หิมาลัย ผิวพรรณ ขุนพลการเมืองบิ๊กตู่ ในภารกิจ สู้แลนด์สไลด์ ภาคเหนือ

พรรครวมไทยสร้างชาติ”ที่ชูพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น เป็นอีกหนึ่งพรรคการเมือง ที่กำลังเตรียมเข้าสู่ศึกเลือกตั้งอย่างเต็มที่ อย่างเช่นในพื้นที่เลือกตั้งภาคเหนือ ที่ตอนนี้ พบว่ามีการเตรียมพร้อมคัดเลือกตัวผู้ลงสมัครส.ส.ระบบเขต กันไปจนเกือบครบหมดแล้ว โดยการขับเคลื่อนดังกล่าวมี อดีตนายทหารชื่อดัง -ขุนพลการเมืองคู่ใจ พลเอกประยุทธ์ คือ “เสธหิ.-หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เข้ามาช่วยงานพรรคในพื้นที่ภาคเหนือ”

ส่วนว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ จะขับเคลื่อนต่อไปอย่างไรในพื้นที่เลือกตั้งภาคเหนือ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย “หิมาลัย-ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ”กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จากการลงพื้นที่ทางภาคเหนือ พบว่า ถึงตอนนี้การเตรียมงานของพรรคไปได้ดี จากเดิมตอนแรกคิดว่าจะไปได้ยาก แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสกับประชาชนพบว่ากระแสตอบรับพลเอกประยุทธ์ในพื้นที่ภาคเหนือดีมาก เพียงแต่ว่าความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือเขาอาจไม่ค่อยแสดงออก เพราะเขาอาจเกรงว่าหากแสดงออกแล้วจะมีความขัดแย้งใดๆตามมา แต่เมื่อเราได้เข้าไปสัมผัส เห็นชัดว่า กระแสตอบรับของพรรครวมไทยสร้างชาติในภาคเหนือถือว่าดี

...รวมไทยสร้างชาติ น่าจะเป็นพรรคการเมืองที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของพรรคการเมืองที่อยู่ในใจคนภาคเหนือ โดยหากเราไม่ได้เข้าไปสัมผัส เราจะไม่รู้สิ่งนี้เลยเพราะด้วยสื่อและกระแสต่างๆที่ออกมา เหมือนกับว่าเป็นของบางพรรคการเมืองที่ยึดครองภาคเหนือ แต่พอเราเข้าไปสัมผัสจริงๆ พบเลยว่ามีแฟนคลับลุงตู่เยอะมาก เราคิดว่าตรงนี้ได้ผล ภายใต้นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เน้นเรื่องการให้ความจริงใจในการแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างที่พรรคบอกมาตลอด"สู้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง" คือพยายามต่อสู้ให้ทุกปัญหา และพึ่งพาได้ทุกเรื่อง เรื่องอะไรที่ทำดีมาแล้ว และกำลังทำอยู่ ก็ต้องหาทางทำต่อไป สานต่อต่อไป เพราะที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ทำงานและสร้างผลงานไว้มากมาย 

-คนมองว่าเป็นแม่ทัพของพรรครวมไทยสร้างชาติในภาคเหนือ แบบนี้ตั้งเป้าว่าจะได้ส.ส.เขต ภาคเหนือกี่เก้าอี้?

เป็นคำถามที่ผมเจอถามมามาก แต่จริงๆ แล้ว คำว่าแม่ทัพภาคเหนือ ก็ไม่รู้ว่าใครตั้ง ซึ่งจริงๆ ผมเป็นแค่ผู้ประสานงานพรรค เป็นแค่คนเล็กๆ แต่มีความศรัทธาในพรรคและพยายามที่จะนำเสนอผู้สมัครแต่ละคนไปให้พรรคพิจารณา ซึ่งพรรคก็มีคณะกรรมการบริหารพรรคคอยพิจารณา เสนอไป ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับการพิจารณาทุกคน ก็มีได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เอาเป็นว่าผมตั้งใจทำงานให้พรรคเต็มที่ ที่เรียกว่าเป็นแม่ทัพภาคเหนือนั้น จริงๆ เป็นเจเนรัลเบ้ภาคเหนือมากกว่า ไม่ใช่แม่ทัพ ก็ทำทุกเรื่องที่ทำได้

ส่วนที่ว่าจะได้ส.ส.เขต กี่ที่นั่ง ผมบอกเลยว่า ผมมั่นใจว่า ได้มา ก็ฮือฮาแล้วกัน เพราะเราไปสัมผัสพื้นที่มาแล้ว ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่มีบางพรรคบางพวกพยายามสร้างภาพ เพราะพอลงพื้นที่จริงๆ แล้ว พบว่าประชาชนที่นิยมชมชอบในตัวพลเอกประยุทธ์ มีเยอะมาก เพียงแต่เราต้องหาเขาให้เจอ แล้วเขาก็กล้าแสดงออก หลายคนไม่แสดงออกในพื้นที่ เพราะโดนกระแสกลบ เขานิ่ง เขาไม่แสดงออก แต่พอไปสัมผัสตัวจริงๆ เขาก็จะมาบอกเรา แล้วผมคิดว่าคนแบบนี้เยอะมาก

ถามว่าแล้วจะได้ส.ส.กี่คน ผมไม่กล้าคอมเมนต์ บางคนบอกผมว่าให้ตอบไปเลย ตอบไปเยอะ ๆเพื่อแสดงความมั่นใจ แต่ไม่จำเป็นสำหรับผม เพราะหากใครจะมาร่วมงานกับพรรค ต้องมาด้วยอุดมการณ์

...เรื่องการเมือง หากใครได้ฟังพลเอกประยุทธ์พูด จะรู้ว่าท่านนั้น Gentleman มาก ท่านไม่ได้ยึดติดอะไร แต่ที่ต่อสู้ทุกวันนี้เพราะมีโครงการดีๆ ที่คิดว่ายังทำไม่สำเร็จและอยากทำต่อ นายกฯก็ต่อสู้เต็มที่ หากประชาชนไว้วางใจ ท่านจะได้กลับมาทำโครงการต่างๆ ที่ทำไว้ต่อไป แต่หากประชาชนไม่ไว้วางใจ ท่านก็บอกว่า ก็ไม่เป็นไร ก็ถือว่าถึงเวลาเปลี่ยน ท่านจึงเป็นคนที่ Gentleman เป็นสุภาพบุรุษทางการเมืองมาก และจะเห็นได้ว่านายกฯเป็นคนที่ยึดถือระเบียบทางราชการมาก ดังนั้นการที่จะไปใช้อำนาจทางการเมืองแทรกแซงอะไร ผมบอกได้เลยว่าไม่มีเลย

ผมทำงานกับนายกรัฐมนตรีมา ไม่มีเลยที่จะบอกให้ข้าราชการมาเป็นพวก ไม่มีเลย ท่านไม่สั่งด้วยหรอก อะไรที่นอกเหนือกฎ ระเบียบราชการ นายกฯไม่ทำ เพราะเป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง สังเกตุไหม เวลาใครทำอะไรผิดพลาดมา ด่าไปที่ท่านคนเดียวเลยที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรัฐบาลหรือเรื่องของพรรค แต่ไม่เคยปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่ตอบโต้อะไร ผมถึงบอกว่าท่านคือผู้นำที่เป็นสุดยอดของผู้นำ คือรับผิดทุกอย่าง แต่หากเป็นเรื่องที่ได้ความชอบ ใครก็เอาหน้าเอาตาไป หลายพรรคเวลาเรื่องอะไรจะได้คะแนนเสียง ก็เอาไปโปรโมต อะไรดูแล้วแย่ๆ ก็โยนให้นายกฯ ท่านก็ไม่โต้เถียง

"ดังนั้น จะได้ส.ส.แค่ไหน ก็อยู่ที่ประชาชนจะให้โอกาสเราแค่ไหน แต่เท่าที่ผมไปสัมผัสประชาชนมา ผมว่า ที่ใครเคยดูถูกพรรครวมไทยสร้างชาติไว้ทางภาคเหนือ ผมว่าได้นั่งร้องไห้กันบ้าง หลังผลเลือกตั้งออกมา ผมตอบแบบนี้ก็แล้วกัน แต่จะให้เราไปพูด คงไม่ได้ เพราะผมเคารพสิทธิประชาชน แต่จากการลงพื้นที่ทำให้ผมเชื่อว่าคนที่รักพลเอกประยุทธ์ในภาคเหนือมีอยู่เยอะ คนที่เข้าใจพรรครวมไทยสร้างชาติมีอยู่มาก ผมจึงมั่นใจว่าจำนวนส.ส.เขต ที่เราตั้งเป้าไว้ เราจะได้ไม่ต่ำกว่าเป้าแน่นอน"

...ผู้ลงสมัครส.ส.ของพรรค ลูกพรรคที่อยู่กับเรา ต่างเป็นนักสู้ทั้งนั้น เราจึงแข่งกับตัวเอง เราไม่เคยคิดว่าเราแข่งกับใคร เราก้มหน้าก้มตาทำงานไป ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าหาประชาชน ก้มหน้าก้มตาเดินไปบอกเขาว่าเราจะทำอะไร และอยู่ที่ประชาชนจะตัดสินใจ หากไปวันนี้เขายังไม่เข้าใจ ก็ต้องไปใหม่ วันนี้เขายังไม่รัก วันพรุ่งนี้ก็ต้องไปใหม่

-สามอดีตส.ส.ภาคเหนือตอนล่าง ที่ย้ายมาจากพลังประชารัฐ สามคน มั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถชนะเลือกตั้งกลับเข้าสภาฯได้ทั้งสามคน?

แบบนี้นะครับ เอาเป็นว่าเป็นเพื่อนกัน เป็นพรรคพวกกันทางการเมือง เขาไม่ใช่คนในกลุ่มผมหรือกลุ่มใครทั้งสิ้น เราเป็นพี่น้องกันก็มาร่วมงานทางการเมือง ทั้งสามคนก็มาร่วมงานกับรวมไทยสร้างชาติ อย่างนายมานัส อ่อนอ้าย อดีต ส.ส.พิษณุโลก พลังประชารัฐ เลือกตั้งที่จะมีขึ้น ก็ส่งลูกชายลงแทน หลังเริ่มมีบทบาทการเมืองท้องถิ่นต่างๆ ก็เลยส่งมอบให้ลูกชายมารับใช้ประชาชนต่อ โดยเขาก็ลงพื้นที่เต็มที่ เราก็มั่นใจว่าประชาชนเคยให้ความเมตตาพ่อแล้ว ก็อาจให้ความเมตตาลูกด้วย ส่วนอีกสองคนคือ นายสุรชาติ ศรีบุศกร อดีตส.ส.พิจิตรและนายสัญญา นิลสุพรรณ อดีตส.ส.นครสวรรค์ ก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าที่ผ่านมา ทำงานรับใช้ประชาชนในพื้นที่อย่างไร เป็นคนเข้าถึงง่าย ใช้คล่องทำเต็มที่

ส่วนการคัดเลือกผู้สมัครส.ส.ระบบเขตในภาคเหนือ ถึงตอนนี้คนมาแจ้งความจำนงจะขอลงสมัครกันจนล้น อย่าคิดว่ารวมไทยสร้างชาติจะไม่มีคนสมัคร ตอนนี้ล้นมาก ไม่มีเขตไหนว่าง  และแต่ละคนมีคุณภาพทั้งนั้น จนเราค่อนข้างที่จะหนักใจในการแจ้งแต่ละคนว่าเราขอบคุณที่ศรัทธาพรรค แต่ว่าเรารับได้ไม่หมด เพราะแต่ละเขตส่งได้แค่คนเดียว แต่ก็ขอให้อยู่ช่วยกัน หลายคนก็บอกว่าจะอยู่ช่วยต่อไป

-ในภาคเหนือ รวมไทยสร้างชาติจะสู้กับกระแสแลนด์สไลด์ กระแสนายทักษิณ ชินวัตร กระแสอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตรอย่างไร?

ต้องบอกว่า ท่านทักษิณ ก็มีสไตล์การบริหารงานในแบบของท่าน คุณอุ๊งอิ๊งก็มีสไตล์ในการบริหารงานต่างๆ รวมถึงความคิดต่างๆ ผมคิดว่าเราก็ดูถูกใครไม่ได้ ขณะเดียวกัน เราก็ไม่ดูถูกตัวเราเองด้วยเหมือนกัน

ผมไม่รู้จักกระแสแลนด์สไลด์ รู้จักแต่ว่าประชาชนจะเลือกใคร วันนี้หากเราฟังสื่อแต่ว่าแลนด์สไลด์ แล้วทุกพรรคการเมือง ก็กลัวแลนด์สไลด์ ก็ไม่ต้องลงสมัครกัน ก็เหลือพรรคเดียวดีไหม ก็ยกให้ท่านทักษิณ ยกให้เพื่อไทยไปพรรคเดียวเลยดีไหม หากเรากลัวแลนด์สไดล์ เพราะฉะนั้น อย่างที่นายกรัฐมนตรีเคยบอกไว้ จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะฉะนั้นถ้ามีคนศรัทธาแม้แต่หนึ่งคน เราก็ต้องต่อสู้ วันนี้ยังมีคนที่ศรัทธา นายกรัฐมนตรีอยู่ ยังมีคนที่ศรัทธา พรรครวมไทยสร้างชาติอยู่ เราไม่รู้ว่าเราจะสู้แพ้หรือชนะ เพราะนั่นเป็นสิทธิของประชาชน เราตอบไม่ได้ แต่หากถามว่าเรากลัวกระแสแลนด์สไลด์หรือไม่ เราไม่กลัวเพราะเราเป็นประชาธิปไตย การเลือกตั้งแล้วแพ้ อย่างน้อยถ้ามีคนศรัทธาแล้วยังเลือกเราอยู่ นั่นคือน้ำใจที่เขาให้ แต่หากเลือกตั้งแล้วเป็นศูนย์ ก็ต้องเลิก หากรวมไทยสร้างชาติไม่ได้แม้แต่คะแนนเดียว ก็เสนอว่า ก็ต้องปิดพรรค แต่หากยังมีคะแนน มีประชาชนศรัทธาอยู่ เราก็ต้องรักษาศรัทธานั้นแล้วเดินไปข้างหน้า

เพราะฉะนั้นถามว่าผมกลัวกระแสแลนด์สไลด์หรือไม่ ผมไม่กลัว แต่ผมไม่ได้ดูถูก ก็เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเขาก็มีดีของเขา ก็ว่าไป ขณะเดียวกัน รวมไทยสร้างชาติ ก็มีดีของเรา หากคนชอบทางนี้ ก็มา หรือหากเห็นว่า ผลงานดี ทำงานได้ ก็มา หรือคิดว่าพลเอกประยุทธ์ เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนตั้งใจทำงาน เป็นคนที่มีบารมีพอที่จะดูแลความเรียบร้อย ความสงบของประเทศชาติได้ ท่านก็มาเลือกเรา แต่หากพึงพอใจทางนั้นก็เลือกทางนั้น ก็เป็นเรื่องของโลกประชาธิปไตย เราไปห้ามใครไม่ได้ กลัวไหม ไม่กลัวครับ เราก็ไม่ได้ไปดูถูกเขา เราคิดว่าเราต่างก็มีดีของตัวเอง ก็อยู่ที่ประชาชนตัดสินใจ แต่จากที่ผมได้ลงไปสัมผัสในพื้นที่ กระแสนิยมท่านนายกรัฐมนตรีดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมเห็นปรากฏการณ์การเมืองแบบนี้ ผมมั่นใจ

-ในภาคเหนือ ที่ไปลงพื้นที่ กระแสเช่นอยากให้คุณทักษิณกลับบ้าน ยังมีอยู่หรือไม่?

ก็มีครับ กระแสนี้มีอยู่แล้ว มีแน่นอน แต่กระแสที่อยากได้ ลุงตู่ ก็มีเหมือนกัน ผมถึงบอกว่าแล้วแต่ประชาชนตัดสิน เราไม่รู้ว่าใครจะได้มากกว่ากัน จนกว่าจะถึงวันที่เข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง ถ้าคนอยากได้ลุงตู่กลับมา ก็กาบัตรให้รวมไทยสร้างชาติ ทั้งสองใบเท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องที่ว่าพลเอกประยุทธ์เหลือเวลาการเป็นนายกฯอีกไม่เกินสองปี ไม่ได้มีผลอะไรกับการหาเสียง เพราะคนเราอยู่ที่การตั้งใจทำงาน รัฐบาลประชาธิปไตย ก่อนหน้านี้ก็มีที่เลือกตั้งกันมาแล้วอยู่ได้แค่ปีกว่าหรือสองปี แล้วก็ยุบสภาฯ ดังนั้นการที่พลเอกประยุทธ์จะเหลือเวลาอีกกี่ปี มองว่าคนเราหากตั้งใจทำงาน อยู่ได้หนึ่งเดือน สองเดือน ก็คุ้มแล้ว เมื่อมีเวลาให้นายกฯทำงานได้อีก ก็คุ้มค่า ท่านก็ยังไม่ทอดทิ้งประเทศหรอกครับ ก็อาจไปทำงานอยู่ข้างหลังเช่นการให้คำปรึกษาต่างๆ

เสธหิ-ธรรมนัส

จากเพื่อนรัก สู่วันที่แยกกันเดิน

-การที่จะต้องแข่งขันสูักับพรรคอื่นๆ เช่นพลังประชารัฐ ที่ทางร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร ที่ รับผิดชอบภาคเหนือให้พลังประชารัฐ จะเป็นอย่างไร จะสู้เต็มที่หรือไม่?

ก็เป็นเหมือนกีฬาครับ ท่านธรรมนัส เป็นผู้ใหญ่ในรุ่น ผมบอกตลอดว่าท่านเป็นประธาน เป็นผู้ใหญ่และคอยดูแลเพื่อนๆ ดีมาก โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ถือว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ของผมด้วยคนหนึ่ง การให้เกียรติท่านในฐานะของเพื่อน ในฐานะผู้ใหญ่ของรุ่น ผมก็ให้เกียรติตลอดเวลา และเขาเป็นผู้อาวุโสกว่าผม คอยดูแลอะไรต่างๆ มา แต่เมื่อวันนี้ ผมมีหน้าที่ ผมก็ทำตามหน้าที่ แต่หน้าที่ของผมนั้น ผมทำตามกรอบและกติกา ผมถึงบอกว่าผมไม่เคยนอกกติกากับใคร เพราะอย่างนายกฯ ก็ให้นโยบายมา ท่านบอกว่าใครจะนอกกติกากับเราก็แล้วแต่ แต่เราไม่นอกกติกากับใคร ผมถึงบอกว่านายกฯไม่เคยไปแทรกแซงข้าราชการให้มาอำนวยประโยชน์อะไรทางการเมืองเลย นายกฯบอกว่าแล้วแต่ประชาชน

สำหรับผม ไม่เคยคิดว่าจะไปแข่งอะไรกับท่านธรรมนัสเลย ผมแข่งกับตัวผมเอง และผมก็มีความเคารพให้กับเขาอยู่แล้วในฐานะผู้อาวุโสกว่าไม่ว่าจะในทางการเมืองหรือในรุ่น แต่ผมก็มีหน้าที่ซึ่งผมต้องทำ ผมมีหน้าที่ ผมก็ทำเต็มที่ ผมคิดว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ อยู่ตรงไหน ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่

-ถึงตอนนี้มองว่าโอกาสที่พลเอกประยุทธ์จะคัมแบ็กกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่สามมีโอกาสมากน้อยแค่ไหน?

ก็มีความเป็นไปได้ แต่ผมไม่ได้บอกว่าเป็นร้อยเปอร์เซนต์ เป็นไปได้จากบริบทและแนวความคิดต่างๆ ก็มีความเป็นไปได้

-ส่วนตัวเชื่อว่าความสัมพันธ์ของ 3 ป.ถึงตอนนี้ยังแน่นแฟ้น กันเหมือนเดิมหรือไม่?

ผมเชื่อว่าคนที่คบกันมา 30-40ปี คุยกันได้ ผมเชื่ออย่างนั้น แล้วยิ่งสังคมทหาร ที่อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่สังคมแบบลูกจ้างนายจ้าง ไม่ใช่สังคมของผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่สังคมของนายกับลูกน้อง ในบริบทของผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา มันมีบริบทของผู้ร่วมชีวิตอยู่ด้วย อย่างเวลาทำงาน จะมีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ผู้หมวด ผู้กอง จ่า นายสิบ พลทหาร เขาจะพึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยทุกคนเท่ากันหมด แต่สายบังคับบัญชา มีไว้เพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ของหน่วย ผมจึงเชื่อว่านอกจากผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ยังมีสังคมของผู้ร่วมชีวิตอยู่ด้วย ซึ่งคำว่าสังคมของผู้ร่วมชีวิต การอยู่ด้วยกันมา 30-40 ปี ผมจึงเชื่อว่าถึงเวลา เขาคุยกันได้

"หิมาลัย-เสธหิ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติภาคเหนือ"กล่าวว่า จุดแข็งของรวมไทยสร้างชาติที่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นก็คือ เราคือยึดมั่นในสถาบันของชาติเป็นหลัก ยึดมั่นในเรื่องผลประโยชน์ของประชาชน ยึดมั่นเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต นั่นเป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เห็นมาตลอด  ยึดมั่นในเรื่องของการอำนวยความเป็นธรรมให้ประชาชน ความตั้งใจทำงาน จะเห็นว่าหลายอย่างเราพยายามแก้ไขตามที่ประชาชนเรียกร้องหรือต้องการ และที่สำคัญยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิ่งนี้คือความชัดเจนของพรรครวมไทยสร้างชาติ

...จะบอกว่าเราเป็นพรรคอนุรักษนิยมก็ได้ แต่ไม่ใช่อนุรักษนิยมที่สุดโต่ง แต่เป็นอนุรักษ์นิยมที่หัวก้าวหน้า เรายอมรับความก้าวหน้าความเปลี่ยนแปลง

ผมเคยพูดกับนักการเมืองใหม่ๆว่าถ้าบ้านเรามี 4 เสา วันหนึ่งข้างหน้าคุณจะถอนเสาบ้านออก คุณคิดว่าเสาที่มาค้ำยันแทน มันดีเท่าเสาเดิมไหม แข็งแรงเท่าเสาเดิมหรือไม่  คุณถอดเสานี้ไปแล้วคุณมั่นใจไหมว่าบ้านไม่ล้มลงมา

“รวมไทยสร้างชาติคือพรรคที่รักษาบ้านให้คงอยู่ต่อไป เสาที่ค้ำจุนบ้านให้มั่นคงก็ต้องรักษาไว้ อาจจะมีปลวกกัดกร่อนบ้างก็ต้องคอยแก้ไข ตรงไหนที่อาจจะผุพังบ้างก็ไปซ่อมแซม แต่ไม่ใช่เราถอนเสาบ้านออกไปเลย ถ้าถอนเสาบ้านออกไปแล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าบ้านจะยังคงเป็นตัวบ้านต่อไปได้ บ้านกับประเทศก็คงจะเหมือนๆกัน ต้องฝากไว้ให้คิด บางทีนโยบายพรรคอาจไม่หวือหวา พูดแล้วอาจไม่มัน แต่นี้คือสิ่งที่เรามุ่งมั่นมาก”

บิ๊กตู่-รวมไทยสร้างชาติ

ทำแล้วทำอยู่ทำต่อ

หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติพื้นที่ภาคเหนือ”กล่าวถึงเรื่องนโยบายพรรคที่จะนำการทำงานของรัฐบาล-การแก้ปัญหาประชาชนมาต่อยอดเป็นนโยบายพรรคว่า ก็มีเช่น จากปัญหาเรื่อง"สิทธิที่ดินทำกิน"ในเขตป่าสงวนต่างๆ โดยพลเอกประยุทธ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์ พรรครวมไทยสร้างชาติ มีนโยบายในเรื่องนี้ไว้แล้วคือโครงการ One Map (การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ) หรือการแก้ปัญหาผ่านคณะกรรมการจัดสรรที่ดินทำกิน ซึ่งที่ผ่านมาอาจเจออุปสรรคอยู่บ้าง แต่สิ่งที่เจอจากนโยบายโครงการ One Map และจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินทำกินก็คือ  หน่วยงานภาครัฐต่างๆ ถือกฎหมายหลายฉบับ ทำให้แต่ละหน่วยงานก็ต้องยึดกฎหมายของตัวเอง จนทำให้การจัดสรรที่ดินต่างๆ เป็นไปอย่างล่าช้ามาก ซึ่งตรงนี้ต้องแยกให้ชัดระหว่างประชาชน ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่มาแต่ดั้งเดิม เราก็ต้องให้เขาได้อยู่ทำมาหากินต่อไป แต่พวกที่เป็นนายทุนหรือเข้าไปอยู่ใหม่ในช่วงหลังที่เข้าไปโดยไม่ถูกต้อง ก็ต้องผลักดันให้ออกโดยใช้ข้อกฎหมาย โดยในส่วนของประชาชน ก็ต้องมีการเข้าไปจัดสรรเรื่องที่ดินเพื่อให้ชาวบ้านกับป่าอยู่ร่วมกันได้

การพัฒนาเรื่องที่ดินต่างๆ ต้องหาจุดที่เหมาะสม ที่ผ่านมารัฐบาลก็เข้าไปแก้ปัญหาแต่ละจุดหลายแห่ง อย่างเรื่องการสร้างสาธารณูปโภคในพื้นที่ป่า อย่างเช่นที่ภาคเหนือ ก็ต้องหาความเหมาะสมให้ลงตัว เพราะหากพัฒนามากเกินไป มันอาจทำให้เกิดการรุกรานป่ามากขึ้น แต่ขณะเดียวกันประชาชนในพื้นที่จำนวนไม่น้อยก็อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาอยู่ก่อนแล้ว ที่ไม่ใช่ชาวป่าชาวดอยที่ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องให้เขามีสาธารณูปโภคพื้นฐานที่พอเหมาะพอควร เราก็พยายามหาทางออก รัฐบาลก็พยายามแก้ไขปัญหา ผมเองลงพื้นที่ก็พยายามแก้ไขหลายจุด อย่างแนวคิดเรื่องการดูแลรักษาป่าวันนี้ นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ"คนกับป่า อยู่ร่วมกัน"

...การรักษาป่าไม่ใช่หน้าที่ของราชการอย่างเดียว แต่ก็เป็นหน้าที่ของประชาชนที่ต้องอยู่ในพื้นที่ โดยจะเห็นความจริงได้ว่า หลายพื้นที่ชาวบ้านดูแลป่ากันเอง เพียงแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องมีความเป็นกลางและเป็นธรรม ผมยกตัวอย่างเช่นในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีคนในหมู่บ้านหนึ่งร้อยคน แต่หากพบคนในหมู่บ้านใครไปรุกป่า คนอื่นต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ แต่ปัญหาที่พบคือ แจ้งไปแล้ว เจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินการอะไร โดยหากเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินการอะไร ก็จะทำให้จากรุกป่าหนึ่งคน ก็จะเพิ่มเป็นสองคน แล้วต่อไปหลายคนก็ทำกันหมด ถ้าแบบนี้ต้องดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ด้วยที่ปล่อยปละละเลย เมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องมาหาทางออกร่วมกันเพื่อแก้ปัญหา เพื่อหาทางออกให้ชาวบ้านกับป่า อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่รวมไทยสร้างชาติพยายามจะทำเรื่องเหล่านี้ออกมา

"หิมาลัย"กล่าวต่อไปว่า หากถามว่าพรรคจะมีนโยบายอะไรเด่นๆ หรือไม่ ต้องบอกว่าขณะนี้ฝ่ายที่ยกร่างนโยบายพรรคกำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งหลายเรื่องมีหมดเช่นเรื่องการศึกษา การท่องเที่ยว  เป็นต้น แต่สิ่งที่กล่าวข้างต้นคือเรื่องที่ผมได้ลงไปสัมผัสชาวบ้านแล้วเขาต้องการ เช่นการเข้าถึงแหล่งทุนของผู้ประกอบการในธุรกิจการท่องเที่ยวขนาดย่อมเพื่อให้เขาได้เข้าถึงแหล่งทุนในระดับล่างหรือเล็กได้ เช่นเพื่อให้ทำธุรกิจการท่องเที่ยวเล็กๆในชุมชน-หมู่บ้าน ซึ่งก็ใช้งบประมาณไม่เยอะในการลงทุนต่างๆ  ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ทำมาตลอด แต่ก็ควรจะมีการต่อยอดเพื่อให้เกิดการพัฒนาไปได้ด้วยดี 

“หิมาลัย”กล่าวต่อไปว่า แนวคิดของรวมไทยสร้างชาติ ก็คือหลังจากที่เข้าไปแก้ปัญหาต่างๆ ในช่วงที่พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีมาแปดปี การแก้ปัญหาต่างๆที่ไม่คืบหน้าหรือคืบหน้าได้ช้า ก็คือเรื่องของ"กฎหมาย"เพราะก็มีกฎหมายบางฉบับที่บังคับใช้อยู่ตอนนี้ก็เก่าแก่มาก ไม่ใช่การใช้กับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็เลยมีแนวคิดการทำกฎหมายเรียกว่า"พรบ.คุ้มครองวิถีชีวิตชาวบ้าน" ซึ่งไม่ได้ใช้กับแค่ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ แต่ใช้กับประชาชนทั่วประเทศ เช่นภาคใต้ ในเรื่องวิถีชีวิตของประมงชายฝั่ง อย่างเช่น กรณีเรือลำเล็กออกไปหาปลา แล้วมีปัญหาถูกจับทั้งที่เขาแค่ออกหาปลาพอได้มาก็นำไปขายในตลาด ไม่ได้ส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งกฎหมายก็คือกฎหมาย แต่จริงๆ แล้วพวกนี้คือวิถีชีวิตชาวบ้าน หรืออย่างหากมีชาวบ้านออกไปขุดหาหน่อไม้ในป่า แล้วถูกดำเนินคดี สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ควรต้องมีการผลักดันให้มีการคุ้มครองวิถีชีวิตชาวบ้าน

ทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติ มีแนวคิดว่าควรมีกฎหมายที่คุ้มครองคน เพราะเรามีแล้วกับกฎหมายคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ คุ้มครองสิ่งแวดล้อม แม้แต่กฎหมายคุ้มครองสัตว์ ก็ยังมี แล้วทำไมไม่มีกฎหมายคุ้มครองชีวิตชาวบ้านที่เขาไม่ได้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เพราะวิถีชีวิตจริงๆ ของชาวบ้านเขา จะพบได้เลยว่าเขาไม่ได้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เลยมีแนวคิดเรื่องควรมีพรบ.คุ้มครองวิถีชีวิตชุมชนขึ้นมา ที่จะช่วยแก้ปัญหาส่วนรวมได้ ไม่ว่าจะเป็นชาวเขา ทางภาคเหนือหรือชาวประมงทางภาคใต้ เพราะหากเป็นวิถีชาวบ้านจริงๆ เขาแค่ทำมาหากินเฉพาะตัว เป็นเศรษฐกิจเล็กๆ ในชุมชน ที่ก็ไม่สามารถไปทำลายป่าหรือทำลายทรัพยากรธรรมชาติได้ทั้งหมด จึงควรมีกฎหมายคุ้มครองพวกเขา  เพื่อคุ้มครองคน คุ้มครองวิถีชีวิตของชุมชน

...หรืออย่างเรื่อง"บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ"ที่ประชาชนเรียกบัตรลุงตู่ ที่ตอนนี้เนื่องจากมีเรื่องค่าครองชีพสูงขึ้น ทางพรรคก็มีแนวนโยบายจะให้เดือนละหนึ่งพันบาท ซึ่งยืนยันว่าเป็นนโยบายที่ทำได้แน่นอน อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง และไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบกับเรื่องงบประมาณ โดยมีวิธีการดำเนินการอยู่ ซึ่งหลังจากนี้พรรคก็จะออกมาบอกว่าจะมีวิธีการอย่างไร หรืออย่างเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ ที่จะเน้นสนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศในด้านต่างๆ เติบโตให้มากที่สุด โดยเปลี่ยนจากกรอบเรื่องรัฐควบคุมมาเป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจทุกรูปแบบ ทำให้เกิดการค้าขายเสรี ซึ่งจริงๆ ก็เป็นอยู่ แต่จะต้องลดข้อจำกัดของประชาชนให้มากขึ้น

เดินหน้าปรับปรุง

กฎหมายให้เข้ากับสภาพความเป็นจริง  

“หิมาลัย”กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติโดยหัวหน้าพรรคได้ให้นโยบายไว้ก็คือ"การปรับปรุงกฎหมายให้เข้ากับสภาพความเป็นจริง" อย่างเรื่อง”บุหรี่ไฟฟ้า” ที่เคยมีการออกข้อกำหนดต่างๆ ในช่วงก่อนหน้านี้เพื่อไม่ต้องการให้คนเข้าสู่การสูบบุหรี่ไฟฟ้า ต้องการห้ามคนสูบบุหรี่ไฟฟ้า แต่อย่างปัจจุบันที่เห็นโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ เขาสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันเยอะ มีการขายกัน จนเกิดเหตุที่นักท่องเที่ยวต่างชาติถูกตำรวจดำเนินคดีแล้วมีการเรียกไถ่เงิน เกิดช่องทางให้เกิดการรีดไถ่ เพราะความไม่ชัดเจนของกฎหมาย

.... ผมไม่ได้สนับสนุนให้คนสูบบุหรี่ เราต้องแยกให้ถูก ผมเป็นคนไม่สูบบุหรี่และรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ แต่การรณรงค์ต่อต้าน ก็ไม่ได้บอกว่าคนสูบบุหรี่ผิด แต่เป็นสิทธิของเขาที่เขาเลือก ก็เหมือนคนดื่มเหล้า ซึ่งเป็นสิทธิของเขาแต่ว่าดื่มแล้วต้องคุมตัวเองให้ได้ อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนเสียหาย ต้องอยู่ในกรอบ ก็เหมือนกับคนสูบบุหรี่ หากวันนี้เขาสูบ วันหน้าก็อาจเลิกสูบได้ แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา ก็ต้องพยายามแก้ไขในส่วนของกรณีบุหรี่ไฟฟ้า ที่เป็นผลมาจากบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป

เราเป็นประเทศประชาธิปไตยและเป็นพรรคการเมือง เมื่อสังคมเรียกร้องจากบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป เราต้องฟังเสียงประชาชน ว่าจะแก้ในส่วนนี้อย่างไร หลังเกิดกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติถูกรีดไถจากการพกบุหรี่ไฟฟ้า ที่เป็นเรื่องฉาวโฉ่ แบบนี้รัฐบาลเองนิ่งเฉยไม่ได้ ต้องมีการแก้ไข มีการประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีการออกแนวทางปฏิบัติเช่นหากตำรวจเจอคนที่มีบุหรี่ไฟฟ้า ก็ให้แจ้งข้อหาว่าครอบครองสิ่งที่ไม่ได้เสียภาษี แล้วก็มอบของกลางคืนให้กรมศุลกากร โดยให้จ่ายค่าปรับ ตำรวจก็บันทึกไว้จากนั้นก็ปล่อยตัวชั่วคราว โดยหากกรมศุลกากรประสงค์จะดำเนินคดีก็ค่อยให้เรียกตัวมาว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ แต่ในส่วนของคนที่ลักลอบนำเข้า แบบนี้ผิดชัดเจนก็ต้องมีการดำเนินคดีจับกุมต่อไป ก็ทำให้การรีดไถจะลดลงไป อันนี้คือการแก้ปัญหา แต่การแก้กฎหมาย ข้อกำหนดต่างๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องไปวิเคราะห์ผลดีผลเสียกันต่อไป โดยเป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดหลังเลือกตั้งก็ต้องมาพิจารณาร่วมกับประชาชนต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะเห็นได้ว่า หลายปัญหา รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามแก้ไขปัญหาให้

“นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือการให้ความจริงใจในการแก้ปัญหาทุกอย่าง อย่างที่พรรคบอกมาตลอด สู้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง  คือพยายามต่อสู้ให้ทุกปัญหา และพึ่งพาได้ทุกเรื่อง เรื่องอะไรที่ทำดีมาแล้ว และกำลังทำอยู่ ก็ต้องหาทางทำต่อไป สานต่อกันต่อไป”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“มิจฉาธรรม .. ในอสัตบุรุษที่น่ากลัวยิ่ง”

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา สงกรานต์ร้อนที่เข้าสู่จุลศักราช ๑๓๘๖ เถลิงศกตรงกับ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๗ นับว่าร้อนแล้ง ตรงกับคำพยากรณ์ที่พร้อมเกิดพายุร้อนได้ในทุกพื้นที่ เป็นการแสดงสภาวะผันผวนที่เนื่องมาจากวิกฤตร้อนของโลก (Climate Change) ที่หลายฝ่ายเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า มนุษยชาติจะผ่านวิกฤตโลกร้อนไปได้หรือไม่..

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า น้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาที่อากาศร้อนจัด จนเข้าสู่วิกฤตการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศ

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า.. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในภาวะที่เข้าสู่วิกฤตการณ์โลกร้อน.. ด้วยภาวะการเปลี่ยนแปลงแบบผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติปกติ (Climate Change) อันเป็นผลจากการกระทำของมนุษยชาติ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม จึงได้ถือโอกาสคิดทำโครงการนำพระคืนสู่ป่า.. เพื่อศึกษาวงจรธรรมชาติของชีวิตที่เนื่องกับสิ่งแวดล้อม อันประกอบด้วยสรรพสิ่งต่างๆ ที่เกาะเกี่ยวเนื่องกันอย่างมีความสมดุล (Nature Cycle in Balance)

ลัทธิผีบุญ .. ภัยร้ายต่อพระศาสนา!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ปัญหาของพุทธศาสนาในปัจจุบันที่ยังเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ คือ การยึดถือคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพระสัทธรรมดั้งเดิม...

คุณค่าแท้–คุณค่าเทียม ที่ชาวพุทธควรคำนึง..!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. คำว่า “วิกฤตศรัทธา” เริ่มมีการพูดถึงกันมากในห้วงเวลานี้ ด้วยเหตุปัจจัยในเรื่องนั้น ที่นำไปสู่ความสั่นคลอนในความเชื่อมั่น ที่เคยอบรมสั่งสมมานานในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ บุคคลนั้นๆ.. ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติของวิถีชีวิตสัตว์ทั้งหลายที่พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ

บูชาพระโอวาทปาติโมกข์ .. ณ เวฬุวันมหาวิหาร ปี พ.ศ.๒๕๖๗

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. กลับมาจาก งานมาฆบูชาโลก ที่เวฬุวันมหาวิหาร พระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ พร้อมกับติดเชื้อเป็นของแถม ด้วยมีไวรัสแพร่ระบาดในหมู่คณะที่มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสติดตามไปร่วมร้อยชีวิต