24 ธ.ค.2566-สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ฉบับที่ 2 เรื่อง การปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องคำนึงถึงความเป็นจริง กติกาสากลและสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
จดหมายระบุว่า ภายหลังจากการจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี มีความพยายามที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยนโยบายต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 600 บาท โดยจะทยอยปรับแต่เริ่มต้นจะปรับขึ้นเป็นวันละ 400 บาท แม้ว่าอาจจะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงกับค่าครองชีพของประชาชน เหตุเพราะราคาสินค้า ราคาสาธารณูปโภค ปรับราคาแพงขึ้นอย่างมาก และนโยบายเรื่องการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามที่รัฐบาล และนายกรัฐมนตรีแถลงต่อสาธารณะนั้น ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง แต่ส่วนใหญ่ เห็นด้วยและรวมไปถึงการปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรเท่ากันทั้งประเทศ
27 พฤศจิกายน 2566 สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) เข้าพบรัฐมนตรี และได้มีการพูดคุยหารือในเรื่องนี้และบอกตัวเลขการปรับค่าจ้างว่าตัวเลขที่เหมาะสมน่าจะเป็นที่ 400 บาท ส่วนจะเท่ากันทั้งประเทศ ตามที่ สสรท. และ สรส. ต้องการหรือไม่นั้น อาจจะเป็นไปไม่ได้
ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2566 มีการประชุมคณะกรรมการไตรภาคีพิจารณา เรื่อง การปรับค่าจ้างและมีมติเอกฉันท์ตามที่ปลัดกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร แถลง คือ การปรับค่าจ้างจะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 1 มกราคม 2567 โดย
จะมีการปรับในอัตรา 2-16 บาท ต่ำสุดอยู่ที่ 330 บาท สูงสุดอยู่ที่ 370 บาท ขยายจาก 13 ราคาในปี 2565 เป็น 17 ราคา โดยปลัดกระทรวงแรงงานแถลงว่าจะนำเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ในวันที่ 12 ธันวาคม 2566
10 ธันวาคม 2566 สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ออกจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล “เรียกร้องให้ทบทวนการปรับค่าจ้างขั้นต่ำต้องเป็นธรรม ต้องเลี้ยงคนในครอบครัวได้ตามหลักการสากลและต้องเท่ากันทั้งประเทศ พร้อมกับมาตรการควบคุมราคาสินค้า” จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างในทิศทางที่บอกว่าการปรับค่าจ้างนั้นน้อยเกินไป ไม่สอดคล้องกับภาวะการดำรงชีพของประชาชน แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีก็แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ไม่อาจยอมรับได้ปรับน้อยเกินไป “ปรับ 2 บาท ซื้อไข่ 1 ใบยังไม่ได้เลย” คือ คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี และเรื่องการปรับค่าจ้างที่เสนอเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 12 ธันวาคม 2566 ถูกถอนออกไป และนายกรัฐมนตรีสั่งให้ทบวนใหม่
20 ธันวาคม 2566 คณะกรรมการไตรภาคีพิจารณา เรื่อง การปรับค่าจ้างได้มีการประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง และปลัดกระทรวงแรงงานก็มีการแถลงอีกครั้งว่า “ว่าคณะกรรมการพิจารณาการปรับค่าจ้างมีมติเอกฉันท์ ยืนยันตามมติเดิมที่พิจารณาไปแล้ว ไม่ทบทวนตัวเลขใหม่”
สิ่งที่ต้องตั้งคำถามและตั้งข้อสังเกตต่อนายกรัฐมนตรี และ รัฐบาล คือ 1.ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมคณะกรรมการไตรภาคีในการพิจารณาการปรับค่าจ้าง สิ่งที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแถลงต่อสาธารณะ ตัวแทนรัฐบาลในไตรภาคีจึงไม่ได้นำไปเสนอต่อที่ประชุม ซึ่งมีข้อมูลงานวิจัยและสภาพความเป็นจริงทางสังคมมากมาย 2.หากผู้แทนฝ่ายรัฐบาลนำสิ่งที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานแถลง ซึ่งเชื่อว่าตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง หากเป็นตัวแทนของคนงานที่แท้จริง และมีจิตสำนึกทางชนชั้นก็จะเห็นด้วยกับผู้แทนรัฐบาลแม้ว่าฝ่ายนายจ้างจะไม่เห็นด้วย เมื่อลงคะแนน 2 เสียง ต่อ 1 เสียง ก็ย่อมชนะอยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่ทำ ไม่สนองนโยบายนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือไม่
3. หรือการหาเสียงของพรรคแกนนำรัฐบาลก่อนหน้านั้นเป็นเพียงนโยบายเพื่อให้ได้มาซึ่ง คะแนนเสียงหรือไม่ พอได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ไม่พยายามที่จะสร้างความเป็นจริงให้เกิดขึ้นแต่กลับใช้กลไกในการสร้างเหตุผล หาความชอบธรรมในการไม่ทำตามนโยบาย 4. หากนายกรัฐมนตรีมีความจริงใจที่จะทำตามนโยบายและสิ่งที่แถลงไว้จริง อาจมีความเป็นไปได้ว่ามีการทำลายความน่าเชื่อถือทางการเมือง (ดิสเครดิต) ของพรรคร่วมรัฐบาล 5. การสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่สั่งการให้ทบทวนไม่มีผลในทางปฏิบัติ ผู้แทนฝ่ายรัฐในไตรภาคีไม่สนองนโยบาย ทั้งที่เป็นประโยชน์ของผู้ใช้แรงงาน รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ของประเทศในภาพรวม และ6. ขอตั้งข้อสังเกตต่อฝ่ายลูกจ้างว่า ได้ยืนหยัดในจุดยืนเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้แรงงานที่แท้จริง
หรือไม่
สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ซึ่งเป็นองค์กรของคนงานที่มีองค์กรสมาชิกทั้งแรงงานภาคเอกชน แรงงานนอกระบบ ลูกจ้างภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และแรงงานข้ามชาติ จึงขอเรียกร้องไปถึงนายกรัฐมนตรี และ รัฐบาล หากมีความจริงใจ ที่จะแก้ไขปัญหาของผู้ใช้แรงงานดังที่ได้ประกาศต่อสาธารณะขอให้ท่านมีความจริงจัง จริงใจ ในคำประกาศนั้น เพราะการปรับค่าจ้างให้สอดคล้องกับความเป็นจริงตามสภาพความเป็นอยู่ และการดำรงชีพของประชาชนก็จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่ง สสรท. และ สรส. ขอยึดมั่น ในข้อเสนอที่ปรากฏในจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2566
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เพื่อไทย' จ่อเคลียร์ใจ 'ปานปรีย์' ชวนนั่งกุนซือพรรค ไม่รู้ 'นพดล' เสียบแทน
'เลขาฯ เพื่อไทย' รับต้องคุย 'ปานปรีย์' หลังไขก๊อกพ้น รมว.ต่างประเทศ แย้มชงนั่งที่ปรึกษาพรรค มั่นใจไม่เกิดแรงกระเพื่อม ปัดวางตัว 'นพดล' เสียบแทน ชี้ 'ชลน่าน-ไชยา' หน้าที่หลักยังเป็น สส.
พท. จัดใหญ่! '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' ตีปี๊บผลงาน 'รัฐบาลเศรษฐา'
'เพื่อไทย' เตรียมจัดงาน '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' สรุปผลงาน 'รัฐบาลเศรษฐา' 3 พ.ค.นี้ เดินหน้าเติมนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน พร้อมเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ.
รบ. ชม 2 แรงงานไทยสร้างชื่อ คว้ารางวัลแรงงานคุณภาพขวัญใจนายจ้างไต้หวัน
รัฐบาลชื่นชม 2 แรงงานไทย สร้างชื่อเสียงด้านแรงงาน คว้ารางวัลแรงงานคุณภาพ เนื่องในวันแรงงานสากล
'อนุทิน' ชื่นชมสปิริต 'ปานปรีย์' พร้อมให้กำลังใจ
'อนุทิน' เชื่อดรามาปรับ ครม. ไม่กระทบภาพลักษณ์รัฐบาล โทรให้กำลังใจ 'ปานปรีย์' พร้อมชื่นชมสปิริต ลาออก ดีกว่ากล้ำกลืนทำงาน
‘เศรษฐา’ แจงยิบปรับครม. ขอโทษ ‘ปานปรีย์’ ทำให้ไม่สบายใจ บอกมีคนแทนในใจแล้ว
‘เศรษฐา’ เผย ส่งข้อความผ่านกลุ่มงานต่างประเทศขอโทษ ‘ปานปรีย์’ ถ้าทำให้ไม่สบายใจ บอกได้คุยกันก่อนปรับ ครม.แล้ว ชี้มีทั้งคนสมหวัง-ผิดหวัง พร้อมรับผิดชอบ แย้มมองหาคนใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน ดีกรี การทูต-การเมือง ทำงานเบื้องหลัง’เพื่อไทย’ มานาน
สมชัย ชี้ปรับ ครม. ‘รัฐบาล’ ขาดทุนมากขึ้น หน้าตาคนมาใหม่หลายคน ปชช.ส่ายหน้า
ปรับ ครม.ครั้งนี้ จึงดูเหมือนรัฐบาลจะขาดทุนมากขึ้น เพราะหน้าตาคนมาใหม่หลายคนประชาชนก็ส่ายหน้า ยิ่งปานปรีย์ลาออกอีก ยิ่งเสียโอกาสได้คนเก่งและทุ่มเทมาอยู่ใน ครม.