สหรัฐฯ ขยายการเข้าถึงยาทำแท้งผ่านร้านขายยา

ร้านขายยารายย่อยในสหรัฐฯ จะได้รับอนุญาตให้ขายยาทำแท้งได้ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ช่วยขยายการเข้าถึงกระบวนการนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ

แฟ้มภาพ ร้านขายยาแห่งหนึ่งในเมืองแอนนาโพลิส รัฐแมริแลนด์ วางขายยายาคุมกำเนิดฉุกเฉินด้วยตนเอง (Photo by Jim WATSON / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพุธที่ 4 มกราคม 2566 กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ ประกาศเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบให้ร้านขายยาท้องถิ่นในรัฐที่อนุญาตให้ทำแท้งได้ สามารถวางจำหน่ายยาที่ใช้ในการยุติการตั้งครรภ์

โดยผู้ที่ต้องการใช้ยาดังกล่าวจำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อใช้ในการซื้อยา ซึ่งก่อนหน้านี้มีจำหน่ายเฉพาะในร้านขายยาที่จำหน่ายผ่านทางไปรษณีย์ หรือผ่านแพทย์และคลินิกที่รัฐอนุญาตเท่านั้น

ความต้องการยาทำแท้งเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ศาลสูงสุดหรือศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกาพิพากษายกเลิกคำตัดสินคดีโรกับเวด (Roe v. Wade) ที่รับรองสิทธิของสตรีในการทำแท้ง โดยการกลับคำตัดสินเมื่อกลางปีที่แล้ว ทำให้การทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฏหมายของรัฐบาลกลาง แต่ในระดับมลรัฐต่างๆจะดำเนินการบังคับใช้กฏหมายหรืออนุญาตให้การทำแท้งยังถูกต้องตามเดิมหรือไม่ ก็ให้เป็นเรื่องของการบริหารของแต่ละมลรัฐ

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ยาทำแท้งถูกใช้ในกระบวนการยุติการตั้งครรภ์ของสหรัฐฯ มากกว่าครึ่ง และยาเหล่านี้ได้กลายเป็นจุดสนใจมากขึ้นในการต่อสู้ทางการเมืองและทางกฎหมายเพื่อสิทธิในการทำแท้ง นับตั้งแต่การตัดสินที่ขัดแย้งกันของศาลฎีกา

ร้านขายยาจะต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯก่อน จึงจะสามารถจำหน่ายยาให้กับผู้ซื้อได้ และหากเป็นผู้ป่วย ก็ต้องมีการกรอกแบบฟอร์มยินยอมด้วยเช่นกัน

ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสำนักงานอาหารและยาได้รับการตอบรับจากสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน

จูเลีย เคย์ จากโครงการเสรีภาพในการเจริญพันธุ์ของสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน กล่าวว่า "เรายินดีที่สำนักงานอาหารและยาได้เพิ่มการเข้าถึงร้านขายยาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพนี้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระที่ไม่จำเป็นของหน่วยงานในการรักษาผู้ป่วยหรือผู้ที่อยู่ในภาวะจำเป็น"

ขณะที่อีกฟากฝั่ง มาจอร์รี แดนเน็นเฟลเซอร์ ประธานองค์กรต่อต้านการทำแท้ง ได้ออกแถลงการณ์ประณามการตัดสินใจดังกล่าว โดยแถลงว่า "ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งแล้วว่าให้ความสำคัญกับผลกำไรของอุตสาหกรรมการทำแท้ง มากกว่าความปลอดภัยของผู้หญิงและชีวิตของเด็กในครรภ์".