จากการเมืองถึงเรื่อง "ช้าง" กับ "กัญจนา ศิลปอาชา" ปธ.ที่ปรึกษาหน.พรรคชทพ.

การเมืองกลับเข้าสู่ความเข้มข้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาได้นัดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อโหวตเห็นชอบบุคคลซึ่งถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 22 ส.ค.นี้ โดยที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสินให้ที่ประชุมโหวตลงมติ

พบว่าถึงตอนนี้ การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่กำลังเดินหน้าอยู่อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในพรรคการเมืองที่มาร่วมตั้งรัฐบาลด้วยก็คือ"พรรคชาติไทยพัฒนา"(ชทพ.) ซึ่งมี วราวุธ ศิลปอาชา เป็นหัวหน้าพรรคซึ่งมีด้วยกัน 10 เสียง

รายการ"อิสรภาพแห่งความคิด"ดำเนินรายการโดย "สำราญ รอดเพชร"ที่เผยแพร่ทางแพลตฟอร์มอออนไลน์ของไทยโพสต์ ได้สัมภาษณ์พิเศษ" กัญจนา ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา-อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา"ซึ่งมีบทบาทสำคัญในพรรคชทพ.มาตลอด ถึงเรื่องความเห็นทางการเมืองในช่วงปัจจุบัน ตลอดจนเรื่องบทบาทที่สำคัญของ กัญจนา ในช่วงที่ผ่านมา ในเรื่องการต่อต้านการค้าสัตว์ป่า -การช่วยเหลือสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะช้าง เห็นได้จากเช่น การเป็นคีย์แมนคนสำคัญในการพา "พลายศักดิ์สุรินทร์" ช้างไทยที่ไปอยู่ที่ประเทศศรีลังกานานถึง 21 ปีกลับมาประเทศไทยเมื่อต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมา จนถูกเรียกขานว่า"แม่ของช้าง"เป็นต้น

เริ่มต้นที่ประเด็นทางการเมือง "กัญจนา-แกนนำพรรคชทพ."กล่าวถึงการเข้าร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยว่า พรรคเพื่อไทยมีไมตรีเชิญมา ซึ่งหลังประเด็นทางการเมืองต่างๆที่ชาติไทยพัฒนา ไม่เห็นด้วย ก็ไม่อยู่ในสิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะทำเช่น การที่พรรคชาติไทยพัฒนา ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะคนทั่วไป ถามว่ามีใครเดือดร้อนจากมาตรา 112บ้าง ถ้าไม่ได้มีเจตนาไปทำอะไรที่จะไปเข้าข่ายทำผิดมาตรา 112 จะพบว่าคนทั่วไปไม่ได้มีใครเดือดร้อนจากเรื่องมาตรา 112  และชาติไทยพัฒนา ไม่ทำงานกับพรรคการเมืองที่มีแนวคิดหรืออุดมการณ์ที่จะลบหลู่ด้อยค่าสถาบันฯ พรรคชาติไทยพัฒนาเราก็ไม่สามารถจะไปทำงานด้วยได้ ซึ่งแม้ไม่ระบุชื่อพรรคแต่ประชาชนทั่วไปก็มองเห็นได้ชัดเจนว่าแนวคิด-อุดมการณ์ของพรรคการเมืองดังกล่าวเป็นอย่างไร มันพิสูจน์ได้ด้วยการกระทำที่ต่อเนื่องมา ไม่ใช่แค่ของคนบางคนในพรรคแต่เกือบทุกคนในพรรค

รวมทั้งที่อยู่เบื้องหลังพรรค-เบื้องหน้าพรรคทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องน่าห่วง เพราะประเทศไทยของเรา เรามีรากเหง้าของเรา เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ก่อนยุครัตนโกสินทร์ บ้านนี้เมืองนี้ ก่อร่างสร้างตัวมาได้ด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่าเอาเราไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่น เพราะแต่ละประเทศมีบริบทที่แตกต่างกัน ประวัติศาสตร์ก็ไม่เหมือนกัน เราเป็นของเราแบบนี้ เราอยู่ได้ด้วย ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราที่เป็นอนุชนรุ่นหลัง เราก็ต้องดำรง เคารพไว้ 

อีกทั้งชาติไทยพัฒนา ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลของเพื่อไทยก็ออกมาในแนวทางข้างต้น ดังนั้นเมื่อเพื่อไทยมีไมตรีมา เราก็ยินดีตอบรับเพื่อจะได้ช่วยกันทำงานเพื่อประชาชน

-คิดว่าที่ตั้งเงื่อนไขข้างต้น เพื่อไทยเขาโอเคด้วยไหม?

เพื่อไทย เขาก็คิดแบบนี้อยู่แล้ว เพราะเพื่อไทย ฟังเสียงพรรคการเมืองอื่น ฟังเสียงประชาชน เพราะพรรคการเมืองอื่นก็เป็นแบบนี้ ที่จะไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย

อีกอย่างหนึ่งที่อยากพูดก็คือ บางพรรคชอบพูดว่า เป็นเสียงประชาชน ประชาชนคิดแบบนี้ ก็อยากจะถามว่า แล้วประชาชนคนอื่นที่เขาไม่ได้เลือกคุณ เขาเลือกพรรคการเมืองอื่น เขาไม่ใช่ประชาชนหรือ คุณอย่าอ้างประชาชนพร่ำเพรื่อ มันน่าเบื่อ

โดยนอกจากที่เห็นตรงกันข้างต้นแล้ว เพื่อไทย ก็ได้คะแนนมา ได้ส.ส.มา 141 เสียง จนตอนนี้มาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หน้าที่เราก็คือพยายามช่วยให้เขาดำเนินงานจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะถึงตอนนี้ ผ่านมาสามเดือนแล้วหลังการเลือกตั้งแต่ยังไม่มีรัฐบาล แต่เราต้องเดินหน้าประเทศ และมีงานหลายอย่างที่เราต้องทำ อะไรที่ช่วยกันได้ ก็จะช่วยเขาเต็มที่

-มีการมองกันในแบบระแวงเล็กน้อยว่า รัฐบาลเพื่อไทย หากตั้งขึ้นมาได้ แล้วทำงานไปสักระยะ แล้วไปจับมือกับบางพรรคที่จากกันมา ด้วยการไปแก้ไขรัฐธรรมนูญจนบางเรื่องมันเลยเถิดไป ถ้าไปถึงจุดนั้น พรรคชาติไทยพัฒนา จะว่าอย่างไร?

เราก็ต้องเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทยว่าเขาก็ต้องฟังเสียงพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ว่าการจะทำอะไร จะทำได้หรือไม่ ต้องคุยกัน ในเมื่อเราร่วมรัฐบาลกันแล้ว หากจะทำอะไร โดยเฉพาะเรื่องรัฐธรรมนูญที่เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งหากจะมีการทำอะไรที่เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในหมวด 1 และหมวด 2 ก็ไม่ควรไปแตะ ต้องยกเว้นไว้  เพราะว่าทั้งสองหมวดเป็นหมวดที่สำคัญมาก

-ถึงตอนนี้ ชัดเจนแล้วว่า จะมีพรรคสองลุง (พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ)มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย ส่วนตัวเห็นด้วยหรือไม่ ที่จะทำให้การตั้งรัฐบาลต้องแข็งแรงแบบนี้?

อันนี้ก็ต้องมอบให้เป็นเอกสิทธิ์ของพรรคเพื่อไทยที่เขาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากเขาพิจารณาแล้วว่า จำเป็นที่จะต้องมีเสียงที่มั่นคงแข็งแรง เพราะแค่เกินครึ่งหนึ่งของเสียงส.ส.คือเกิน 250 เสียงอาจไม่พอ แต่ก็เป็นสิทธิ์ของเพื่อไทย ที่อาจจะมองเรื่องความมั่นคงแข็งแรง

แต่อยากจะบอกว่า ที่มีการพูดกันว่า มีลุง ไม่มีเรา ในอดีตของตัวเอง สมัยบิดาเป็นนายกรัฐมนตรี(นายบรรหาร ศิลปอาชา) ตอนนั้นบิดา โดนอภิปรายไม่ไว้วางใจหนักมาก หนักที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง ที่ตอนนั้นอภิปรายโดยพรรคประชาธิปัตย์ กระทั่งมอภิปรายว่าพ่อเราไม่ได้เกิดที่เมืองไทย มีไปเปลี่ยนเอกสารใบเกิดของพ่อ ลูกเมีย เจ็บช้ำ คนสุพรรณบุรีเจ็บช้ำ แต่ต่อมา หลังเลือกตั้งแล้วพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่รัฐบาลอยู่ได้ไม่กี่เดือน ก็มาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2549 ที่เรียกวิกฤตต้มยำกุ้ง จนรัฐบาลอยู่ไม่ได้

ต่อมา พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน ซึ่งตอนนั้น ประชาธิปัตย์ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ถ้าไม่มีพรรคชาติไทยเข้าร่วมในฝั่งประชาธิปัตย์ ตอนนั้น ประชาธิปัตย์มาเจรจาขอให้พรรคชาติไทยไปร่วมตั้งรัฐบาล พ่อก็บอกว่าให้มาคุยกับภรรยา-ลูกผมด้วย เพราะเขาช็อค ช้ำใจมาก เพราะตอนนั้นผ่านมาแค่สิบเดือน ตอนนั้นประชาธิปัตย์ แกนนำพรรคก็ยกขบวนกันมาที่บ้าน เราก็คิดกันว่า ต้องมองข้ามจุดนั้นไป เพราะถ้าเราไม่เข้าร่วม ประเทศเดินไม่ได้ อันนี้คือเรื่องที่ยกมาเป็นตัวอย่าง ที่จะบอกว่า ก็เข้าใจเรื่องความเจ็บช้ำ แต่เราต้องเห็นเรื่องการเดินหน้าของประเทศสำคัญกว่า ก็ต้องมองข้ามไปให้ได้ หรืออย่างตอนเลือกตั้ง ที่หลังเลือกตั้ง คุณพ่อได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นประชาธิปัตย์ ก็ทำสโลแกนหาเสียง"ไม่เลือกเรา เขามาแน่" อันนี้ ก็ยกเป็นตัวอย่างว่า เราต้องมองข้ามประเด็นเหล่านี้ คือต้องมองประโยชน์ที่ใหญ่กว่า คือประเทศชาติโดยรวม

-มองยังไง กับคำพูดประเภทว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยม ฝ่ายประชาธิปไตย?

ก็เป็นวาทกรรมทางการเมืองที่บางคนไปนิยามกันเอง แต่ทุกฝ่ายก็จะมีเชื้อของอีกฝ่ายอยู่ในตัวทั้งนั้น ไม่มีใครหรอกที่เป็นอนุรักษ์นิยมทั้งตัว เขาก็มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในตัวเอง หรือคนที่บอกว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย ก็มีความเป็นอนุรักษ์นิยมอยู่ในตัว มันเป็นส่วนผสมกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น คุณจะไปแยกว่าคนนี้เป็นประชาธิปไตยทั้งตัว ไม่อนุรักษ์อะไรเลย ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนก็มีทั้งดีและชั่วในตัว อยู่ที่อย่าให้ความชั่วมันโผล่ออกมา ทำดีให้มาก มันไม่มีอะไรหรอกที่เป็นอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์

สำหรับพรรคชาติไทยพัฒนา เราเป็นปฏิบัตินิยม คือเราอยู่กับความเป็นจริง อะไรที่เป็นข้อมูลที่เป็นเรื่องจริง เป็นความจริง ไม่เพ้อฝัน ไม่ขายฝันให้ประชาชน เราพูดในสิ่งที่ทำได้ และเราก็จะทำ

ส่วนการเลือกตั้งที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่ายากมาก เพราะกระแสมันแรงมาก ได้มาสิบเสียงก็หืดขึ้นคอแล้ว ถือว่าไม่น้อย เพราะรู้ว่า มันยากมาก ส่วนการเลือกตั้งรอบหน้า ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไร เพราะก็ต้องดูผลงาน คือหากชาติไทยพัฒนาได้ร่วมตั้งรัฐบาล ก็ดูว่าพรรคจะทำผลงานอะไรได้มากแค่ไหน แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้อง ปรับโครงสร้างพรรค เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบัน ทำให้ตอนนี้ยังประเมินอะไรได้ลำบาก ต้องขอเวลาการทำงานของพรรคกับรัฐบาลชุดใหม่ และเวลาในการปรับปรุงพรรคด้วย  ส่วนว่าพรรคจะได้ดูแลกระทรวงเดิม(กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) หรือไม่ คงต้องแล้วแต่พรรคเพื่อไทย ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น

-หากเดาใจน้องชาย คุณวราวุธ แฮปปี้กับการอยู่กระทรวงเดิม หรืออยากย้ายไปอยู่กระทรวงอื่นบ้าง?

ต้องเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ชาติไทยพัฒนาเข้ามาดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯตอนหลังเลือกตั้งปี 2562 ตอนนั้น ท็อป วราวุธ ยังไม่รู้จักกระทรวงนี้เท่าใดเลย แต่เป็นเพราะว่าพี่สาวต้องการ คือว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ดูแลสัตว์ป่าเยอะ ซึ่งเราเป็นคนรักสัตว์มาตลอด เวลาเราไปขอเขาช่วยเหลืออะไร ก็ต้องไปอ้อนวอนขอเขา ที่ต้องบอกว่า คนที่อยู่ในวงการเมือง น้อยคนนักที่จะรักสัตว์ จิตใจละเอียดอ่อนเรื่องสัตว์ มีน้อยมาก ก็ต้องไปอ้อนวอนขอเขา บางทีเขาก็ช่วย บางทีก็ไม่ช่วย

ก็เลยบอกท็อปไป ว่าดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติเลย พี่นา จะได้ไม่ทำงานลำบาก รวมถึงพรรคก็ได้รมช.เกษตรฯ ที่ท่านประภัตร โพธสุธน ไปดูแลกรมปศุสัตว์ ซึ่งพอท็อปมาดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ เขาก็ชอบ เพราะตรงกับบุคลิกของเขาที่ชอบทำงานแบบติดดิน และลุยๆ เขาก็สนุกมากกับการทำงานที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ทำงานได้ดี ซึ่งตัวเขา เป็นนักการเมือง ก็ต้องทำงานได้หลากหลายกระทรวง แม้อาจจะมีกระทรวงไหน ที่อาจจะยังไม่รู้อะไร แต่ก็ต้องพร้อมเรียนรู้ เหมือนคุณพ่อ ที่ท่านสามารถทำงานได้ทุกกระทรวง พ่อก็ทำงานได้หมด เรียนรู้ได้หมด

สิ่งสำคัญคือเราให้ความเคารพข้าราชการ เรียนรู้จากข้าราชการ เพราะนักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ข้าราชการเขาอยู่มาก่อน และอยู่ตลอดไป เราต้องขอความรู้จากเขา ต้องให้เกียรติ ข้าราชการเวลาทำงาน ถ้าแบบนี้มันก็ไปได้ ไปอยู่กระทรวงไหน ก็ทำงานได้

-ทำไมคุณกัญจนาไม่เข้าไปเป็นรัฐมนตรีบ้าง?

ไม่อยากเป็น อยู่ข้างหลังดีกว่า ไม่อยากเป็นอะไรทั้งนั้น ขอเป็นคนรักสัตว์เฉยๆ ไม่ได้คิดอยากลงสมัครส.ส. เพราะนิสัยโดยส่วนตัว ไม่เหมาะที่จะเป็นนักการเมืองเลย เพราะเราเป็นพูดตรงๆ ไม่โกหก ไม่ชอบที่จะต้องไปง้อคนโน้นคนนี้ ไม่ชอบให้มีคนมาตามอะไรมากมาย ไม่ชอบมีตำแหน่ง

-ในฐานะเคยเป็นรมช.ศึกษาธิการ หากมีอะไรอยากฝากบอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องคนรุ่นใหม่ หรือสังคมโดยรวมๆ ?

กระทรวงศึกษาธิการมีบทบาทสำคัญมาก กระทรวงศึกษาธิการ ต้องไม่ทำตัวแบบ สถาบันที่ไม่มีชีวิต คือมันต้องก้าวทันโลกยุคใหม่ ก้าวทันเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน ก็ต้องปลูกฝังความรักชาติ รักแผ่นดิน ให้กับเด็กรุ่นใหม่ด้วย ต้องตามให้ทันในความก้าวหน้าของเขาว่าเขาไปซึมซับอะไรมาบ้าง ต้องคิดนอกกรอบเป็น นอกกรอบดังกล่าวหมายถึงการให้ความรู้กับเด็ก และต้องฟังให้เป็น คือฟังเด็กด้วย ไม่ใช่ว่าสื่อสารทางเดียว

เรื่องการปฏิรูปการศึกษา พรรคชาติไทย พูดตั้งแต่เคยดูแลกระทวงศึกษาธิการเมื่อปี 2540 มาแล้ว เช่นการเรียนนอกห้องเรียน แต่ทุกวันนี้การศึกษาก็ยังไปไม่ถึงไหนเลย ครู ก็ยังไปเน้นเรื่องการทำเอกสารวิชาการ ไปดูใช้งานที่ไม่เกี่ยวกับการศึกษามากมาย ก็อยากฝากรมว.ศึกษาธิการคนใหม่ที่จะเข้าไปว่าต้องคิดนอกกรอบ ต้องให้อิสรภาพกับครูในการสอนเด็ก ต้องไม่ไปเน้นเรื่องการทำเอกสารวิชาการมากนัก ส่วนการสอนเด็กนักเรียน พวกวิชาอย่างประวัติศาสตร์ เรื่องหน้าที่พลเมือง -ศีลธรรม ก็ยังต้องนำสอน เพราะทุกวันนี้เรียกร้องแต่สิทธิแต่ไม่รู้หน้าที่ตัวเอง รวมถึงเรื่องศีลธรรมด้วย ตอนนี้ขาดหายไปหมดเลย

สภาพปัญหาช้างไทย

และแนวทางการช่วยเหลือ   

และจากบทบาทที่โดดเด่นในเรื่อง การต่อต้านการค้าสัตว์ป่า-การช่วยเหลือช้าง ทำให้"กัญจนา"ซึ่งตอนนี้ก็มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะทำงานยุทธศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นที่พูดถึงในวงกว้างต่อบทบาทการทำงานในด้านดังกล่าว

เมื่อผู้ดำเนินรายการได้ซักถามถึงว่าเหตุใดถึงสนใจในเรื่องการช่วยเหลือช้าง ทาง"กัญจนา"เล่าให้ฟังถึงเรื่องนี้ว่า สนใจเรื่องช้างมาเป็นสิบปีแล้ว โดยอันแรกสุดคือเคยดูสารคดีเกี่ยวกับคนไทยคนหนึ่งที่ไปช่วยชีวิตช้างที่แก่มากแล้วให้ได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข ไม่ต้องโดนโซ่ล่ม โดนคนนั่งขี่ เราก็ประทับใจและเริ่มศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องช้างมาตลอด

พอเริ่มเรียนรู้เรื่องช้าง เราก็เริ่มรักเขา เพราะว่าช้างเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนเทียบเท่าคน ทำให้ความทุกข์ยากอะไรของเขาจะยาวนาน ไม่เหมือนน้องหมา-น้องแมว ที่อย่างมาก 15 ปีก็แก่แล้ว แต่ช้าง มีอายุได้ถึง 60-70 ปี อีกทั้งช้าง เป็นสัตว์สังคม ที่มีความรักในครอบครัวเฉกเช่นมนุษย์เหมือนกัน  ผูกพันรักใคร่กัน ดูแลกันในกลุ่มเครือญาติของช้าง เว้นช้างตัวผู้ ที่พออายุสัก 8-9 ขวบ ก็จะถูกผลักดันออกจากโขลง เพื่อไม่ให้เกิดการผสมพันธุ์กันภายในที่เป็นเรื่องธรรมชาติ  แต่ถ้าเป็นช้างตัวเมีย จะอยู่กับโขลงจนชั่วชีวิต นอกจากนี้ช้าง เป็นสัตว์ที่มีความทรงจำที่มหัศจรรย์มาก ถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่น

จากนั้นเราก็ได้เข้าไปสัมผัส ได้เข้าไปช่วยช้างมากขึ้น ได้เข้าไปไถ่ช้างที่ถูกใช้งานจนแก่ ร่างกายไม่ไหว ซึ่งบางที ช้างที่ถูกใช้งานจนแก่ แล้วไปไถ่ช้างเพื่อไปปล่อยในที่ซึ่งจะไม่ให้เขาถูกใช้งานอีก โดยตัวหนึ่งก็ประมาณ 4-5 แสนบาท แต่หากเป็นช้างใช้งาน เชือกหนึ่งก็เหยียบล้านบาท ซึ่งที่สูงที่สุดที่เคยไถ่ช้าง ที่เป็นลูกช้าง ก็ประมาณแปดแสนห้าหมื่นบาท แล้วก็ส่งไปที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยที่ลำปาง โดยเป็นการให้อิสรภาพกับลูกช้างที่อายุประมาณ 1-2 เดือน ที่หลังแม่ช้างคลอดลูกได้ไม่นาน ก็กลายเป็นช้างกำพร้าถ้าตอนนั้นไม่ไปซื้อไว้ เจ้าของอาจนำไปขายแล้วคนที่ซื้อไป อาจใช้งานเขาแบบทารุณ  ก็เลยไปซื้อไว้เพื่อคืนอิสรภาพ  แล้วตั้งชื่อว่าดอกรัก  

เมื่อถามถึงจำนวนช้างในประเทศไทย ทั้งช้างเลี้ยงและช้างป่า มีประมาณกี่เชือก "กัญจนา"บอกว่า ไม่ชัดเจนเรื่องตัวเลขที่แน่นอน แต่หากเป็นช้างเลี้ยง ก็ประมาณ สี่พันถึงห้าพัน แต่ต้องบอกว่าปัญหาของช้างเลี้ยง -ช้างป่า เยอะพอๆกัน แก้ไขยาก เพียงแต่ว่าปัญหาจะเป็นคนละแบบกัน

สำหรับช้างบ้าน ส่วนตัว ไม่สนับสนุนการแสดงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเช่น นำมาเตะฟุตบอล นำมาเต้นระบำ เพราะว่าเบื้องหลังกว่าจะมาแบบนี้ เขาถูกพรากมาจากแม่ แล้วนำมาฝึกแบบโหดร้าย เข้าข่ายทารุณกรรม เพราะลองคิดดูว่าทำไมช้างตัวเบ้อเร่อ ทำไมถึงเชื่อฟังมนุษย์ที่ตัวเล็กกว่า ก็เพราะว่า เขาถูกตั้งแต่เด็กให้กลัวตะขอและกลัวมนุษย์ ถูกฝึกจนกระทั่งสูญสิ้นจิตวิญญาณ จนอยู่ใต้อาณัติของคน ซึ่งจริงๆ ช้างควรหย่านมแม่ ประมาณ 3 ขวบ แต่พวกนี้แค่หนึ่งขวบ ก็ถูกพรากจากแม่แล้วนำมาฝึกแบบทารุณ แต่ตอนนี้ได้ยินว่า เขาจะเริ่มเปลี่ยนมาทำการฝึกให้เป็นแบบบวกเช่น มีการให้รางวัล ไม่ได้จะทุบตีอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องที่ดี

ถ้าจะให้ดี หากจะท่องเที่ยวเกี่ยวกับช้าง ควรไปเที่ยวดูช้างที่เขาใช้ชีวิตแบบปกติธรรมชาติดีกว่า ที่ตอนนี้ฟาร์มช้างหลายแห่งที่มีศักยภาพเขาก็เริ่มปรับ เช่น ให้ขี่่ส่วนหนึ่ง แล้วก็ให้ดูช้างที่ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติอีกส่วนหนึ่ง แต่เราก็ไม่ได้เป็นคนสุดโต่งอะไร หากเขายังจำเป็นต้องใช้ช้างในการขี่ ก็ต้องดูแลเขาให้ดี มีสวัสดิภาพที่ดีให้กับช้าง ซึ่งที่ผ่านมาฟาร์มช้างไม่เคยมีมาตรฐานในการดูแลส่วนนี้เลย แต่เราผลักดันมาตลอด จนกระทั่งในปี 2564 ที่ท่านประภัตร รมช.เกษตรฯ ซึ่งดูแลกรมปศุสัตว์ -กรมมาตรฐานสินค้าเกษตร ใช้ตรงนี้ผลักดัน จนได้มาตรฐานฟาร์มช้างออกมา ที่จะใช้บังคับใช้จริงปีหน้า โดยปีนี้เป็นเรื่องของการสมัครใจ โดยมาตรฐานฟาร์มช้าง หลักๆ ก็เช่น มีการกำหนดอายุของช้างที่จะใช้งาน ถ้าช้างเด็กเกินไป ไม่ควรใช้ และต้องให้ช้างมีวัยเกษียณ และโซ่ล่ามเขาต้องยาวพอสมควร เพื่อให้เขาสามารถแสดงพฤติกรรมธรรมชาติของช้างได้ และต้องมีน้ำ อาหารที่เพียงพอ -น้ำหนักที่จะใช้งานช้างให้แบกของต้องไม่หนักเกินไป

สำหรับฟาร์มช้างปัจจุบัน ก็มีประมาณ สองร้อยกว่าแห่ง โดยในบางช่วงเช่นตอนที่โควิดระบาด ฟาร์มช้างก็ลำบาก ปิดกันไปเยอะ ช้างก็ลำบากเพราะขาดอาหาร แต่ยามที่การท่องเที่ยวเฟื่องฟู ช้างก็ลำบากอีก เพราะโดนใช้งานหามรุ่งหามค่ำ แต่คนสบาย สรุปว่า ไม่ว่านักท่องเที่ยวเยอะหรือน้อย ช้างลำบากตลอด ซึ่งการมีมาตรฐานฟาร์มช้าง จะทำให้เกิดความพอดี เช่น หากจะใช้งานช้าง ก็ต้องจำกัดชั่วโมงการทำงาน คือหนึ่งวันไม่ควรเกินห้าชั่วโมง ไม่ใช่ใช้งานตั้งแต่เช้าจรดเย็น และน้ำ อาหาร ต้องมีเพียงพอ และเป็นอาหารที่มีคุณภาพ มีสารอาหาร และหากช้างเจ็บป่วย ก็ต้องมีการรักษา รู้ไหมว่าช้างบางเชือกที่ใช้ขี่ บางเชือกตาบอด ขาพิการ แต่ที่เดินได้เพราะควาญช้างใช้ตะขอคอยบังคับเขา และช้างมีสัมผัสทางงวง ก็เลยพอรู้ทิศทาง คนที่นั่งขี่ช้าง ไม่เคยที่จะก้มลงมาดูช้างที่ตัวเองขี่ว่าเขาอยู่ในสภาพไหน มีแต่ถ่ายเซลฟี่เอาเท่ห์ ควรก้มดูช้างที่คุณขี่บ้างว่าเขาสมบูรณ์ดีไหม สงสารเขาบ้าง อันนี้คือทางสายกลาง ที่หากจะใช้งานช้าง ก็ต้องมีสวัสดิการ มีสวัสดิภาพที่ดีให้กับช้าง แต่ทางที่ดีที่สุดคือให้ควาญช้าง ปรับรูปแบบมาให้ช้างได้ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ ซึ่งตอนนี้ก็เห็นมีฟาร์มช้างหลายแห่ง เริ่มปรับ ใช้ขายทัวร์แบบให้ดูช้างเล่นน้ำ เดินตามช้าง ที่ตอนนี้เป็นเทรนด์ของตะวันตกที่ชอบการท่องเที่ยวแบบนี้

"กัญจนา"ยังกล่าวถึงช้างไทยซึ่งอยู่ที่ประเทศศรีลังกา ว่าตอนนี้ยังเหลืออยู่อีกสองเชือก คือพลายประตูผา กับพลายศรีณรงค์ ซึ่งพลายประตูผา ตอนนี้อายุเกือบจะห้าสิบปีแล้ว ส่วนพลายศรีณรงค์ น่าจะประมาณสามสิบสองถึงสามสิบสามปี โดยพลายศรีณรงค์ไปศรีลังกา พร้อมกับพลายศักดิ์สุรินทร์ เมื่อช่วงปี 2544 โดยการดำเนินการในการนำพลายศักดิ์สุรินทร์ ใช้เวลาประมาณเกือบหนึ่งปี

ตอนนี้ คนก็บอกว่าอยากให้นำพลายประตูผากับพลายศรีณรงค์ กลับมาไทย โดยตอนที่ส่งไปเขาก็เรียกว่า สันถวไมตรี แต่สิ่งที่ศรีลังกา ทำกับช้างเรา ไม่เป็นตามที่พูด แต่การที่จะนำกลับมาอีกสองเชือกเป็นเรื่องยากแล้ว เพราะการที่เรานำพลายศักดิ์สุรินทร์กลับมา เกิดแรงกระเพื่อมในศรีลังกาเยอะมาก

"วันที่ 1 กันยายนนี้ ก็จะเดินทางไปที่ศรีลังกา ไปวัดพระเขี้ยวแก้ว ที่ได้รับมอบช้างจากไทย เพราะเจ้าอาวาสก็อยากเรา โดยภารกิจคือจะไปทำความร่วมมือให้เขาดูแลช้างให้ดีขึ้น เหมือนกับไปทำเอ็มโอยู ความตกลงเบื้องต้นกับทางคณะสัตว์แพทย์ ที่มหาวิทยาลัยที่ศรีลังกา ในเมืองที่พลายประตูผาอยู่ เพื่อให้เขามาช่วยดูแลประตูผาให้ดี รวมถึงจะทำความร่วมมือกับกรมสวนสัตว์ ที่ดูแลช้างทั่วประเทศของศรีลังกา เพื่อสร้างความร่วมมือระยะยาว กรณีหากเรานำช้างกลับไม่ได้ ก็ให้เขาดูแลช้างให้ดี"

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บทธรรมดับโลกร้อน .. ที่นักปกครองต้องอ่าน!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. โลกกำลังเข้าสู่ห้วงธรรมวิกฤต.. ที่มนุษยชาติประพฤติตนอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ มีความโลภที่รุนแรงและราคะความกำหนัดที่ผิดธรรม .. เป็นส่วนใหญ่

กกต.เริ่มขยับ พร้อมงัด 'กฎเหล็ก' คุมเข้มเลือก สว. 2567

ความเคลื่อนไหวการได้มาซึ่ง "สมาชิกวุฒิสภา" (สว.) ชุดใหม่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา

พนัส อดีตสว.-อดีตสสร. คัดเลือกสภาสูง 2567 ฝ่ายประชาธิปไตยมีสิทธิลุ้น

ความเคลื่อนไหวการได้มาซึ่ง"สมาชิกวุฒิสภา"(สว.) ชุดใหม่ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ....

อย่าใหญ่เกินธรรมชาติ .. พ่อมหาจำเริญ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา.. ภาวะโลกร้อน (Global warming) .. อันเกิดเนื่องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังอยู่ใต้ห้วงวิกฤตการณ์อันเนื่องจากการกระทำของคนเรา

“มิจฉาธรรม .. ในอสัตบุรุษที่น่ากลัวยิ่ง”

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา สงกรานต์ร้อนที่เข้าสู่จุลศักราช ๑๓๘๖ เถลิงศกตรงกับ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๗ นับว่าร้อนแล้ง ตรงกับคำพยากรณ์ที่พร้อมเกิดพายุร้อนได้ในทุกพื้นที่ เป็นการแสดงสภาวะผันผวนที่เนื่องมาจากวิกฤตร้อนของโลก (Climate Change) ที่หลายฝ่ายเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า มนุษยชาติจะผ่านวิกฤตโลกร้อนไปได้หรือไม่..

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า น้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาที่อากาศร้อนจัด จนเข้าสู่วิกฤตการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศ