อยากเช่า แต่คนที่มานั่งในห้องนี้แสดงเจตจำนงค์ว่าเขาอยากทำ อยากเช่า ไม่ได้อยากอยู่เฉยๆ” รศ.ดร.บุญเลิศกล่าว
ความคืบหน้าและข้อเสนอจากประชาชนชาวริมทางรถไฟ
โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง พอช.มีแผนดำเนินการภายใน5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2566-2570 ขณะนี้ชุมชนต่างๆ จำนวน 300 ชุมชน 35 จังหวัด จำนวน 27,084 ครัวเรือน (ใช้งบประมาณรวม 7,718 ล้านบาทเศษ) กำลังเร่งสำรวจข้อมูลชุมชน ครัวเรือน เพื่อจัดทำสัญญาเช่าที่ดิน รฟท. (กรณีอยู่ในที่ดินเดิมได้) หรือจัดหาที่ดินแปลงใหม่
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีอุปสรรคบางประการในการทำงาน เช่น ชาวบ้านบางส่วนยังไม่เชื่อว่าจะมีโครงการพัฒนาระบบรถไฟ ยังไม่เข้าร่วม ฯลฯ รฟท. กับ พอช.จึงมีแนวคิดจัดตั้งคณะทำงานร่วมลงไปในพื้นที่ สื่อสารสร้างความเข้าใจกับกับชุมชนให้รวดเร็วขึ้น
โดย รฟท. และ พอช. จะทำแผนปฏิบัติการ หรือ action plan และเร่งดำเนินการใน 3 ระยะ คือ 1. ให้ชุมชนแจ้งความจำนงค์ว่าจะเข้าร่วมโครงการหรือไม่ 2. ต้องดำเนินการให้เช่าที่ดิน รฟท. ภายใน 30 ธันวาคม 2571 และ3. เมื่อสิ้นสุดงบประมาณปี 2570 ต้องวางแผนว่า จาก 27,084 ครัวเรือน จะเข้าร่วมพัฒนาที่อยู่อาศัยจำนวนเท่าไหร่ ? โดยพี่น้องชาวชุมชนจะต้องลุกขึ้นมาหารือกันมากยิ่งขึ้น ต้องมาคุยกันเป็นเครือข่ายอาจจะแก้ไขปัญหานี้ได้
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอจากประชาชนริมทางรถไฟในประเด็นต่างๆ เช่น การโดนคดีฟ้องร้องข้อหาบุกรุกที่ดิน รฟท. อยากให้มีการเจรจาก่อน เพราะปัจจุบันมีคณะทำงานร่วมกันระหว่างชาวบ้านกับ รฟท.แล้ว เสนอให้ต่อระยะเวลาการทำโครงการเรื่องที่อยู่อาศัยของ พอช.เกิน 5 ปี (เดิมภายในปี 2566-2570)
เร่งรัดการจัดทำสัญญาเช่าที่ดิน รฟท. สำหรับชุมชนที่ดำเนินการยื่นขอเช่าที่ดิน และจัดทำ ทด.3 เรียบร้อยแล้ว ในพื้นที่แปลงสถานีสำราญ สถานีขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น , พื้นที่แปลงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ , พื้นที่แปลงที่ดินจังหวัดตรัง 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนชายเขาใหม่พัฒนา ชุมชนทางล้อ และชุมชนคลองมวน เพื่อเป็นของขวัญให้กับชาวชุมชนเนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก
รฟท. และ พอช. ควรมีแนวทางการทำงานที่ชัดเจน และลงพื้นที่ชี้แจงให้กับชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศเพื่อให้เข้าใจหลักการดำเนินการ ฯลฯ
ผู้ร่วมงานแสดงสัญลักษณ์ ‘บ้าน’
***************
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก นำทีมช่างชุมชน Kick Off ซ่อมบ้านผู้ประสบภัยพิบัติ ‘แม่ยาวโมเดล’
พอช. หนุนงบกว่า 30 ล้าน ซ่อม สร้าง 6 ตำบล 875 ครัวเรือน สร้างรูปธรรม การจัดการที่ดิน ที่อยู่อาศัย ยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายจากชุมชน ถึงรัฐบาล
สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน
UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’
รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567
ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’
‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน
รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด
เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”
คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย
บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ
สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ