เลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อหยุดระบอบประยุทธ์ แลนด์สไลด์ 310 เสียง ไปถึงได้

การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค.นี้ แน่นอนว่าทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า “พรรคเพื่อไทย”จะเป็นพรรคการเมืองที่จะชนะการเลือกตั้ง เพียงแต่ตัวเลขส.ส.ของเพื่อไทยหลังการเลือกตั้ง จะอยู่ที่เท่าใด บางส่วนก็ประเมินว่าน่าจะไม่เกิน 200 เสียง บางฝ่ายก็คาดว่า น่าจะเกิน 250 เสียงแต่ไม่น่าจะเกิน 270 เสียง แต่ฝ่ายแกนนำพรรคเพื่อไทย มีความมั่นใจอย่างมากว่า จะชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ได้ส.ส.เกิน 250 เสียงแน่นอนและเป้าหมายวันนี้มองไปที่ 310 เสียงแล้ว

“ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย-แกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งชื่อนี้แวดวงการเมือง รู้กันดีว่าเป็นแกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย เพราะอยู่กับพรรคมาตั้งแต่เป็นหนึ่งในคีย์แมนคนสำคัญที่ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยมาตั้งแต่ต้น จนมาเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน”โดย”ภูมิธรรม”แสดงความเชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ และแสดงความมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะได้จัดตั้งรัฐบาลและย้ำว่าอยากให้ประชาชนโหวตออกเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ ด้วยการเลือกแบบยุทธศาสตร์ เลือกพรรคเพื่อไทยให้ได้เสียงส.ส.มากที่สุดเพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วยการทำให้การเมืองไทยออกจากระบอบประยุทธ์ได้สำเร็จ

ส่วนว่าเพราะเหตุใด “ภูมิธรรม-รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย”ถึงเชื่อมั่นว่าพรรคจะชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์นั้น เขาให้ความเห็นด้วยการอธิบายเรื่องดังกล่าวไว้โดยละเอียด โดยเริ่มด้วยการย้ำว่า  พรรคเพื่อไทยเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งมานานแล้ว เพราะอย่างไรก็ต้องมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าความพร้อมของคนในพรรคฝ่ายรัฐบาลมีปัญหาเพราะมีการแยกตัวออกไปจากพรรคพลังประชารัฐไปอยู่พรรคการเมืองใหม่ คือพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีความพร้อมในเรื่องการทำพื้นที่ การมีตัวแทนพรรคประจำจังหวัด การมีผู้ลงสมัครส.ส.ที่ยังไม่มีความแข็งแรงเพียงพอ

ก่อนหน้าที่จะมีการยุบสภาฯเมื่อ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา ผมประเมินไว้ว่าฝ่ายเขาคงพยายามประวิงเวลาเพื่อให้ตัวเองมีความพร้อมเสียก่อนแต่ขณะที่ทางเราพรรคเพื่อไทย ได้เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าสู่การเลือกตั้งมานานแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม 2565 ที่มีการเปิดตัวคุณแพทองธาร ชินวัตร(ประธานที่ปรึกษาพรรคด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม-หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย) ที่ได้มาแสดงวิสัยทัศน์ต่างๆ โดยช่วงดังกล่าว องคาพยพของพรรคก็ได้มีการรีแบรนด์พรรคเพื่อไทย ให้มีลักษณะทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปและมีลักษณะที่รวมคนแต่ละรุ่นเข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อไทย มาเป็นกรรมการบริหารพรรค มาร่วมกันทำงานระหว่างคนสองวัย คือคนที่เคยมีประสบการณ์ทางการเมือง และมีความรู้ความเข้าใจทางการเมืองระดับหนึ่ง และคนรุ่นใหม่ที่มีความกระตือรือร้นมีความฝันมีความหวัง อยากจะสร้างอนาคตด้วยตัวเขาเอง หลังจากที่เขาเผชิญปัญหา เจอความยากลำบากเพราะมองไม่เห็นอนาคตของตัวเองจะเดินไปในทิศทางใด เพราะเติบโตมาในช่วงที่มีการทำรัฐประหารถึงสองครั้ง และเติบโตมาในช่วงที่เผชิญกับวิกฤตของประเทศมามาก

การรัฐประหารของคสช.เมื่อปี 2557 ดูเหมือนคุณประยุทธ์จะเสนอทางออกให้กับสังคมไทยให้หลุดพ้นจากวิกฤตต่างๆ แต่ว่าหลังจากบริหารประเทศไป ก็เผชิญวิกฤตเช่นวิกฤตโควิด และวิกฤตอีกหลายเรื่อง ทำให้กระบวนการที่จะสร้างงาน ทำให้ประเทศเดินต่อไปได้มันเกิดความยากลำบาก

คนเหล่านี้เขาไม่เคยเห็นอนาคตของเขา เรียนจบการศึกษามาก็ไม่รู้ได้ว่าอนาคตตัวเองจะเป็นอย่างไร จนมาถึงปัจจุบันก็อยู่ในช่วงที่คุณประยุทธ์บริหารประเทศมาเกือบเก้าปี แต่ไม่ได้ทำให้ประเทศมั่งคั่งหรือมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพียงพอต่อความหวังของประชาชน มีแต่สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้น เขาจึงเติบโตมาโดยไม่รู้ได้ว่าจบการศึกษาไป ตัวเองจะไปอยู่ที่ไหน จะมีงานให้ทำหรือไม่ ในสภาวะแบบนี้เขาไม่มีความหวัง เราจึงดึงคนเหล่านี้มาร่วมกันเพราะอนาคตข้างหน้าเป็นของพวกเขา พวกเขาจึงควรมีส่วนในการกำหนดชีวิตและอนาคตของพวกเขาเอง

การที่พรรคนำองค์ประกอบเหล่านี้เข้ามา จึงเป็นความตื่นรู้ของผู้ใหญ่ที่เป็นคณะกรรมการบริหารพรรค ที่เป็นผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองของพรรค ซึ่งเราก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และปรับบทบาทเราให้เป็นลักษณะของการเป็นที่ปรึกษามากขึ้น และให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ทำให้จะเห็นได้ว่านับแต่เดือนสิงหาคมเมื่อปี 2565 องคาพยพของพรรคเพื่อไทยจะถูกขับเคลื่อนโดยคนสองรุ่น มีสิ่งใหม่เกิดขึ้น มีการรีแบรนด์พรรค -สัญลักษณ์พรรค มีการรีแบรนด์วิธีคิด-วิธีการทำงานของพรรคหลายเรื่อง

ทั้งหมดคือการเตรียมความพร้อมของเพื่อไทย โดยการเปิดเวทีของพรรคเพื่อไทยเมื่อช่วงกลางปี 2565 มันคือการโชว์ VISION ของคุณแพทองธาร ในการที่จะมองเห็นอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และพรรคก็มีการพูดถึงความคิดเห็นของเราในเรื่องต่างๆ เช่นเรื่องการท่องเที่ยว- การจัดการกับปัญหาฝุ่น pm.25 - การสร้างงานสร้างรายได้ เพราะเรายังอยู่ภายใต้ความเชื่อของเราเหมือนเดิมก็คือว่า เรามุ่งในเรื่องการ"ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส"ที่เป็นปรัชญาของพรรคเพื่อไทยมาตลอด และเราก็ยังยืนอยู่ในจุดที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางในการคิดนโยบาย การดำเนินกิจกรรมทางนโยบาย และการทำงานของเรา เราให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางเป็นที่ตั้ง และคิดนโยบายที่ตอบสนองพี่น้องประชาชนได้จริง ที่จะเห็นได้ว่าเราทำทั้งระบบในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้พี่น้องประชาชน ที่จะเป็นทางออกของวิกฤตการณ์ต่างๆ ได้

หลังจากคุณประยุทธ์อยู่ในอำนาจมาแปดปีกว่า จนเกิดวิกฤตการณ์ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคำร้องคดีแปดปี มันสะท้อนให้เห็นว่าคุณประยุทธ์ไม่รักษาคำพูดที่บอกว่าจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงแค่ชั่วคราว ที่เคยมีเพลง ขอเวลาอีกไม่นาน และบอกว่าจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ แต่พอเข้ามาอยู่แล้วก็มาอยู่แบบต่อเนื่อง และที่ได้เข้ามาบอกว่าจะแก้ปัญหา ก็พบว่ามันไม่ได้เกิดประโยชน์กับคนในสังคมทั้งหมด แต่กลายเป็นว่าเป็นการเอื้อและอำนวจประโยชน์ให้กับคนในกลุ่มพวกพ้องของตัวเองเป็นหลัก หรือกลุ่มคนที่มีฐานะที่สูงมากกว่าคนส่วนใหญ่ที่ต้องประสบปัญหาความยากลำบาก จึงเป็นช่วงที่ได้ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ มากมาย

ในช่วงที่พรรคเพื่อไทยทำงานตรงนี้ ก็เป็นช่วงที่เราได้สัมผัสกับปัญหาของประชาชนได้มาก จนเมื่อเข้าสู่ช่วงของสถานการณ์ที่จะมีการเลือกตั้ง ทางพรรคเพื่อไทยก็มีองค์ประกอบที่พร้อมหลายเรื่อง

เราจึงเห็นว่าในวันนี้ที่ประชาชนเจอกับปัญหาความยากลำบากต่างๆ ทำให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่ายสิ่งที่คุณประยุทธ์ทำอยู่ จนสะท้อนออกมาชัดเจนว่าประชาชนไม่อยากให้คุณประยุทธ์อยู่บริหารประเทศต่อไป โดยมีเสียงสะท้อนมาจากคนหลายวิชาชีพว่าเขาอยากออกจากระบอบประยุทธ์แล้ว ไม่อยากอยู่กับระบอบประยุทธ์ เพราะคนเบื่อหน่ายคุณประยุทธ์ จึงเป็นสถานการณ์ที่คนต้องการความเปลี่ยนแปลง คือประชาชนอยากเปลี่ยนแปลงสภาพแบบที่เจอตอนนี้ เขาอยากมีความหวัง คนกำลังคาดหวังกับอนาคต และอยากสร้างสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นเพื่ออนาคตของพวกเขาเอง

พรรคเพื่อไทย

กับความหวังออกจากระบอบประยุทธ์

ภูมิธรรม-แกนนำพรรคเพื่อไทย”กล่าวต่อไปว่า เมื่อคนต้องการความเปลี่ยนแปลง ในวันนี้เมื่อเขามองไปที่พรรคการเมืองต่างๆ เขาก็รู้ว่าระบบประยุทธ์มีการวางระบบในการสืบทอดเพื่อจะครองอำนาจไว้แบบยาวนาน ทั้งการเขียนกติกา การวางกลไกสมาชิกวุฒิสภา 250 คน ที่จะช่วยพยุงให้เขาอยู่ในอำนาจต่อไป ประชาชนเขาอยากเปลี่ยนแปลง และเขาก็รู้ว่าการจะเปลี่ยนแปลงเพื่อออกจากระบอบประยุทธ์จะได้มีการสร้างสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้น มันยากลำบาก และเมื่อเขาหันไปดูพรรคการเมืองที่จะมีส่วนทำให้ความฝันของพี่น้องประชาชนเป็นจริง ทำให้อนาคตของพวกเขาเกิดขึ้นได้จริง มันเหลือแต่"พรรคเพื่อไทย"เท่านั้น เพราะไม่เห็นพรรคการเมืองไหน อันนี้ตามสายตาสื่อ เท่าที่ผมประเมินดู คือไม่มีพรรคการเมืองใดที่จะชนะการเลือกตั้งแล้วมีเสียง ระดับได้ส.ส.เกิน 100 เสียงขึ้นไป ทุกคนก็เชื่อว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะได้ส.ส.ไม่เกิน 100 เสียง มีเพียงพรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่สื่อมวลชนเห็นตั้งแต่ต้นว่า พรรคเพื่อไทยจะได้ส.ส.ระบบเขตและคะแนนจากระบบบัญชีรายชื่อ เขาประเมินเราอยู่ที่ 180 บวก 40 เสียง ก็ประมาณ 220 เสียงบวก-ลบ

เงื่อนไขเหล่านี้เอื้ออำนวยกับพรรคเพื่อไทยมากว่าเราเป็นความหวังของสังคมที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ การที่จะมาสนับสนุนทิศทางเรา จะเป็นทิศทางที่สามารถทำให้ออกจากระบอบประยุทธ์ได้ สามารถต่อกรกับสมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะออกจากระบอบประยุทธ์ไม่ได้ คุณประยุทธ์ก็จะวางกลไกสืบทอดอำนาจได้ต่อไป

"ภูมิธรรม”กล่าวย้ำว่า  ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ถามว่าทำไมพรรคเพื่อไทยจึงเป็นความหวังของพี่น้องประชาชน ก็ต้องบอกว่าเรามีต้นทุนที่ประชาชนเชื่อมั่น และเขามีความหวังกับเราได้ คือเขารู้สึกตลอดเวลาว่าเกือบยี่สิบปี พรรคเพื่อไทยประสบชัยชนะในการเลือกตั้งมาตลอด เราได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งมาตลอดตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2544 ตอนนั้นเราได้ 248 เสียง ต่อมาในการเลือกตั้งเมื่อปี 2548 พรรคเพื่อไทยได้ 377 เสียง เป็นต้น จนเมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2562 พรรคเพื่อไทย ก็ยังได้รับชัยชนะอีกแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนกติกาของรัฐธรรมนูญไปอย่างไร พรรคเพื่อไทย ก็ฝ่าตรงนี้มาได้โดยตลอด เพราะประชาชนโอบอุ้มเรา ประชาชนเห็นศักยภาพของเรา

อย่างทุกวันนี้ที่สะท้อนออกมาชัดเจน ก็คือ เขามีความเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นได้ เพราะตลอดเวลาที่เราเคยเป็นรัฐบาลมา เราไม่เคยสร้างความผิดหวังให้ประชาชน ทุกนโยบายที่เราพูดกับประชาชนถูกหยิบออกมาเป็นนโยบายของรัฐบาลและสามารถทำได้จริง จนเป็นผลงานหลายอย่างที่ประชาชนได้รับ เช่นเรื่องการปฏิรูประบบบริการสาธารณสุข เราทำเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ตอนแรกก็มีเสียงคัดค้าน มีความไม่เชื่อมั่น แต่ว่า 30 บาทรักษาทุกโรคที่เกิดขึ้นทั่วประเทศเป็นฝีมือของรัฐบาลเพื่อไทย โดยทำจนทุกวันนี้ประชาชนที่ยากลำบากก็ยังได้ใช้ 30 บาทรักษาทุกโรคอยู่ ประชาชนเขาเห็นเป็นรูปธรรมว่าชีวิตของเขา คนในครอบครัวเขาว่า 30 บาท ช่วยชีวิตเขาได้จริงๆ

สิ่งนี้คือตัวอย่างที่พรรคเพื่อไทยได้เคยทำ เป็นตัวอย่างที่พรรคเพื่อไทยแตะการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างด้วยการค่อยๆ ดูความเป็นไปได้ในระบบรัฐสภา และใช้กระบวนการตรงนี้ดึงการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนทั่วไป จากที่มีคนไม่เชื่อถือ มีคนคัดค้าน จนมาเป็นที่ยอมรับ

นอกจากนี้ เรายังปฏิรูปกระบวนการกระจายอำนาจ เราไม่ได้พูดลอยๆว่าอยากทำอะไรต่างๆ ที่ดูเป็นความฝันและทำไม่ได้ เช่นเวลาเราพูดถึงเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เราก็จะพูดว่า เราจะเลือกจากจังหวัดที่พร้อม เราไม่ได้เลือกจังหวัดทั่วไปทั้งหมด เพราะเรารู้ว่าในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในสังคมโดยมีโครงสร้างของระบบอำนาจอะไรอยู่ จึงต้องพยายามที่จะประสาน และหาช่องทางการสนับสนุนจากประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ที่พอรับได้ และค่อยๆ เปลี่ยน

เราเริ่มต้นจากปรัชญาที่เรารู้ว่า กระบวนการกระจายอำนาจที่สำคัญ ไม่ใช่รูปแบบ แต่เป็นเรื่องการทำสองสิ่งให้เกิดขึ้น หนึ่งคือกระบวนการกระจายทรัพยากรไปสู่ท้องถิ่น สอง กระบวนการตัดสินใจใช้ทรัพยากรดังกล่าวต้องเป็นของประชาชนหรือท้องถิ่น

ที่จะเห็นได้ว่า สมัยรัฐบาลไทยรักไทยเมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาล (หลังการเลือกตั้งปี 2544)  เราเข้าไปเราก็ทำเรื่อง"กองทุนหมู่บ้าน"หมู่บ้านละหนึ่งล้านบาท เราทำครบทั้งเจ็ดหมื่นหมู่บ้าน -เจ็ดหมื่นล้านบาท เราสามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนการใช้อำนาจจากส่วนกลางที่รวมศูนย์การตัดสินใจใช้งบประมาณที่ส่วนกลาง โดยนำเงินเข้าไปให้หมู่บ้านละหนึ่งล้านบาทเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งทุน สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาได้โดยตัวของประชาชน โดยใช้กระบวนการตัดสินใจของชาวบ้านในการตกลงร่วมกันในเรื่องต่างๆ ก็เป็นนโยบายที่ประสบความสำเร็จ สามารถทำได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นการปฏิรูปการกระจายอำนาจที่ถึงราก เราย้ายทรัพยากรที่อยู่ในรัฐราชการไปอยู่ในชนบท ไปอยู่ที่หมู่บ้านทั้งเจ็ดหมื่นหมู่บ้าน 

หรือเรื่องทุน SML ระดับเล็ก-กลาง-ใหญ่ ที่ใช้เงินหมู่บ้านละ สามล้านบาท-สี่ล้านบาท-ห้าล้านบาท ตามขนาด เราไปดูจากปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ เช่นเวลาเกิดความเสียหายในชุมชน อย่างน้ำท่วม สะพานขาด ก็ต้องรอส่วนกลางตัดสินใจ โดยส่วนกลางตัดสินใจได้ก็ใช้เงินจากงบกลาง งบที่อยู่ในอำนาจนายกรัฐมนตรี แต่หลายงบยังทำไม่ได้ต้องมีการตั้งเรื่อง ทำให้กว่าจะได้งบไปจัดการแก้ปัญหาต้องใช้เวลานานเช่นอาจเป็นหนึ่งปี สองปี แต่เรานำงบตรงนี้ไปอยู่ที่ชาวบ้าน ให้ใช้สำหรับแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยให้ประชาชนช่วยกันดูแล ทำให้เวลาเจอปัญหาต่างๆ เช่นน้ำท่วม สะพานขาด เขาก็สามารถสร้างสะพานได้ หรือเวลาจะนำสินค้าเกษตรไปขาย แต่ระยะทางค่อนข้างไกล เขาก็สามารถสร้างโรงสีชุมชนได้

กระบวนการอย่างที่พรรคเพื่อไทยทำ เป็นกระบวนการที่ realistic ที่สุด อิงอยู่กับปัญหาของชาวบ้านและ อิงอยู่กับความเป็นจริง ขณะเดียวกันใช้ความเป็นรัฐบาล ความที่มีอำนาจรัฐบริหารจัดการรัฐราชการให้ลงไปตอบสนองพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด

เพราะฉะนั้นเวลามีใครบอกว่าพรรคเพื่อไทยไม่ค่อยแตะโครงสร้าง ผมคิดว่าเขามองด้านเดียว ไปมองแต่เรื่องโครงสร้างทางการเมือง แต่จุดที่เรามอง เรามองเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างที่เอื้อให้ประชาชนมีการกินดีอยู่ดี ประชาชนมีอำนาจที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาในคืนเดียว หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาทุกอย่างดีหมด อันนั้นคือความฝัน ความฝันที่ตื่นขึ้นมาแล้วก็จะรู้ว่าอันนั้นคือความฝัน ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย

สิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำ เราทำจากสิ่งที่เป็นรากฐานปัญหาของประชาชน ทำจากความพร้อมของประชาชน เราเป็นเพียงรัฐที่เอื้ออำนาจให้สิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น เป็นคนคอยจัดสรรทรัพยากรจากส่วนกลางให้เกิดความพอเหมาะพอดี ที่รัฐส่วนกลางก็จะค่อยๆปรับตัวไป เรามาปรับปรุงระบบราชการ ก็ทำให้ในยุคสมัยรัฐบาลไทยรักไทย-พลังประชาชนและเพื่อไทยทำ ระบบราชการเขาต้องปรับตัวไปรับใช้พี่น้องประชาชนมากขึ้นจะเห็นได้ว่ารัฐในสมัยเรา เป็นรัฐประชาชน เป็นรัฐที่ตอบสนองการแก้ปัญหาของประชาชน

“ภูมิธรรม-รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย”บอกว่า จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือผลงานและต้นทุนการทำงานการเมืองของพรรคเพื่อไทย วันนี้จึงไม่ต้องแปลกใจอะไร เราเป็นคนที่ริเริ่มการเมืองที่ใช้นโยบายในการแก้ปัญหาของประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ต้องถกเถียงกันมากเพราะเป็นความชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยเติบโตมาจากการเอานโยบาย ที่หาเสียงไว้ไปใช้เป็นนโยบายของรัฐ ไปใช้กระบวนการทำงานนั้นมาตอบสนองการแก้ปัญหาของประชาชน เพื่อเป็นการทำตามคำมั่นที่พูดไว้กับประชาชนให้เกิดผลสำเร็จจริงๆ 

วันนี้ถ้าถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยวางยุทธศาสตร์อย่างไร สถานการณ์วันนี้คล้าย ๆกับปี 2548 ที่เราเคยได้ 377 เสียง เราเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มีต้นทุนที่ประชาชนเชื่อมั่น เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่สร้างความหวังให้ประชาชนในขอบเขตที่กว้างขวางมากที่สุด มาวันนี้เมื่อเราบอกว่าสังคมต้องเปลี่ยนแปลง ชีวิตประชาชนที่ประสบปัญหาความยากลำบากทางเศรษฐกิจ -ความยากลำบากในการดำเนินวิชาชีพ มีความหมดหวังกับชีวิตอนาคตหลังจบจากมหาวิทยาลัยมาใหม่ๆ แต่ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร สถานการณ์อย่างนี้เอื้ออำนวยให้สังคมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้น เราคงไม่ได้ยินคำว่า "พอกันดี ระบอบประยุทธ์"

วันนี้พรรคเพื่อไทยได้ดำเนินงานทางการเมืองเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง เราสร้างความพร้อมทุกอย่างให้เกิดขึ้น วันที่พรรคเพื่อไทยจัดงานใหญ่ไปเมื่อ17 มีนาคมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จะเห็นได้ว่าเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียว ที่แสดงความพร้อมได้ก่อนใคร อย่างการโชว์ผู้สมัครส.ส.ระบบเขต 400 คนใน 400 เขต ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเนรมิตได้ภายในคืนเดียว มันต้องมีกระบวนการในการดำเนินงานต่างๆ เช่นการคัดสรรผู้ลงสมัคร การเปิดตัวดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเพื่อไทยมีความพร้อม นักต่อสู้กองหน้าของเรา ที่จะไปพบกับประชาชนในฐานะที่เป็นสะพานเชื่อมให้กับพรรคกับประชาชน ก็คือนักต่อสู้ทั้ง 400 เขตของเรา ที่จะเข้าไปสู่เขตเลือกตั้งทั้งหมด

นอกจากนี้ วันดังกล่าว เพื่อไทยก็ยังเปิดนโยบายใหม่ๆ ที่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เปิดหมด เรายังพูดอะไรค้างอยู่ แต่ในวันที่เราไปยื่นสมัครส.ส.ระบบบัญชี เราจะเปิดทุกอย่างในวันที่เราจะจัดคิกออฟแคมเปญ เราจะเปิดทุกอย่าง เปิดตัวเลขทั้งหมด พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองใหญ่ อันดับหนึ่งของประเทศ ทำให้เวลาเราจะพูดอะไร เราระมัดระวังที่สุดว่าสิ่งที่เราพูด ต้องไม่ทำลายความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อเรา ถ้าเราผิดพลาดเพียงครั้งเดียว พูดแล้วไม่ได้ทำ ประชาชนจะหมดศรัทธาเรา แล้วต้นทุนที่เรามีจะหายไป ดังนั้น วันนี้ ท่านเชื่อใจได้ และประชาชนยังเชื่อมั่นเราว่าพรรคพูดว่าจะทำอะไร หากประชาชนเชื่อมั่นและให้เราเป็นพรรครัฐบาล ประชาชนจะได้เห็นว่าเราทำได้อย่างนั้นจริงๆ

ขอ 310 เสียงบวก

เพื่อนำประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลง 

"ภูมิธรรม-แกนนำพรรคเพื่อไทย"ย้ำว่า วันนี้พรรคเพื่อไทยคือพรรคการเมืองที่มีความพร้อมมากที่สุด โดยเรื่องของยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง วันนี้สิ่งที่ประชาชนเข้าใจมากขึ้น ก็คือ วันนี้หัวใจสำคัญก็คือประชาชนต้องการออกจากระบอบประยุทธ์ การที่จะออกจากระบอบประยุทธ์ได้มีเพียงพรรคการเมือง พรรคเพื่อไทย ที่สามารถเป็นกลไกและเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ประชาชนออกจากระบอบประยุทธ์ได้  วันนี้พรรคเพื่อไทยเดินยุทธศาสตร์ในการให้ประชาชน เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น เราจึงเรียกร้องต่อประชาชนว่าหากต้องการเปลี่ยนแปลงจะต้องทำอย่างไร วันนี้ประชาชนรู้ว่าอำนาจการเปลี่ยนแปลงที่พรรคเพื่อไทยบอกเขาก็คืออำนาจอยู่ที่ประชาชน

“ เราเรียกร้อง 310 เสียง เราไม่ได้เรียกร้องเพราะเรากระหายอำนาจ แต่มันเป็นหนทางเดียวที่จะสู้กันในระบอบรัฐสภา ที่จะสามารถต่อกรกับสว.250 คน ที่สามารถไปปิดสวิตช์สว.ได้ และเป็นเราที่จะเป็นเครื่องมือในระบอบประชาธิปไตยที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้

ลำพังเรา ไม่สามารถทำได้ ดังนั้น วันนี้เราเรียกร้อง ประชาชนให้มาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดยใช้สิทธิที่มีอยู่ในมือ กาบัตรสองใบ เลือกเพื่อไทยทั้งคนและพรรค เราจะสามารถบรรลุ 310 เสียง เพื่อนำไปสู่ 310 เสียงบวกบวก  จนสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในประเทศในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้

วันนี้หากไม่เลือกให้ชัดเจนแบบมียุทธศาสตร์ แล้วเลือกไปตามอำเภอใจที่อยากได้ แน่นอนมันตอบสนองความรู้สึกที่ผูกพันกับบางพรรคการเมืองของแต่ละคน แต่คะแนนของท่าน อาจหล่นลงน้ำไม่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆได้ วันนี้ต้องเลือกด้วยเหตุผล ไม่ใช่เลือกด้วยความรู้สึกหรืออารมณ์”

ภูมิธรรม-แกนนำพรรคเพื่อไทย”กล่าวลงรายละเอียดถึงเรื่องการเลือกแบบยุทธศาสตร์ เพื่อพาประเทศออกจากระบอบประยุทธ์ว่า การที่บอกว่าเลือก 310 เสียงขึ้นไปของพรรคเพื่อไทย จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะวันนี้ขั้วการเมืองมีอยู่แค่สองขั้ว คือขั้วของรัฐบาลคุณประยุทธ์คะแนนเสียงมีไม่มาก เพราะวันนี้เขาต่อสู้เพียงเพื่อให้ได้ 25 เสียงเพื่อให้เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็ยังเหนื่อยยากลำบาก แต่เขามีต้นทุน 250 เสียง ที่เขาแต่งตั้งมา ซึ่งพร้อมจะรวมเสียงแล้วยกให้เขา เราไม่มีอะไรเลย เรามีแต่อำนาจประชาชน วันนี้เราพึ่งประชาชน ถ้าประชาชนสนับสนุนเรา เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้น อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ประชาชนใช้มือของตัวเองนำการเปลี่ยนแปลงได้ โดยพรรคเพื่อไทยอาสาเป็นกลไก เป็นเครื่องมือให้เขาในการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อออกจากระบอบประยุทธ์ ถ้าวันนี้เขายังไม่เชื่อถือเรื่องนี้หรือยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ เขาเลือกไปตามอำเภอใจ เลือกไปตามความนิยม มันก็ได้เฉพาะพรรคที่ตัวเองอยากเห็น แต่จะไม่ได้พรรคหรือได้เสียงที่เพียงพอในการที่จะออกจากระบอบประยุทธ์ได้ ที่เราบอกว่า เลือกไม่ให้ตกน้ำ ก็จะออกจากระบอบประยุทธ์ได้ แต่หากเลือกตกน้ำ คนที่จะมาเป็นนายกฯครั้งต่อไป ก็คือคุณประยุทธ์แน่นอน

ที่บอกว่าเลือกพรรคเพื่อไทยให้ได้ 310 เสียง หากถามว่าทำได้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องของความเชื่อ ที่มีฐานรากจากความเป็นจริง วันนี้พรรคอื่นสตาร์ทอยู่ที่ 30-40 เสียงหรือ 70 เสียง หรือจะถึง100 เสียงหรือไม่ หรือจะได้เกิน 100 เสียงหรือไม่ แต่เพื่อไทยวันนี้สตาร์ทที่ 180 เสียงบวก 40 เสียง เป็นความเชื่อของสื่อที่ดูจากรูปธรรมของพื้นที่ซึ่งเรามีอยู่ในภาคต่างๆ และประเมินว่าเราจะได้ประมาณเท่าใด ก็อาจประมาณ 220-230เสียง บวก-ลบ ต้นทุนเราอยู่ที่ 200 เสียงขึ้นไป เราไม่ได้ตั้งเป้าเกินเลย เราตั้งเป้าที่ 250 เสียงบวก  เพราะเราคิดว่าถ้าเรามีแนวทางที่ถูกต้อง สามารถเดินยุทธศาสตร์การเลือกตั้งให้ประชาชนพึงพอใจ การก้าวจาก 220-230 เสียงไปที่ 250 เสียง มันไม่ได้ยากอะไร

เพราะฉะนั้น พอมาถึงวันนี้ เราบอกว่าเราไม่ได้คิดเรื่อง 250 เสียงแล้ว เพราะเราคิดว่าเราถึง 250 เสียงแล้ว แต่เราเห็นว่า 250 เสียงยังไม่พอ 250 เสียงเราก็อาจไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ 250 เสียงอาจเป็นหลักประกันที่เราอาจจะเป็นพรรคฝ่ายค้านเสียงข้างมาก ถ้าเขาใช้ระบบสว.250 คนมาเลือกนายกรัฐมนตรี เขาก็บริหารประเทศไม่ได้เพราะเราเป็นเสียงข้างมากในระบอบสภาฯ เขาบริหารได้แค่ 2-3 เดือน พอกฎหมายของรัฐบาลที่เข้าสภาฯ โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน  หากเราโหวตไม่เห็นชอบ เขาก็ต้องลาออกหรือยุบสภาฯ อันนี้เป็นแค่หลักประกันขั้นต้นที่ระบอบประยุทธ์ ไม่สามารถอยู่ในอำนาจแล้วใช้อำนาจโดยปราศจากการตรวจสอบใดๆ

หากถามว่าทำไมเพื่อไทยมั่นใจจาก 250 เสียง แล้วขึ้นมา 310 เสียง  ก็เพราะเราดูจากความพร้อมที่เรามีอยู่ วันนี้เรามีผู้สมัครส.ส.ระบบเขตที่พร้อมทั้ง 400 เขต หลายเขตในภาคเหนือ อีสาน เป็นเขตพื้นฐานของเรา และหลายเขตที่เราเคยสูญเสียไป แต่เป็นฐานเก่าของเรา วันนี้เราน่าจะสามารถดึงกลับมาได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและกระแสความนิยมจากพี่น้องประชาชน

ผมเห็นคุณอุ๊งอิ๊งตั้งแต่8 ขวบ

เธอมีต้นทุนการเมืองที่แตกต่างจากใครๆ

“ภูมิธรรม-แกนนำพรรคเพื่อไทย”กล่าวต่อไปว่า และเมื่อเราดูจากตัวผู้นำ คนที่เป็นลีดเดอร์ของพรรค เราเปิดตัวคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เขาเข้ามาสู่การเมืองโดยก่อนหน้านี้ไม่เคยอยู่ในเวทีการเมืองมาก่อน แต่คุณอุ๊งอิ๊ง มีคุณสมบัติที่รับรู้-เรียนรู้ การเกิดขึ้นของพรรคไทยรักไทยมาตั้งแต่ต้น ได้มีส่วนร่วมในการที่คุณพ่อของเธอจัดตั้งพรรคไทยรักไทย อยู่ในกระบวนการที่คุณพ่อของเธอได้มีการคุยกับกลุ่มวิชาชีพต่างๆ ทำนโยบายต่างๆ ขึ้น และได้ติดตามคุณพ่อไปดูเวทีปราศรัยทั่วประเทศ ได้เห็นประชาชนที่มีความนิยมและศรัทธาในตัวนายกรัฐมนตรี(ทักษิณ ชินวัตร)และประชาชนเข้ามาโอบอุ้มพรรคไทยรักไทย ได้เห็นปฏิกิริยาความรู้สึกการแสดงออกของประชาชนที่มีต่อท่านนายกฯ(ทักษิณ ชินวัตร)และพรรคไทยรักไทย เขาจึงได้ฟังนโยบายและกระบวนการสร้างนโยบายกับพรรคไทยรักไทยมา ได้ฟังได้เห็นวิธีการ และยังได้ออกไปพื้นที่ไปพบปะประชาชน แล้วก็ไปเรียนรู้กระบวนการที่พรรคการเมืองปราศรัยและประชาชนให้การสนับสนุน

สถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ คุณอุ๊งอิ๊งจึงมีต้นทุนการเมืองที่แตกต่างจากใครๆ ผมเชื่อว่าคนในพรรคเพื่อไทยวันนี้ หลายคนรู้นโยบายไทยรักไทยไม่ได้เท่าคุณอุ๊งอิ๊ง เขารู้มากพอสมควร

ผมเห็นคุณอุ๊งอิ๊งมาตั้งแต่แปดขวบ ผมเห็นการเติบโตของคุณอุ๊งอิ๊งมาตลอดและเขาเป็นคนที่มีลักษณะเป็นลีดเดอร์ เป็นผู้นำ เป็นคนที่สามารถเผชิญกับวิกฤตการณ์ต่างๆมามากมาย

การทำรัฐประหารเมื่อปีพ.ศ. 2549 เราคงเห็นแล้วว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับครอบครัวชินวัตรรุนแรงแค่ไหน คุณอุ๊งอิ๊งก็อยู่ในวิกฤตการณ์นั้น ผ่านการเรียนในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่ามกลางการมีความแตกต่างทางความคิดในหมู่ผู้สอนและนิสิตนักศึกษาที่เรียน เธอต้องอยู่ในวิกฤตการณ์ที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่ก็ผ่านมาได้ และเธอยังต้องไปเจอกับวิกฤตการณ์ของคนที่มีความไม่พึงพอใจคุณพ่อของเธอ จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ต้องเจอกับสีหน้าท่าทางและแรงเสียดทานต่างๆ แต่เธอก็่ผ่านมาได้ เพราะเธอเชื่อมั่นว่า ตระกูลของเธอไม่ได้สร้างปัญหาอะไร ตระกูลของเธอถูกจัดการด้วยความไม่ยุติธรรม ที่ก็ได้ผ่านกระบวนการเหล่านั้นมามากมายพอสมควร

เพราะฉะนั้น เราจึงมีผู้นำ มีลีดเดอร์ ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถ และวันนี้เราได้คุณเศรษฐา ทวีสิน มาเสริมด้วย ซึ่งคุณเศรษฐา เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ ในวงการธุรกิจ เป็นนักบริหารมืออาชีพ เป็นคนที่สามารถบริหารงบประมาณของบริษัทที่มีมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาทมาแล้ว คุณเศรษฐา เป็นองค์ประกอบที่สามารถตอบโจทย์หรือตอบสนองความรู้สึกของบุคคลในวิชาชีพต่างๆ -ประชาชนในเมือง และเยาวชนในเมือง คุณอุ๊งอิ๊งมาจากความสนับสนุน ความนิยมที่มีจากฐานรากของสังคมไทย จากฐานรากของพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชนจนมาเพื่อไทย องค์ประกอบของลีดเดอร์สองคนดังกล่าว ทำให้เรามีความพร้อมมากที่สุด

วันนี้คนอื่นสร้างลีดเดอร์มาก็แค่คนเดียว ประชาธิปัตย์คุณเห็นจุรินทร์ ดูภูมิใจไทยก็จะเห็นคุณอนุทิน ไปดูรวมไทยสร้างชาติจะเห็นประยุทธ์ พลังประชารัฐจะเห็นพลเอกประวิตร แต่เพื่อไทย เรามีปรากฏออกมาทีละคน ตอนนี้สองคนแล้ว ที่พบว่ามีการตอบสนองจากผลโพล์ดีทีเดียว เห็นได้จากโพล์ต่างๆ เช่นนิด้าโพลที่เป็นกลางมากที่สุดแล้ว ความนิยมวันนี้ของอุ๊งอิ๊งขึ้นไปถึง 48-50 เปอร์เซ็นต์ แล้วนำพาให้พรรคที่มีต้นทุนเครดิตอยู่แล้ว วันนี้พรรคเพื่อไทย เลือกทั้งคนและพรรค ขึ้นไปถึง 48-50 เปอร์เซ็นต์

"แล้วทำไมเราจะหวังเกิน 250 เสียงไม่ได้ ตัวเลขนี้คือตัวเลขที่บอกความมั่นใจเราว่าเราทำได้ การเมืองเป็นเรื่องของความเชื่อ เป็นเรื่องการตั้งเป้าที่ไม่ฝันจนเกินไป เพราะฝันเกินไป ก็จะไม่นำไปสู่ความสำเร็จใดๆ ความฝันของเรา ที่เราขึ้นมาจาก 250 เสียงขึ้นมาได้แล้ว เราจึงตั้งเป้าที่ 310 เสียง”

เราตั้งเป้า 250 เสียงเพื่อที่ทำให้เราเป็นรัฐบาล แต่หากต้องเป็นฝ่ายค้าน ก็เป็นฝ่ายค้านเสียงข้างมาก เพราะหากจะตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ไปยากลำบาก พอเราตั้งมาที่ 310 เสียง ก็ทำให้เป็นเหตุให้ชัดเจนว่า เราจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ที่จะเอานโยบายของเราไปดำเนินการได้ หรือเราจะเป็นพรรคหลักที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ เพราะหากใครจะร่วมมือกับเรา ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย หรือใครก็ตามที่จะร่วมมือกับเรา ก็ต้องยอมรับนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะนำมาทำงาน

“วันนี้ 310 เสียง เราดูจากความเป็นจริง เรายังไม่ได้ทำโพลเลย เราคิดว่าเราไปถึงได้ เราขอ 310 บวกบวก ความสำเร็จของการฝัน ไม่ใช่ว่าฝันอยากได้โน้น ฝันอยากได้นี่ ก็ฝันได้หมด แต่ขึ้นอยู่ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ที่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นความฝันที่สอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ วันนี้เราเรียกร้อง 310 เสียง ประชาชนไม่ตั้งคำถาม แต่หากบางพรรคมาบอกว่าจะได้ 310 เสียง ประชาชนเขาไม่เชื่อ ทำไมประชาชนเชื่อเพื่อไทย เพราะเพื่อไทยเคยทำได้ 377 เสียงมาแล้ว”

สองนโยบายสำคัญเพื่อไทย

มั่นใจกระตุ้นศก.-ยันไม่ใช่ประชานิยมแจกเงิน 

“ภูมิธรรม-แกนนำพรรคเพื่อไทย”ให้ความเห็นถึงเป้าหมายทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นต่อไปว่า ที่มีบางคนอาจบอกว่าที่พรรคเคยได้ตอนนั้น แต่ปัจจุบันสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว แต่พรรคเพื่อไทยเราไม่เคยมีข้อจำกัดเรื่องสถานการณ์ เราเชื่อว่าการเมืองคือเรื่องความสามารถ และความพยายามในการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เราพิสูจน์มาแล้ว หลายเรื่องเช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน หรือชัยชนะอย่างเด็ดขาดที่ทำให้ตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียว เพราะเราชื่อและเราทำมาแล้ว

เรารู้ว่าความฝันอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้นำไปสู่ความสำเร็จ แต่ความฝันที่จะสำเร็จได้ ต้องใช้ความพยายามของเรา และเสียงสนับสนุนและการโอบอุ้มจากพี่น้องประชาชน วันนี้เรามีปัจจัยพวกนี้ทั้งหมดอยู่แล้ว เพียงแต่จะทำให้เกิดความเด่นชัดและชัดเจนได้มากน้อยเท่าใด เรามีประชาชนเป็นฐาน เรามีลีดเดอร์ที่สามารถนำพาอะไรได้ เรามีนโยบายที่ชัดเจนที่ออกมา เราเป็นรัฐบาลครั้งหน้า สิ่งที่ดีอยู่แล้วที่รัฐบาลตั้งแต่ยุคไทยรักไทยเคยทำ และประชาชนได้ประโยชน์ เราจะทำต่อไป 30 บาทเราทำแน่ กองทุนหมู่บ้าน กองทุนSML เราทำต่อแน่ หรือนโยบายหนึ่งทุนหนึ่งอำเภอที่ส่ง ให้คนที่ไม่มีโอกาสทางสังคมอย่างลูกหลานชาวบ้านชาวนา ทุกอำเภอทุกจังหวัดให้มีโอกาสไปเรียนในระดับที่สูงขึ้น เพื่อกลับมาเป็นฐานสำคัญ เป็นรากฐานในชุมชนของเขาเพื่อให้การพัฒนาชุมชนมีการพัฒนามากขึ้น สิ่งเหล่านี้เรามีหมด

อย่างเมื่อ 17 มีนาคม ที่เพื่อไทยเปิดนโยบายพรรคไป ที่ยังไม่มีตัวเลขเพราะเรายังไม่อยากพูดตัวเลข เพราะเกรงคนเลียนแบบ สองเรื่องที่เราพูดชัดๆ ก็คือ เราจะเติมเงินในกระเป๋าให้ประชาชนที่มีรายได้ครัวเรือนไม่ถึง 20,000 บาท อันนี้คือกระบวนการกระจายทรัพยากร ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่การแจกเงิน อย่างที่เขาทำกัน ที่อันนั้นคือการกู้เงินมาแล้วก็นำมาแจกไป ที่ไม่ได้สร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจใดๆ เลย แต่ครั้งนี้เราบอกว่าเราจะเติมเงินเพื่อต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เราให้ประชาชนที่เมื่อเงินไปอยู่ในมือตัวเอง เขาไม่เอาไปเก็บไปซ่อน เพราะวันนี้เขาใช้จ่ายอย่างไรก็ไม่พอในการดำเนินชีวิตของเขา เงินของเขาก็จะถูกใช้จ่าย จากคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีบัตรประชาชนในขอบเขตทั่วประเทศ ก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่และสิ่งที่รัฐจะได้ตามกลับมาก็คือ รายได้ของประชาชนที่จะหมุนอีกหลายรอบ เพราะตามทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ เงินที่หมุนลงไปแบบถูกที่ถูกทาง จะหมุนขึ้นมาอีกอย่างน้อย 3-6 รอบ นโยบายดังกล่าวจึงไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ทำให้จีดีพีเติบโต จากติดลบ 1-2 เปอร์เซ็นต์ ก็จะขึ้นมาเป็นเติบโต3-5 เปอร์เซ็นต์ ที่ตรงนี้จะเป็นฐานสำคัญในการนำเงินมาแก้ปัญหาหลายอย่าง

อีกหนึ่งนโยบายก็คือ"กระเป๋าเงินดิจิตอล"ซึ่งเป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้ขบคิดมาเป็นอย่างดี เพื่อพยายามกระจายรายได้ ซึ่งไม่มีพรรคการเมืองอื่นคิด ที่เป็นนโยบายที่นำเงินและสร้างระบบการเงินที่เป็นเหรียญแบบใหม่ที่ผูกพันกับเงินบาทไทย สามารถใช้แปลงเป็นเงินบาทได้ สามารถนำไปใช้ในการซื้อ-ขาย เท่ากับเงินบาทของประเทศไทย เราให้ประชาชนซึ่งอยู่ในพื้นที่ใช้เงินเป็นเวลาหกเดือน ที่เป็นจุดเริ่มต้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยไม่ได้ให้นำเงินไปใช้อย่างอื่นได้ แต่ให้ใช้สำหรับการอุปโภคบริโภค ของกินของใช้ หรืออย่างหากเป็นชาวนา เกษตรกร ก็นำไปซื้อปุ๋ย เครื่องมือทางการเกษตรเพื่อจะนำไปพัฒนาระบบการเกษตรของเขาได้ โดยให้ใช้ในขอบเขตสี่ตารางกิโลเมตร ที่หมายถึงจากเมื่อก่อนนำเงินไปใส่ไว้ในแอพพลิเคชั่นต่างๆ เขาจะใช้ได้บางคนก็นำเงินไปเที่ยวที่อื่น ที่ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง แต่นโยบายดังกล่าวของเพื่อไทย เงินจะอยู่ที่ชุมชนทุกชุมชน หกเดือนนั้นเงินดังกล่าวจะถูกใช้ในชุมชนต่างๆ จะกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนให้เติบโตขึ้นมา

เมื่อนำไปใช้ในทุกจังหวัด เจ็ดหมื่นกว่าหมู่บ้าน เงินดังกล่าวก็จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในระดับจังหวัด จะทำให้เศรษฐกิจทั้งประเทศและจีดีพีของประเทศเติบโต เราเคยมีประสบการณ์ เราเคยลดเงินภาษีจากบริษัททุกธุรกิจต่างๆ ตอนแรกคนบอกว่าจู่ๆไปลดลงแล้วจะนำเงินจากที่ไหนมา แต่การลดดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจฟู พอเศรษฐกิจฟู เงินก็จะหมุน3-6 รอบ ก็ทำให้มีรายได้เข้ารัฐจากภาษีอากร เพราะพอคนมีรายได้ คนก็มีเงินจ่ายภาษี ภาษีที่ได้มาเทียบกับภาษีที่ลดไป พบว่าภาษีที่ได้มา ได้มามากกว่าที่ลดไป สามารถนำมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ ดังนั้นสิ่งต่างๆ ที่เราบอกในครั้งนี้เช่นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน จะไม่ใช้เงินรัฐสักบาทเดียว แต่จะใช้เงินที่มาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต และฝ่ายที่จะใช้เงินเหล่านี้คือภาคเอกชน ที่เขาไม่มีปัญหาต้องจ่ายเงิน หากเศรษฐกิจเติบโตแล้วเขามีรายได้มากกว่ารายจ่ายที่เขาต้องจ่าย การคิดของเพื่อไทย เราคิดทั้งระบบ

โผปาร์ตี้ลิสต์100 ชื่อ-เพื่อไทย

ครบแล้ว รอส่งทำไพรมารีโหวต

"ภูมิธรรม-รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย"กล่าวอีกว่า จากที่กกต.กำหนดให้มีการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 โดยในส่วนของการเตรียมพร้อมของพรรคเพื่อไทยนั้น ในส่วนของรายชื่อผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อที่ กกต.ให้ยื่นรายชื่อผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อ ในวันที่ 4-7 เมษายน ขณะนี้ทางพรรคเพื่อไทยพร้อมแล้ว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องประวัติต่างๆ ของผู้สมัคร โดยกำลังจะนำรายชื่อเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาพิจารณารายชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งระบบเขตและระบบเลือกตั้ง และจะนำรายชื่อทั้งหมดส่งไปทำไพรมารีโหวตและเมื่อเสร็จจากขั้นตอนทำไพรมารีโหวต ก็จะนำรายชื่อส่งกลับมาให้คณะกรรมการบริหารพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

บัญชีรายชื่อผู้สมัครระบบปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อไทยทำเสร็จหมดแล้ว 100 คน โดยจะเรียงลำดับตามตัวอักษรส่งให้กกต. จากนั้นก็จะส่งมาให้กรรมการบริหาร ซึ่งกรรมการบริหารมีอำนาจโดยตรงในการจัดสรรลำดับปาร์ตี้ลิสต์ พรรคทำตามกระบวนการตามกฎหมายหมด วันที่ 4 เมษายน ทุกคนก็จะได้เห็นบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย รวมถึงรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยสามรายชื่อ ก็ถือว่าครบองค์ประกอบของการเตรียมการเลือกตั้งที่จะทำให้เห็นว่า ลีดเดอร์เราพร้อม นโยบายเราพร้อม ผู้แทนของเราที่จะไปเป็นกองหน้าในการเชื่อมประสานระหว่างพรรคกับประชาชนเรามีความพร้อม เราก็จะเริ่มแคมเปญการเลือกตั้งที่วันนี้พรรควางไว้หมดแล้ว พอรับสมัครเสร็จหมด เราก็จะคิกออฟแคมเปญเลือกตั้งได้เลย

ตอนนี้พรรควางทีมปราศรัยเลือกตั้งของเพื่่อไทยแบ่งเป็นสามระดับคือระดับใหญ่ กลาง และเล็ก ระดับใหญ่ เวทีของเราต้องคนมาเป็นหมื่นคนขึ้นไป ระดับกลางก็ระดับ 3,000-5,000 คน ส่วนระดับเล็กก็ 1000 คนลงมา เราเป็นพรรคการเมืองที่มีความพร้อม โดยบุคลากรที่จะปราศรัยของเรา จะเข้าไปในทุกระดับ วันนี้เราเตรียมพื้นที่ เราจัดกำลังคนไว้หมดมีการแบ่งทีม-แบ่งสายผู้ปราศรัยหาเสียงไว้หมดแล้ว วันนี้เราพร้อมมากที่สุด

มั่นใจหลังเลือกตั้ง

เพื่อไทย ได้เป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล 

-จนถึงวันนี้ยังมั่นใจหรือไม่ว่าพรรคเพื่อไทยหลังเลือกตั้งจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะท่าทีของสว.บางส่วนก็ยังบอกว่าอาจจะไม่โหวตเลือกนายกฯจากเพื่อไทย ?

ก็ไม่เป็นไร เพราะวันนี้เราไม่ได้พึ่งสว.แต่เราพึ่งพี่น้องประชาชน เราขอ 310 เสียงบวกบวก คือเราพึ่งประชาชน และผมยังเชื่อว่าสว.เขา ก็ต้องตัดสินใจบนการตัดสินใจของประชาชน เราจะได้เท่าไหร่เรายังตอบไม่ได้

แต่เราไม่เคยวางตรงนี้ไว้เป็นหลัก เพราะเราวางที่ประชาชนเป็นหลัก ถ้าประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง และประชาชนพร้อมนำการเปลี่ยนแปลง พรรคเพื่อไทยพร้อมจะเป็นเครื่องมือ เป็นกลไกให้ และเราเชื่อว่าเราจะปลดล็อกสว.ได้ และเราจะเป็นรัฐบาลได้

วันนี้คนที่ถามเราในทุกพรรคการเมืองหรือที่ถามเราในแบบเดิมๆว่า พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพลังประชารัฐหรือไม่ จะจับมือกับก้าวไกลหรือไม่ จะจับมือกับคนนั้น คนนี้หรือไม่ เป็นการคิดในมิติเดิมๆ แบบการเมืองเก่า เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้คิดแบบนี้เลย

วันนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะตอบ เราอยากได้ 310เสียงบวก จริงๆ เราอยากได้พรรคเดียวที่จะมีกำลังการต่อรอง การเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น วันนี้ที่คอยมาถามเราว่าเราจะจับมือกับใคร ซึ่งถ้าเราบอกว่าเราจะจับมือกับใคร แสดงว่าเรายอมรับว่าเราไปไม่ถึงฝัน แต่วันนี้เราเชื่อว่าเราไปถึงฝัน วันนี้เราจึงมุ่งหน้าสู่แลนด์สไลด์ 310 เสียง บวก up-up แต่จะได้หรือไม่ได้ อยู่ที่ความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น หากไม่ได้ เราค่อยมาคิดกันว่า เราได้เท่าไหร่  ประชาชนเขาให้เท่าใด เขาอาจจะไม่ให้เราก็ได้ แล้วจะไปนั่งคิดฝันเกินจากสิ่งที่ควรจะได้ ได้อย่างไร

โดยเมื่อการเลือกตั้งจบ มีการประกาศผลการเลือกตั้ง ทุกอย่างจะเป็นคำตอบของตัวมันเองว่า มันจะเดินไปในทิศทางไหน แต่เพื่อไทย ยืนยันว่าเราจะเดินไปในทิศทางที่เราเลือกเดินได้ ก็คือ ร่วมมือกับฝ่ายประชาธิปไตยในการที่จะไปสู่การเปลี่ยนแปลง หรือถ้าจะเปลี่ยนแปลงจากนี้ไป ก็จะต้องนำนโยบายของพรรคเพื่อไทยมาเป็นหลัก เราจะไม่ให้มีการต่อรองเรื่องอำนาจ-เรื่องใดๆทั้งสิ้น

วันนี้ไม่คิดจะจับมือกับพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ไม่คิดจะจับมือกับพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเลย วันนี้เราใช้ตัวเราเป็นตัวหลัก ถ้าจะมีเพิ่มเติมก็เป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ที่เคยเป็นพรรคฝ่ายค้านร่วมกันมาหกพรรคเหมือนเดิม แล้วถ้าจะเป็นอะไรนอกเหนือกว่านี้ การเมืองต้องไปทีละสเต็ป การฝันถึงอะไรที่เกินเลยจากความเป็นจริง ทางการเมืองเขาเรียกว่า ฝันลมลม แล้งแล้ง มันไม่มีประโยชน์

ส่วนการเมืองการเลือกตั้งต่อจากนี้ สำหรับผม เมื่อมาถึงขนาดนี้ ผมตั้งเป้าถึงขนาดนี้ ผมก็ต้องเชื่อมั่นว่าจะbuild ไปสู่สิ่งนี้ได้ ถ้าไม่ใช่ก็เท่ากับผมฝันลมลม แล้งแล้ง

อย่างถ้าผมมีต้นทุนอยู่ประมาณห้าคน แล้วผมฝันไปที่ 310 เสียง ก็อาจเพ้อเจ้อ ลมลม แล้งแล้ง ไม่เป็นจริง วันนี้ ผมบอกให้เห็นถึงสเต็ปในการอัพเกรดตัวเองตลอด และเราไม่เคยเชื่อในความเชื่อของเราอย่างเดียว เราอยู่บนความเป็นจริงที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นเรา

พรรคเพื่อไทยที่อยู่มาทุกวันนี้เพราะใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเราอยู่ในความโอบอุ้มของประชาชนมาตลอด เราจึงคิดว่าเราเดินได้ เราจึงเชื่อมั่นในสิ่งที่เราพูด เราไม่มีวันยอมทำลายเครดิตของเราที่ให้กับประชาชน ที่หากพูดแล้วทำไม่ได้ หรือไม่ทำ ที่เป็นต้นทุนสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทยดำรงอยู่มาได้จนเป็นสถาบันการเมือง

เรารู้ว่าประชาชนคาดหวังเรา เราไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง เรารู้ว่าประชาชนอยากเปลี่ยนแปลง อยากมีอนาคต และอยากออกจากระบบประยุทธ์ โดยเราจะให้ประชาชนเป็นคนนำการเปลี่ยนแปลงแล้วเราจะเป็นกลไกเป็นเครื่องมือ ร่วมกับประชาชนไปสู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ผมเชื่อมั่นว่าเราได้ คราวนี้เรามีโอกาสมากที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาล

-เกรงหรือไม่ว่าจะมีการใช้อำนาจพิเศษ มีการกลั่นแกล้ง หรือมีสถานการณ์พิเศษมาสกัดพรรคเพื่อไทย เช่นคดียุบพรรค เพื่อไม่ให้เพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้?

การกลั่นแกล้งทางการเมืองมีอยู่ทุกยุคทุกสมัยตลอดเวลา เราไม่เคยประมาท วันนี้สิ่งที่เราคิด เราไม่ได้คิดแต่เพียงว่าจะไปเปลี่ยนแปลงความต้องการของใครที่จะมาทำลายเรา เราเพียงหวังว่า เราจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ตามกรอบของกฎหมาย เราเชื่อว่าเราเดินถูกตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตย เราก็จะเดินตามนั้น ถ้าเขากล้าต่อต้านศรัทธาของประชาชน แล้วเขาจะเอาตามอำเภอใจของเขามาตัดสินปัญหาต่างๆ ผมว่า ผู้ใช้อำนาจเผด็จการแฝงร่างในระบอบประชาธิปไตยแต่ดั้งเดิม เคยเจอบทเรียนต่างๆ จากสังคมไทยมาแล้ว แม้รูปแบบอาจแตกต่างไป เพราะสังคมวันนี้เปลี่ยนแปลงไป แต่ผมว่าเขาจะได้รับประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดจากพี่น้องประชาชนที่ทุกข์ยากที่สุดในช่วงแปดปีกว่าที่ผ่านมา

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“มิจฉาธรรม .. ในอสัตบุรุษที่น่ากลัวยิ่ง”

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา สงกรานต์ร้อนที่เข้าสู่จุลศักราช ๑๓๘๖ เถลิงศกตรงกับ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๗ นับว่าร้อนแล้ง ตรงกับคำพยากรณ์ที่พร้อมเกิดพายุร้อนได้ในทุกพื้นที่ เป็นการแสดงสภาวะผันผวนที่เนื่องมาจากวิกฤตร้อนของโลก (Climate Change) ที่หลายฝ่ายเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า มนุษยชาติจะผ่านวิกฤตโลกร้อนไปได้หรือไม่..

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า น้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาที่อากาศร้อนจัด จนเข้าสู่วิกฤตการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศ

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า.. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในภาวะที่เข้าสู่วิกฤตการณ์โลกร้อน.. ด้วยภาวะการเปลี่ยนแปลงแบบผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติปกติ (Climate Change) อันเป็นผลจากการกระทำของมนุษยชาติ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม จึงได้ถือโอกาสคิดทำโครงการนำพระคืนสู่ป่า.. เพื่อศึกษาวงจรธรรมชาติของชีวิตที่เนื่องกับสิ่งแวดล้อม อันประกอบด้วยสรรพสิ่งต่างๆ ที่เกาะเกี่ยวเนื่องกันอย่างมีความสมดุล (Nature Cycle in Balance)

ลัทธิผีบุญ .. ภัยร้ายต่อพระศาสนา!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ปัญหาของพุทธศาสนาในปัจจุบันที่ยังเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ คือ การยึดถือคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพระสัทธรรมดั้งเดิม...

คุณค่าแท้–คุณค่าเทียม ที่ชาวพุทธควรคำนึง..!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. คำว่า “วิกฤตศรัทธา” เริ่มมีการพูดถึงกันมากในห้วงเวลานี้ ด้วยเหตุปัจจัยในเรื่องนั้น ที่นำไปสู่ความสั่นคลอนในความเชื่อมั่น ที่เคยอบรมสั่งสมมานานในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ บุคคลนั้นๆ.. ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติของวิถีชีวิตสัตว์ทั้งหลายที่พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ

บูชาพระโอวาทปาติโมกข์ .. ณ เวฬุวันมหาวิหาร ปี พ.ศ.๒๕๖๗

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. กลับมาจาก งานมาฆบูชาโลก ที่เวฬุวันมหาวิหาร พระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ พร้อมกับติดเชื้อเป็นของแถม ด้วยมีไวรัสแพร่ระบาดในหมู่คณะที่มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสติดตามไปร่วมร้อยชีวิต