สัปดาห์นี้ทุกฝ่ายต่างจับตามองและลุ้นไปกับการประชุม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วันอังคารที่ 1 ก.ค. ว่าคำร้องของกลุ่ม 36 สมาชิกวุฒิสภาที่ยื่นถอดถอน “แพทองธาร ชินวัตร” ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากกรณีคลิปเสียงอัปยศ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ก.ค. สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะกลับมาเปิดสมัยประชุมอีกครั้งเป็นเวลาร่วม 4 เดือนเต็ม ที่จะเป็นตัวเร่งทำให้การเมืองกลับมาเข้มข้นอีกครั้ง

การเตรียมยื่น ‘อภิปรายไม่ไว้วางใจ’ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 เสมือนการ ‘ขู่ขวัญ’ รัฐบาล โดย พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ดูจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว เมื่อเทียบกับฉากทัศน์การเมืองไทยเวลานี้ ที่พลิกผันเสียจนประชาชนคนไทยแทบตามไม่ทัน

ฉากทัศน์ของรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ถูกประเมินแล้วว่าสามารถลากต่อได้แบบวันต่อวัน หลังความชอบธรรมหมดสิ้น จากคลิปเสียงกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

นับตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคมเป็นต้นมา หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาที่แนวต้นพญาสัตบรรณ พื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี รวมระยะเวลาเกือบ 1 เดือนที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

การชักภาพร่วมกันระหว่างแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล นำโดย ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่โรงแรมโรสวูด กทม. เมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากยังไม่มีการแบ่งสัดส่วนโควตารัฐมนตรีแต่ละพรรคเสร็จสิ้นแล้ว

ปมประเด็นที่ “ฮุน เซน” ควันออกหูจนต้องปล่อยคลิปหลุดประจานนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ผู้ติดหนี้บุญคุณกัมพูชา เพราะบิดาและอาปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยหนีการรัฐประหารไปอยู่ที่นั่น คนที่รู้ต้นสายปลายเหตุดีที่สุดก็น่าจะเป็น “ทักษิณ ชินวัตร”

ความพยายามดันทุรังของ “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร หลังคลิปหลุดระหว่างสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และพ่อนายกฯ กัมพูชา

คลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี กับ ‘สมเด็จฮุน เซน’ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา กำลังตอกย้ำว่า รัฐบาลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการแก้ไขปัญหา

เกมการเมืองชิงอำนาจของฝ่ายแดงและน้ำเงินใกล้เข้าสู่จุดแตกหักเต็มที หลังคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนชุด 26 กกต. ออกหมายเรียกฮั้ว สว.ชุดที่ 7 แก่บรรดาแกนนำสีน้ำเงิน นำโดย “2 นอ” คือ “นอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล

พล.อ.ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. พร้อมภาพที่ตนเองใส่เครื่องแบบชุดลายพรางสนาม นั่งแถลงข่าว เล่าถึงภารกิจของตนเองที่เดินทางลงพื้นที่ไปเยี่ยมทหารในพื้นที่ ณ จุดปะทะใกล้แนวต้นพญาสัตบรรณ พื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี พร้อมเปิดประเด็นเรื่องการนำประเด็น 3 ปราสาท 1 พื้นที่ช่องบกยื่นต่อศาลโลกให้ชี้ขาด

น่าสนใจไม่น้อยกับการเคลื่อนไหวของ กลุ่มเสี่ยเฮ้ง สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ยังคงเคลื่อนไหวการเมืองต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนัดรวมพล-รวมตัว สส.และแกนนำ รทสช.หลายนัดติดต่อกัน

สงครามประสาทระหว่างทางการกัมพูชา นำโดย 2 พ่อลูก “ฮุน เซน-ฮุน มาเนต” ที่เปิดฉากใส่ประเทศไทย อันนำมาสู่สถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลายวันเริ่มคลี่คลาย

สถานการณ์การเมืองกลับมาเร่งเล้าสู่โหมดปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างจริงจังแล้ว เมื่อ “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ยอมรับคิดเรื่องการปรับ ครม. อาจเพราะทนต่อกระแสข่าวกดดันจาก “พ่อนายกฯ” ทักษิณ ชินวัตร

มติแพทยสภา 12 มิ.ย.จะออกมาอย่างไร ต้องติดตามกันว่าจะมีกรรมการคนใดไม่กล้าเข้าประชุม เพราะกลัวโดนแรงกดดันทางการเมืองหรือไม่ และผลการลงมติจะออกมาอย่างไร จะยืนยันมติเดิม หรือจะเอาด้วยกับการวีโตของสมศักดิ์ ซึ่งหากเป็นแบบหลัง คงไม่ต่างอะไรกับ การชักเข้าชักออก-เขียนด้วยมือ ลบด้วยตีน นั่นเอง

มันแสดงให้เห็นว่า กลุ่มสุชาตินับวันยิ่งยกระดับการแตกหักกับกลุ่มพีระพันธุ์แรงขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่มีเกรงใจ เปิดหน้าชน แตกเป็นแตก ให้รู้กันไปเลย เหมือนต้องการท้าทาย แน่จริง ขับออกจากพรรคเลย

มาตรการกดดันทางด้านเศรษฐกิจชายแดนของกองทัพบกไทย ที่ให้อำนาจผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนว ออกคำสั่งควบคุมการเปิด-ปิดด่าน โดยเฉพาะการห้ามนักพนันและนักท่องเที่ยวข้ามไปฝั่ง

สถานการณ์ทางการเมืองตอนนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายทักษิณ ชินวัตร พ่อนายกฯ กำลังเผชิญศึกรอบด้าน และกำลังแก้เกมสู้ระยะยาวอย่างไร

จากสถานการณ์ที่กำลังคุกรุ่น บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ที่เกิดการปะทะของทหารไทยและกัมพูชา ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งสร้างความไม่สบายใจให้กับประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก หลังฝ่ายกัมพูชาเดินเกมเร็วและชัดเจน จ่อฟ้องไทยด้วยการนำข้อพิพาทพื้นที่อ้างสิทธิ์ขึ้นศาลโลก

หากผลประชุมแพทยสภาวันที่ 12 มิ.ย. เสียงโหวตยืนยันมติเดิมไม่ถึง 2 ใน 3 เท่ากับว่ามติลงโทษตามผลประชุมแพทยสภา วันที่ 8 พ.ค. ไม่มีผล ใช้ไม่ได้ แต่ไม่ได้ทำให้การสอบสวนลงโทษแพทย์ทั้ง 3 คน ยุติลงหรือหายไปเลย แต่แพทยสภาต้องประชุมลงมติอีกครั้งว่าจะลงโทษแพทย์ทั้ง 3 คนหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมอาจลดโทษลงจากเดิม เช่น ลดเวลาในการพักใบอนุญาตลดลงจากมติเดิม…แพทยสภาต้องรักษาเกียรติยศชื่อเสียงองค์กร หากคนขาดศรัทธาแพทยสภา แพทย์จะเสียหายมาก ควรมีการเปิดเผยว่ามีกรรมการคนไหนเข้าประชุม ไม่เข้าประชุม และควรลงมติโดยเปิดเผย ไม่ควรลงมติลับ