'อัยการธนกฤต' เคลียร์ชัด! ศาลมีอำนาจตีความเกินคำขอหรือไม่

‘อัยการธนกฤต’ จับสังเกตปมแก้รธน. ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยเกินคำขอหรือไม่ ชี้ยังไม่พบกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้อำนาจไว้

12 ก.ย. 2568 – ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการผู้เชี่ยวชาญ และอาจารย์พิเศษผู้บรรยายวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความ และกฎหมายพยานหลักฐาน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รามคำแหง นิด้า และแม่ฟ้าหลวง ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในประเด็นศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยเกินคำขอหรือไม่ ว่า

หลักห้ามศาลพิพากษาเกินคำขอบังคับใช้กับคดีทุกประเภท ศาลไม่มีอำนาจพิพากษาเกินคำขอได้ เว้นแต่จะมีกฎหมายให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะ

นอกจากนี้ ยังมีหลักความไม่เปลี่ยนแปลงแห่งรูปคดี ที่กำหนดให้ศาลไม่สามารถตัดสินคดีไม่ครบหรือเกินไปกว่าประเด็นแห่งคดี และตามหลักนิติรัฐหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐจะกระทำการใดได้ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจไว้ เพื่อมิให้ละเมิดและกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ศาลที่ใช้ระบบกล่าวหาและระบบไต่สวน ล้วนอยู่ภายใต้หลักการดังกล่าวเหมือนกัน

เมื่อพิจารณาถึงรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ไม่ได้บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยเกินคำขอได้

การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเกินไปกว่าที่ยื่นคำร้องขอและอาจจะเป็นการนอกเหนือประเด็นแห่งคดีด้วย จะสามารถทำได้หรือไม่

ซึ่งศาลฎีกาได้วางแนวคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วในหลายๆ คดี ว่า การที่ศาลวินิจฉัยเกินไปกว่าคำฟ้องหรือคำร้องขอ หรือเกินไปกว่าประเด็นแห่งคดี เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎีกาที่ 4607/2550 (ประชุมใหญ่), ฎีกาที่ 116/2552)

เรื่องนี้จึงถือเป็นประเด็นด้านกฎหมายและวิชาการที่น่าสนใจ ที่วงการนิติศาสตร์ และนักกฎหมาย ควรนำมาศึกษา วิเคราะห์ และอภิปรายกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 2) วินิจฉัยในคำร้องที่ประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ว่ารัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบเสียก่อน การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

เเละศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 1) วินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ โดยการออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ระวัง! ติดกับดักตัวเอง ปมคำถามประชามติ

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี วางกับดักตัวเอง ในการส่งคำถามประชามติของคณะรัฐมนตรี

ศาลรัฐธรรมนูญ นัดไต่สวน 'ภูมิธรรม-ทวี' แทรกแซงคดีฮั้ว สว.

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่ ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

อสส. ไฟเขียว 'อัยการธนกฤต' นั่งที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน

อัยการสูงสุด ได้อนุญาตให้ ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการผู้เชี่ยวชาญ สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายสัญญาและหารือ 4 สํานักงานที่ปรึกษา กฎหมายปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินได้

'บวรศักดิ์' แจงข้อกฎหมาย ครม.ส่งคำถามประชามติ ช่วยรัฐสภาไม่ต้องเสี่ยงขัด รธน.

อ.บวรศักดิ์ แจงเหตุส่งคำถามประชามติของครม.เพราะต้องการช่วยรัฐสภา หลังพบสุ่มเสี่ยงขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพราะไม่ได้ใช้คำว่า