เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในยามที่สังคมโลกเต็มไปด้วยความขัดแย้ง เราจึงได้ยินคำว่า “สันติภาพ” กันหนาหู ที่ผ่านออกมาจากปากของ “นักทำลาย” .. ที่เข้าใจว่าตนเป็นผู้สร้างสรรค์พิทักษ์โลก.. นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของความย้อนแย้งในจิตวิญญาณของปุถุชน.. โลกสมัยวัตถุมีอำนาจเหนือจิตใจ...
เฉกเช่นเดียวกับการพร่ำพูดสอนให้คนกลับมาสู่สันติสุข ในขณะที่จิตผู้พูดประกอบอยู่กับความพยาบาท ความเบียดเบียน คับแค้นใจทุกข์ใจ.. มุ่งแต่จะเบียดเบียนทำร้ายทำลายต่อกัน..
...หรือดังที่คนประเภทรวยไม่พอ.. ชอบพร่ำพรรณนาถึงความสันโดษ.. ความมักน้อย ทั้งๆ ที่จิตใจของตนยังประกอบอยู่กับความโลภ.. มุ่งแต่แสวงหาในทุกวิถีทาง ไม่ว่าถูกหรือผิด...
จึงไม่แปลก.. ที่ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” จะกลับกลายเป็น ผู้ทำลายล้างความสงบสุขของประชาชน.. เสียเอง.. สังคมจึงขาดความสงบสุข เมื่อในหมู่บุคคลผู้มีหน้าที่รับใช้ประชาชน ที่กลับยกตนขึ้นมาเป็นนาย.. กดขี่ข่มเหงประชาชนให้เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
ไม่เว้นแม้ในผู้ถือเพศบรรพชิต.. ที่ประกาศตนแสดงตัวว่า.. เห็นโทษภัยในกามคุณ แต่กลับเป็นผู้ดำเนินชีวิตอยู่ในวิถีโลกียสุข.. ลุ่มหลงรสชาติกามคุณ.. เสพสมอยู่กับกามรส ให้หยาบช้าสามานย์ไร้ยางอายยิ่งกว่าคนเลวๆ ทางโลก.. ที่ยังดูดีกว่า...
ในสภาวธรรมดังกล่าวที่ปรากฏ.. แท้จริงเป็นเรื่องปกติในสังคมโลกียกาม.. ตามวิสัยปุถุชน คนบาป คนหยาบ คนหนา ที่จะต้องมีพฤติจิตพฤติกรรมเป็นไปเช่นนั้น.. ทั้งนี้ ด้วยภาวะวิปริตที่ซับซ้อนอยู่ในจิตวิปลาส.. ที่เราท่านทั้งหลายควรศึกษาให้รู้เข้าใจในสภาวธรรม.. ที่ก่อรูปร่างอยู่ในความเป็น สังขารธรรม ที่น่าศึกษายิ่ง
วิถีจิต .. จึงเป็นเรื่องของสังขารธรรมล้วนๆ อันดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ.. ที่ควรพิจารณาศึกษาให้รู้เข้าใจในธรรมชาติของ “จิต” .. ที่แสดงออกในรูปของ “ชีวิต” คือการทำงานร่วมกันของธรรมชาติ ๕ ประการ ที่รวมเรียกว่า ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ (จิต)
..และในขันธ์ทั้ง ๕ .. ตัวที่แสดงออกถึงการกระทำ คือ เจ้าสังขารขันธ์ ที่รับงานมาจากสัญญาและเวทนา อันสืบเนื่องจากอิทธิพลของรูป
เจ้าสังขารขันธ์ ตัวนี้ จะเป็นตัวการก่อให้เกิดการทำงานของ จิต โดยทำหน้าที่ปรุงแต่งให้จิตมีลักษณะต่างๆ นานา ดังที่จัดอยู่ในความเป็น เจตสิก ที่เรียก สังขารเจตสิก อันแสดงออกถึงความเป็นจิตบุญ จิตบาป.. ที่นำไปสู่การคิดดี คิดชั่ว.. และนำไปสู่การทำความดี ความชั่ว ในชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย
เช่น ก่อเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไม่ละอายต่อบาปกรรม ความไม่เกรงกลัวต่อบาป ความฟุ้งซ่าน และความเห็นผิด.. ก็เพราะ สังขารเจตสิกฝ่ายอกุศล
แม้ในการมีศรัทธา ก่อเกิดสติปัญญา ละเว้นบาปกรรม ไม่ริษยา ไม่โกรธ ไม่หลง ให้เกิดจิตสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน มีความเห็นถูก ก็มาจากเจ้าสังขาร.. ที่เป็นฝ่ายกุศล ที่เรียก สังขารเจตสิกฝ่ายกุศล
เจ้าสังขารตัวนี้ จะมีอิทธิพลต่อจิตมากในการปรุงแต่งจิตให้เกิดวิถี.. คือ การทำงานของจิตที่นำไปสู่จิตลักษณะต่างๆ กัน และเมื่อจิตมีธรรมชาติอย่างหนึ่ง คือการเข้าไปรู้อารมณ์ที่มาปรากฏทางทวารทั้ง ๖ จึงส่งผลให้การรับรู้ผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติหรือไม่.. ก็ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของเจ้าสังขารเจตสิก.. หรือสังขารขันธ์ตัวนี้ ที่ยากนักต่อการรู้เท่ารู้ทันในการเคลื่อนไหวของจิตไปตามวิถี.. ด้วยมายาจิตที่ประกอบอยู่อันเกิดจากการปรุงแต่งจิตของกิเลส ที่เกิดความเป็นเจ้าสังขารขันธ์...
ยิ่งการทำงานของจิต.. มีการดำเนินไปอย่างรวดเร็วในธรรมชาติที่มีความเกิดดับอยู่ในตัว.. จึงยิ่งยากรู้เห็นเข้าใจในความเป็นธรรมชาติของจิต... แม้จิตเองก็ยังลุ่มหลงหลอกลวงจิต.. จึงยากนักจะรู้เข้าใจในความเป็นจริงได้
สัญญา .. ความจำหมายรู้ จึง วิปลาส
จิต .. ความนึกคิดตามความหมายรู้ จึง วิปลาส
ทิฏฐิ .. ความเห็นอันเกิดจากความนึกคิด จึง วิปลาส
และเมื่อ วิปลาส มากๆ .. จึงกลายเป็น วิบัติฉิบหาย ไปจากกระแสธรรม.. จึงเกิดความเห็นผิดขั้นรุนแรง ผิดเพี้ยน หนักเข้าไปอีก ยิ่งกว่าความเห็นผิดปกติโดยทั่วไป...
จึงไม่แปลกที่สัตว์มนุษย์ในสังคมปัจจุบันจะพูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง.. และมักจะแตกแยก ทะเลาะวิวาทกันเป็นส่วนใหญ่...
จะคบหากัน นับเป็นพรรคพวกเดียวกัน เฉพาะในหมู่บุคคลที่มีความเห็นผิดตรงกัน
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสแสดงความจริงในเรื่องดังกล่าวไว้ว่า.. “คนเราจะคบกัน อยู่ร่วมกันได้ ต้องเสมอกันหรือเหมือนกันในการกระทำ (ศีล) และความเห็น (ทิฏฐิ) ไม่ว่าจะเป็นคนดี.. หรือคนเลว.. นับเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ที่ควรทำการศึกษาให้รู้เข้าใจ.. ในพฤติจิตของตนเองและหมู่คณะ โดยเฉพาะกลุ่มก๊วนนักการเมืองทั้งหลาย ที่สะท้อนความจริงในสัจธรรมข้อนี้..”
จึงไม่แปลกนักที่สังคมปัจจุบันจะสร้างภาวะซับซ้อนย้อนแย้งกันมากขึ้นในพฤติกรรมทางสังคม.. จนก่อให้เกิดความโกลาหล.. ในการสื่อสารแสดงออก.. ที่ยากจะเข้าใจว่า.. แท้จริงแล้ว คนคนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่.. เหตุจริงๆ นั้นมันเป็นอย่างไร!?
ความสับสนจนวุ่นวายในความคิดนึก ในวิถีจิตของคนในสังคมปัจจุบัน จึงเกิดมีมากกว่าแต่ก่อน.. ซึ่งนำไปสู่ความสิ้นเปลืองในการใช้ภาษาการพูด.. ที่ต้องสื่อสารแสดงความคิดเห็นต่อกันและกัน.. จนถึงขนาดสังคมก้าวเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งการพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง. พูดไม่ตรงกับความจริง.. และ ที่น่ากลัวคือ ไม่รู้ตัวเองว่าพูดอะไรออกมา.. หรือพูดเพื่อต้องการอะไรกันแน่... ดังที่เรียกว่าปากพล่อยไปวันๆ
จึงนำไปสู่การแสดงออกของบุคคลในยุคนี้มากพิเศษในทางกายภาพ เพื่อพยายามช่วยสื่อสารแทนความหมายของคำพูด ซึ่งยากต่อการ.ควบคุม เพราะขาดความรู้ชอบ รู้ทั่วถึงในการกระทำ เข้าทำนองปากไวใจเร็ว.. พูดไม่ทันขาดคำ.. ก็ลงมือทำเสียแล้ว.. อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นสังคมที่ ขาดสติสัมปชัญญะ
เมื่อคนในสังคมขาด สติสัมปชัญญะ มากขึ้น.. อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้อย่างไม่ต้องรู้ว่าคืออะไร.. และนี่คือ อำนาจอวิชชา ที่น่ากลัวยิ่งในสังคมมนุษยชาติปัจจุบัน.. ที่จะนำไปสู่การตกเป็นทาสของตัณหาอุปาทาน.. ที่นำไปสู่การก่อการอกุศลกันมากขึ้นๆ และมากขึ้น...
ทั้งนี้ เพราะไม่รู้.. ไม่เข้าใจ ธรรมชาติของจิต.. การทำงานของชีวิต ที่ประกอบด้วยขันธ์ ๕ ตามที่กล่าวมาก.. จึงก่อเกิดภาวะหลงใหลในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นประโยชน์ ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควรไม่ควร.. เห็นผิดเป็นชอบ.. และมักจะรู้ไปในทางตรงข้ามกับความเป็นจริงเสมอ.. ด้วยภาวะจิตมัวเมากระแสโลก...
เราจึงได้เห็นการแสดงออกเป็นน่าขำๆ แกมสมเพศเวทนาของคนในสังคมเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่.. ที่มุ่งแสดงออกส่วนเดียว อย่างขาดความรับผิดชอบต่อการแสดงออกของชีวิตตน.. จึงใช้ชีวิต ใช้จิตสิ้นเปลืองไปอย่างเปล่าประโยชน์.. ที่สะท้อนออกมาขากภาษาการพูด.. ที่ประหลาดๆ มากขึ้น... ให้น่าสงสารจริงๆ ในสัตว์โลกยุคปัจจุบัน!!!.
เจริญพร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อภิสิทธิ์-อดีตนายกรัฐมนตรี มอง 'จุดเสี่ยง' รัฐบาลเพื่อไทย ระเบิดการเมือง วางไว้เองหลายลูก
แม้ขณะนี้จะไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ แต่สำหรับ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์" การแสดงทัศนะหรือความคิดเห็นทางด้านการเมือง
ความเสื่อม.. ที่ควรเห็น.. ก่อนตาย!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีคำกล่าวเป็นสุภาษิต ว่า ความเสื่อมของมนุษย์ ล้วนมีสาเหตุมาจากมนุษย์.. ความเสื่อมของสิ่งใดๆ .. ก็มีสาเหตุมาจากสิ่งนั้นๆ..
รัฐบาลแพทองธาร อยู่ไม่ครบปี บิ๊กป้อม ยังสู้-พปชร.เดินหน้าต่อ
เหลือเวลาอีกเพียง 3 สัปดาห์เศษ ปี 2567 ก็จะผ่านพ้นไปแล้วเพื่อเข้าสู่ปีใหม่ 2568 ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 เป็นอย่างไร และปีหน้า 2568 จะมีทิศทางเช่นไร เรื่องนี้มีมุมมองแนววิเคราะห์จาก
ประมาทไม่ได้เลย คือ จิตของเรา!!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. มีพระภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า..
คานถล่ม ผู้บริสุทธิ์จบชีวิต 6 ราย กับ สำนึกของนักการเมืองไทย!
เช้าตรู่วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 เกิดโศกนาฏกรรมคานเหล็กยักษ์ที่ใช้สำหรับก่อสร้างทางยกระดับถนนพระราม 2 ถล่ม คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวน 6 ราย
ศึกเลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. 68 Generation War พท.-ปชน. บารมีบ้านใหญ่ ขลังหรือเสื่อม?
การเมืองท้องถิ่นกับการเลือกตั้ง "นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด" (นายก อบจ.) ซึ่งที่ผ่านมามีการเลือกตั้งกันไปหลายจังหวัด ได้รับความสนใจจากแวดวงการเมืองอย่างมาก