(แฟ้มภาพ)
25 ต.ค.2566 - แอมเนสตี้ ออกแถลงการณ์ ในวาระครบรอบ 19 ปี เหตุการณ์ตากใบ มีเนื้อหาดังนี้
เนื่องในวาระครบรอบ 19 ปีของการสลายการชุมนุมอย่างโหดร้ายในอำเภอตากใบ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องทางการไทยให้ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดการรับผิดของเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ครั้งนั้น ก่อนที่อายุความ 20 ปีจะสิ้นสุดลงในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ทั้งยังเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ปฏิรูปกฎหมาย ข้อบังคับ แนวปฏิบัติ และการปฏิบัติของทางการทั้งหลายทั้งปวง เพื่อประกันว่าเจ้าหน้าที่จะคุ้มครองและอำนวยความสะดวกให้กับการชุมนุมสาธารณะที่สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ประชาชนประมาณ 2,000 คนได้มารวมตัวกันโดยสงบบริเวณด้านหน้าสถานีตำรวจภูธรตากใบในจังหวัดนราธิวาส หนึ่งในจังหวัดชายแดนใต้ (จชต.) ของประเทศไทยที่มีปัญหาความขัดแย้ง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ชาวมลายูมุสลิม 6 คนที่อยู่ระหว่างถูกควบคุมตัว ในการรับมือกับการรวมตัวโดยสงบครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้พยายามสลายการชุมนุม ด้วยการยิงแก๊สน้ำตา ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง และกระสุนจริงกับผู้ชุมนุมประท้วง ส่งผลให้ผู้ชุมนุมเจ็ดคนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บ ภายหลังการสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ชุมนุมประท้วง 1,370 คน ผูกมือไพล่หลัง และบังคับให้ขึ้นไปนอนคว่ำทับซ้อนกันด้านหลังรถบรรทุกทหาร เพื่อขนย้ายไปยังสถานที่ควบคุมตัวในค่ายทหาร ส่งผลให้มี 78 คนที่เสียชีวิตจากการถูกกดทับหรือขาดอากาศหายใจในระหว่างการขนส่ง
แอมเนสตี้ระบุเพิ่มเติมว่า จากการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์แล้ว ผู้ชุมนุมอีกหลายร้อยคนยังคงถูกควบคุมตัวโดยทหาร และต่อมามีการส่งตัวไปยังค่ายทหารในจังหวัดอื่นๆ รวมทั้งชุมพรและสุราษฎร์ธานี ในภาคใต้ตอนบนของไทย เพื่อควบคุมตัวเพิ่มเติมอีกเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่ 24 มกราคม 2548 พนักงานอัยการจังหวัดนราธิวาสได้สั่งฟ้องผู้ถูกควบคุมตัว 59 คนในข้อหาร้ายแรง รวมทั้งขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน และมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ตามมาตรา 139 และ 215 ของประมวลกฎหมายอาญา ตามลำดับ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 พนักงานอัยการได้ถอนฟ้องคดีทั้งหมดโดยอ้างเหตุว่าไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ
จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีการสั่งฟ้องเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตามที่คณะกรรมการระบุถึงแต่อย่างใด มีเพียงแต่รายงานข่าวว่า แม่ทัพภาคที่ 4 ในขณะนั้นถูกโยกย้ายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อื่น ระบุรัฐบาลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติตามคำสัญญาที่จะคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายและครอบครัว ในทางตรงข้าม รัฐบาลกลับช่วยให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่เกี่ยวข้องสามารถลอยนวลพ้นผิดไปได้
ดังนั้น เนื่องในวาระครบ 19 ปีเหตุการณ์ตากใบ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ใช้โอกาสนี้ อำนวยให้เกิดความยุติธรรมกับผู้เสียหายจากการสลายการชุมนุมที่อำเภอตากใบ ก่อนคดีจะหมดอายุความในเดือนตุลาคม 2567 โดยขอกระตุ้นให้ทางการไทยดำเนินการดังต่อไปนี้
สำหรับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
-ให้รื้อฟื้นการสอบสวนต่อการดำเนินงานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ระหว่างเหตุการณ์นี้โดยทันที และให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาในช่วงเวลาดังกล่าว การสอบสวนกรณีนี้อาจใช้ประโยชน์จากข้อค้นพบของคณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล และจากการให้ปากคำขององค์กรภาคประชาสังคม ผู้ชำนาญการอิสระ และที่สำคัญอย่างยิ่ง คือการรับฟังความเห็นจากผู้เสียหายและครอบครัว
-ให้การประกันว่า แนวทางและการปฏิบัติที่นำมาใช้เพื่อคุ้มครองและอำนวยความสะดวกต่อการชุมนุมสาธารณะ จะสอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และหากต้องมีการใช้กำลังใดๆ ให้ถือเป็นทางเลือกสุดท้าย และให้ใช้อย่างจำกัดเฉพาะเท่าที่จำเป็นต่อพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
สำหรับสำนักงานอัยการสูงสุด
-สั่งฟ้องเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาซึ่งรับผิดชอบต่อการควบคุมการชุมนุมประท้วง ในอำเภอตากใบ การสั่งฟ้องคดีนี้ให้เป็นไปตามหลักกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศว่าด้วยการพิจารณาที่เป็นธรรม
สำหรับกระทรวงยุติธรรม
-ให้ความช่วยเหลือที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเข้าถึงความยุติธรรมสำหรับผู้เสียหายและครอบครัว รวมทั้งทรัพยากรการเงินและข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับช่องทางที่จะนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
-จัดอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายทุกคน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารที่เกี่ยวข้องในจังหวัดชายแดนใต้ (ตราบที่ยังปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่) เพื่อให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง, อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ, อนุสัญญารว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ, หลักการพื้นฐานขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย และแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงตํ่าในการบังคับใช้กฎหมาย
สำหรับรัฐบาลไทย
-ในบริบทของพื้นที่ จชต. ให้แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายความมั่นคงที่บังคับใช้อยู่ รวมทั้งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก และพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อประกันให้มีการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ในภูมิภาคนี้ และแก้ปัญหาวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด
-ให้การประกันว่าเจ้าหน้าที่ทหารจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมการชุมนุมประท้วงในพื้นที่สาธารณะในพื้นที่ จชต.
-ปฏิรูปกฎหมาย ข้อบังคับ แนวปฏิบัติและการปฏิบัติของทางการทั้งปวง เพื่อประกันว่า เจ้าหน้าที่จะคุ้มครองและอำนวยความสะดวกให้กับการชุมนุมสาธารณะ สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
-ชี้ชัดถึงความผิดพลาดในอดีต ยอมรับข้อผิดพลาด และใช้บทเรียนดังกล่าว รวมทั้งข้อมูลจากกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (ที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลัง) เพื่อจัดทำเป็นหลักสูตรในการอบรมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย
-ทำการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นองค์รวม ในส่วนที่เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมในอำเภอตากใบ เพื่อจำแนกมาตรการเพิ่มเติมที่อาจนำมาใช้ให้เกิดการเยียวยาที่เป็นผล การประเมินดังกล่าวต้องครอบคลุมมุมมองด้านเพศสภาพ เพื่อจำแนกความต้องการเป็นการเฉพาะของผู้หญิงชาวมุสลิมเชื้อสายมลายู
-ดูแลให้แนวทางการควบคุมการชุมนุม นำไปสู่การคุ้มครองและอำนวยความสะดวกต่อการใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมประท้วงโดยสงบ โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าการชุมนุมประท้วงมีความสงบ มุ่งเน้นการลดความตึงเครียดของสถานการณ์ที่อาจส่งผลให้เกิดความรุนแรง และรับประกันว่า จะไม่มีการใช้กำลังอย่างมิชอบต่อผู้ชุมนุมประท้วงอีกต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
องค์กรต้านคอร์รัปชัน ยินดี ประกาศใช้มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก ผู้เปิดโปงการทุจริต
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ยินดีที่ประกาศใช้มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP law) ผู้เปิดโปง ชี้เบาะแสหรือเป็นพยานในคดีคอร์รัปชัน พร้อมเสนอแนะให้เร่งศึกษาและเดินหน้าต่อใน 3 ประเด็นปัญหาร้อน ได้แก่ สิทธิผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน
แอมเนสตี้ โวยส่ง 'ชาวอุยกูร์' กลับจีน เป็นความโหดร้ายเกินจินตนาการ
จากรายงานที่ระบุว่าชาวอุยกูร์ประมาณ 40 คน ซึ่งถูกควบคุมตัวในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2557 ได้ถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศจีนในวันนี้ เรื่องนี้
'ขออภัย' ไม่ได้ 'ขอโทษ'! ทักษิณ-รัฐบาลแพทองธาร ดับไฟใต้?
ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ของไทยยังคงเป็นบาดแผลที่รัฐบาลทุกชุดต้องเผชิญ โดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนทั้งการเมือง ศาสนา เชื้อชาติ และการแบ่งแยกดินแดน ส่งผลกระทบต่อทั้งความสงบสุขและความสูญเสียที่ประชาชนต้องเผชิญต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน
'ทักษิณ' เปิดปาก 'ขออภัย' หลังคดีตากใบหมดอายุความ 20 ปี
"ทักษิณ" ขออภัย หลังเหตุการณ์ตากใบหลังคดีหมดอายุความ 20 ปี ยอมรับทำผิดพลาด หวังให้หันกลับมาช่วยกันแก้ปัญหาในพื้นที่
ข้องใจไปฐานะอะไร! บี้ 'ทักษิณ' สารภาพผิด ขอโทษคนใต้อย่างเป็นทางการ
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ "แนะทักษิณ สารภาพผิด ขอโทษคนใต้" โดยระบุว่า
กสม. ชี้สายการบิน ปฏิเสธออกบัตรโดยสารให้ 'ผู้ชายข้ามเพศ' เป็นการละเมิดสิทธิฯ
กสม. ชี้ กรณีสายการบินแห่งหนึ่งปฏิเสธออกบัตรโดยสารให้ผู้โดยสารข้ามเพศ เป็นการละเมิดสิทธิฯ เสนอสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยหาทางป้องกันและแก้ไข