
5 พ.ย. 2568- นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ MOU 2543 : เครื่องมือทางการทูต หรือกับดักทางการเมือง มีเนื้อหาดังนี้
-------
กว่า 25 ปีที่ผ่านมา “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา” หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า MOU 2543 กลายเป็นเอกสารที่ถูกกล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำอีกในเวทีการเมืองไทย
บางฝ่ายมองว่า MOU ฉบับนี้คือ “หลักประกันทางการทูต” ที่ช่วยรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างมีระบบ
แต่อีกฝ่ายกลับเห็นว่า มันคือ “กับดักทางการเมือง” ที่อาจเปิดช่องให้กัมพูชามีอำนาจต่อรองเหนือไทยในประเด็นเขตแดน
เพื่อให้เข้าใจอย่างเป็นธรรม เราจึงควรมองทั้ง “ข้อดี” และ “ข้อเสีย” ของ MOU ฉบับนี้ในเชิงหลักการกฎหมายระหว่างประเทศและการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ
จุดแข็งของ MOU 2543 : เครื่องมือทางการทูตที่เป็นสากล
MOU 2543 ถูกออกแบบให้เป็น “กรอบการเจรจา” ระหว่างสองประเทศ เพื่อร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนอย่างเป็นระบบตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
กล่าวง่าย ๆ คือ เป็น เครื่องมือทางการทูต (Diplomatic Instrument) ที่ประเทศต่าง ๆ ใช้กันทั่วไป
ข้อดีของ MOU ฉบับนี้คือ
1)มีการกำหนด “กลไกการเจรจา” ที่ชัดเจน เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) และ คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม (Joint Technical Sub-Committee: JTSC)
ในทางปฏิบัติ การประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) มักจะมีการจัดตั้ง คณะทำงานย่อย/คณะสำรวจภาคสนาม (JDS/JST) ขึ้นมาเพื่อปฏิบัติงานจริงภายใต้การกำกับดูแลของ JTSC
2) มีหลักประกันด้านความปลอดภัย การห้ามเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ และการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี (ตามข้อ 3, 5 และ
3) แยกเรื่องเขตแดนออกจากมิติการเมืองอื่น ๆ เพื่อให้การเจรจาไม่กระทบต่อความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสังคม
กล่าวได้ว่า MOU 2543 เป็น “ข้อตกลงที่ออกแบบมาให้เจรจาได้แม้ในภาวะที่อ่อนไหว” — ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศอารยะส่วนใหญ่ใช้ในการรักษาสัมพันธไมตรีระหว่างกัน
จุดอ่อนและความท้าทาย : เมื่อการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
แม้ MOU 2543 จะวางกรอบไว้ดี แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา กลับไม่ได้มาจากเนื้อหาในเอกสารโดยตรง หากแต่มาจาก “การตีความ” และ “การเมืองภายในประเทศ” ของแต่ละฝ่าย
1)เขตแดนไทย–กัมพูชามีความยาวประมาณ 800 กิโลเมตร การสำรวจที่ต้องทำด้วยความละเอียดสูง ทำให้การเดินหน้าเป็นไปอย่างเชื่องช้า
อย่างไรก็ตาม ความล่าช้านี้สะท้อนถึง “ธรรมชาติของกระบวนการ” มากกว่าความบกพร่องของ MOU เอง
2) ความไม่แน่นอนของเจตนารมณ์คู่เจรจา
แม้จะมีกลไกเจรจาร่วม แต่ความไว้วางใจระหว่างประเทศไม่อาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
กรณีไทย–มาเลเซีย หรือไทย–ลาว ที่ดำเนินการปักปันเกือบเสร็จสมบูรณ์ แสดงให้เห็นว่า “เจตนาทางการเมือง” สำคัญกว่าเอกสารทางเทคนิคใด ๆ
3) การเมืองภายในที่ทำให้เอกสารกลายเป็นประเด็นข้อขัดแย้ง
ในหลายช่วงเวลา MOU 2543 ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นโจมตีทางการเมืองภายในประเทศ ทั้งที่เนื้อแท้แล้วเป็นเพียง “กรอบเจรจาทางเทคนิค” ไม่ใช่สนธิสัญญาที่เปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือพื้นที่ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย
หาก “ยกเลิก MOU 2543” จะเกิดอะไรขึ้น
การยกเลิก MOU 2543 ไม่เพียงแต่ส่งผลทางการเมือง แต่ยังมีผลกระทบทางเทคนิค กฎหมาย และการทูตอย่างเป็นรูปธรรม
1)ข้อมูลสำรวจและหลักเขตแดนที่ทำมานานกว่า 20 ปีอาจถูกลดความน่าเชื่อถือ
คู่เจรจาอาจไม่ยอมรับผลการสำรวจเดิม ทำให้ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ทั้งหมด
2) เสี่ยงต่อความไม่ชัดเจนของพื้นที่ชายแดน
เมื่อไม่มีกรอบการเจรจา อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางทหาร และกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจชายแดน
3) ภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศอาจเสียหาย
หากไทยยกเลิกข้อตกลงฝ่ายเดียวในขณะที่ไทยและกัมพูชาต่างเป็นสมาชิกของประชาคมอาเซียนด้วยกัน
4) ไทยจะขาดเครื่องมือทางการทูตในการระงับข้อพิพาท
เมื่อไม่มีช่องทาง JBC หรือ JDS การแก้ปัญหาใด ๆ อาจต้องอาศัย “กลไกระดับสูง” เช่น การนำขึ้นศาลโลก ซึ่งจะมีความเสี่ยงมากกว่า
มองไปข้างหน้า : ปรับใช้ ไม่ใช่ทำลาย
ข้อเท็จจริงที่สำคัญคือ MOU 2543 ไม่ได้มีสถานะเป็น “สนธิสัญญาแบ่งเขตแดน” แต่เป็น “ข้อตกลงเชิงกระบวนการ” เพื่อให้ไทยและกัมพูชามีพื้นที่พูดคุยกันอย่างเป็นระบบ
การยกเลิก MOU ไม่ได้ลบล้างพันธกรณีเดิม เช่น สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907 ซึ่งยังคงมีผลใช้บังคับตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ดังนั้น ทางออกที่สร้างสรรค์ที่สุดจึงไม่ใช่ “ยกเลิก” แต่คือ “ปรับใช้” — ปรับกลไกให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น
1)เพิ่มความโปร่งใสของกระบวนการเจรจา
2) สร้างการรับรู้ของสาธารณชนอย่างถูกต้อง และ
3) รักษาความต่อเนื่องของนโยบายต่างประเทศ ไม่ให้เปลี่ยนตามกระแสการเมือง
บทสรุป
MOU 2543 ไม่ใช่ศัตรูของความมั่นคง แต่เป็นเครื่องมือทางการทูตที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจและความรับผิดชอบทางการเมือง
ในยุคที่โลกกำลังหันกลับมาให้ความสำคัญกับ “เสถียรภาพชายแดน” และ “ความร่วมมือระดับภูมิภาค”
ไทยควรมอง MOU 2543 ไม่ใช่ในฐานะ “พันธะที่ผูกมัด”
แต่เป็น “สะพานทางการทูต” ที่ช่วยรักษาผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อดีตผู้พิพากษา' อธิบาย 'ปิดงานงดจ้าง' กับ 'หยุดกิจการ' เหตุข้อพิพาทแรงงาน 'ไดกิ้น '
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ปิดงานงดจ้างกับหยุดกิจการ มีเนื้อหาดังนี้
อดีตผู้พิพากษาอาวุโสข้องใจคดีนันทนาเทียบกับคดีฮั้ว สว.
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา
เอาแล้ว! อดีตประธาน กสม.ข้องใจแถลง การณ์ กสม.เอนเอียง
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
ย้อนแย้ง 'อดีตประธานกสม.' แฉ 'นักสิทธิมนุษยชน' กลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า เมื่อ “นักสิทธิมนุษยชน” กลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิของผู้อื่น?
ศึกอดีต กสม.! 'วัส' ร่ายไทมไลน์ยาวย้อนเกล็ด 'อังคณา'
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
'อดีตผู้พิพากษา' กางหลักเกณฑ์ ไทย-กัมพูชา ไม่สามารถร้องเรียน CAT ได้ แต่ร้องผ่าน HRC ได้
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา โพสต์ข้อความ เรื่อง หลักเกณฑ์การร้องเรียน องค์กรผู้วินิจฉัย และการผูกพันตามคำวินิจฉัยคดี CAT มีเนื้อหาดังนี้


