ปัจจุบันโลกต้องเผชิญกับภัยคุกคามและความท้าทายที่รุนแรงในหลากหลายรูปแบบ และส่งผลกระทบกันเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่โรคระบาด การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ไปจนถึง Disruptive Technology และวิกฤติทางเศรษฐกิจซึ่งความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นบททดสอบความสามารถในการปรับตัวของสังคม ประเทศชาติ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติด้านความมั่นคงเนื่องจากผู้คนในสังคมต่างเฟ้นหาความมั่นคงของตนบนพื้นฐานของอัตลักษณ์ที่วิวัฒน์ขึ้นใหม่ ทำให้รัฐต้องเผชิญกับความยุ่งยากมากขึ้นในการสนองตอบตามความต้องการ และความคาดหวังของผู้คนในสังคมที่มีความเป็นการเมืองมากขึ้นมีความเชื่อมโยง และบูรณาการการใช้ข้อมูลข่าวสารผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ส่งผลให้ลดทอนความสำคัญของสถาบันหลักและระบบดั้งเดิมลง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงความร่วมมือระหว่างประเทศอันเกิดจากการมีภัยคุกคามร่วมกัน ดังนั้นความมั่นคงของรัฐจึงไม่สามารถจำกัดอยู่ที่ความมั่นคงทางทหารเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
ยุทโธปกรณ์มากมายจึงได้ถูกคิดค้นขึ้นให้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในส่วนของกองทัพเท่านั้น แต่ได้ถูกนำไปใช้ในด้านอื่น ๆ กันอย่างแพร่หลาย (Dual–Use Technology) ดังนั้น การเตรียมความพร้อมในการรับมือจากภัยคุกคามทุกรูปแบบนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพื่อช่วยในการพิทักษ์รักษาอธิปไตย ปกป้องผลประโยชน์ และความมั่นคงของชาติ ตลอดจนดูแลความสงบสุขของประชาชน ให้พ้นจากภัยคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผ่านมาคงเป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยของเรานั้นได้จัดหายุทโธปกรณ์ต่าง ๆ จากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียงบประมาณ และขาดดุลทางการค้าเป็นจำนวนมาก ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมากระทรวงกลาโหมโดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และเหล่าทัพได้ร่วมมือกันผลักดันการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เพื่อการพึ่งพาตนเอง และลดการนำเข้ายุทโธปกรณ์ ด้วยการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาต้นแบบยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อส่งมอบให้เหล่าทัพได้นำไปทดสอบ และทดลองใช้งานตามมาตรฐานที่กำหนด ก่อนจะนำเข้าประจำการ ทั้งนี้เมื่อมีความต้องการมากขึ้นก็จะนำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มาพัฒนาถ่ายทอดไปสู่ภาคเอกชนที่มีขีดความสามารถและศักยภาพ เพื่อผลิตไว้ใช้งานในกองทัพ และสามารถจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ตลอดจนพัฒนาต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเพื่อการส่งออกได้ในที่สุด อย่างไรก็ดีการลงทุนด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศนั้นมีต้นทุนในการดำเนินการค่อนข้างสูงมาก และต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง อีกทั้งยังมีตลาดที่ค่อนข้างจำกัดทั้งภายในและต่างประเทศ หากไม่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนโดยภาครัฐอย่างจริงจัง อาจทำให้ยากที่จะประสบความสำเร็จ และไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้านความมั่นคงจากต่างประเทศได้
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หรือ สทป. เป็นหน่วยงานตามพระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. 2562 มีหน้าที่และอำนาจในการประกอบกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมไปถึงสามารถจัดตั้งนิติบุคคล การเข้าร่วมทุน ถือหุ้น หรือเป็นหุ้นส่วนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ ในการส่งเสริมและสนับสนุนกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานอื่นของรัฐ รวมถึงภาคเอกชนในการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ด้วยเหตุนี้สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพในการผลิตยุทโธปกรณ์ โดยสอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง และด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกอุตสาหกรรมความมั่นคงนั้น สทป. เป็นองค์การมหาชนเพียงรายเดียวในประเทศที่สามารถดำเนินกิจการดังกล่าวได้ อีกทั้งรัฐบาลยังได้กำหนดให้เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษอันดับที่ 11 (S-Curve 11) และได้ออกนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี โดยไม่กำหนดวงเงิน การยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบเพื่อการส่งออก เป็นต้น นอกจากนี้คณะรัฐมนตรียังได้ให้ความเห็นชอบในหลักการให้สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พิจารณาความเหมาะสมความเป็นไปได้ในการจัดเตรียมพื้นที่รองรับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อเป็นศูนย์รวมกำลังการผลิตเพื่อการแข่งขันในระดับนานาชาติ โดยคาดหมายว่าอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defense Industry) จะเป็นตลาดที่มีศักยภาพขนาดใหญ่ในอนาคต ดังนั้น สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศจะต้องเร่งยกระดับขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วนผลักดันให้เกิดต้นแบบยุทโธปกรณ์ที่เกิดจากการวิจัยและพัฒนาที่ตรงตามความต้องการของกองทัพ และมีมาตรฐานได้รับการยอมรับในระดับสากล พร้อมทั้งจะต้องสามารถนำเอาต้นแบบยุทโธปกรณ์ไปขยายผลเชิงพาณิชย์ในขั้นอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่สายการผลิต รวมทั้งมีการให้บริการหลังการขายเพื่อเป็นหลักประกันให้เกิดความมั่นใจและความต่อเนื่องในการใช้งาน หรือสามารถซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์เพื่อยืดอายุการใช้งานและต่อยอดเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับภารกิจของกองทัพในห้วงเวลา อันจะส่งผลให้ประเทศไทยมีการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการป้องกันประเทศได้อย่างก้าวกระโดด ทำให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เกิดการจ้างงาน และการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ อันจะช่วยทำให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการขยายตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier) ซึ่งจะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผลประโยชน์ของชาติในเชิงบวก ปัจจุบันสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศได้ผลักดันให้เกิดโครงการร่วมทุนในกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศสำเร็จแล้วจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการอากาศยานไร้คนขับ (UAV) โครงการอาวุธและกระสุน และโครงการยานเกราะล้อยางแบบ 4X4 นอกจากนี้สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศกำลังเตรียมความพร้อมที่จะดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้ครอบคลุมตามเทคโนโลยีเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศยินดีที่จะร่วมมือ และสนับสนุนหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน หรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่มีความสนใจหรือมีขีดความสามารถและศักยภาพ มาร่วมดำเนินกิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงภายในประเทศและก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ลดการนำเข้า มุ่งเป้าการส่งออก นำมาซึ่งผลประโยชน์ของชาติและความภาคภูมิใจในความสามารถของคนไทย นอกจากจะเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงในด้านการทหารแล้วยังเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในอนาคตได้อย่างยั่งยืนตลอดไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทึ่ง!ผุดกม.คุมปฏิวัติ ‘บิ๊กทิน’ดันสภากลาโหม ‘รับทราบ’ ออกเป็นพ.ร.บ.ปกติเชื่อไม่โดนฉีก
บังเอิญเหมือนจับวาง สภากลาโหมรับทราบร่าง กม.สกัดรัฐประหาร
กองทัพยอมรับ 'ร้อยโท' โยงสังหารแม่ค้าออนไลน์เป็นกำลังพลจริง
กองทัพยอมรับ “ร้อยโท” ผู้ต้องสงสัยสังหารแม่ค้าออนไลน์ เป็นกำลังพลของกองทัพไทยจริง ด้าน ผบ.ทหารสูงสุด ให้หน่วยงานต้นสังกัดดำเนินตามขั้นตอนพร้อมให้ความร่วมมือตำรวจ
'บิ๊กดุง' ชี้ฝ่ายค้านซักฟอกโยง 'กองทัพเรือ' ไม่ดุเดือด เป็นเหตุเป็นผล
'บิ๊กดุง' ชี้ฝ่ายค้านอภิปรายโยง 'กองทัพเรือ' ไม่ดุเดือด เป็นเหตุเป็นผล ปัดตอบปมตบทรัพย์จัดซื้อ 'เรือฟริเกต'
ผบ.ทบ.ปัดตอบรัฐประหาร ปลื้มยอดสมัครทหารพุ่ง 40,000 คน
พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึง การเกณฑ์ทหารในปีนี้ว่า เมื่อวานนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เดินทาง
'สุทิน' ควง 'เจ้าสัวธนินท์' สักขีพยาน MOU กลาโหมจับมือซีพี
นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหม กับบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด